พระไตรปิฏกหลายแห่งระบุว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีสุขภาพดี มีพระชนมายุแปดสิบพรรษา สามารถทำงานเผยแผ่ศาสนาประมาณ 16-20 ชั่วโมงต่อ วัน ใครๆที่รู้จักพระองค์ก็มักจะกล่าวสรรเสริฐหรือถามถึงพระองค์ถึงเรื่องความมีอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรงพระกำลังกระปรี้กระเปร่าประทับอยู่สำราญอยู่เสมอๆ ดังที่พระองค์ได้ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายในบางแห่งว่า "เวทนาเหล่าใด มีดีเป็นสมมุติฐานก็ดี มีเสมหะเป็นสมมุติฐานก็ดี มีลมเป็นมามุติฐานก็ดี เกิดแต่ฤดูแปรปรวน ก็ดี เกิดแต่การบริหารไม่สมำเสมอก็ดี เกิดแต่บาดเจ็บก็ดี เกิดแต่ผลกรรมก็ดี เวทนาเหล่านั้นไม่เกิดแก่เรามากนัก เราเป็นผู้มีอาพาธน้อย " แม้ว่าพระองค์จะทรงมีสุขภาพดีแต่บางครั้งที่พระวรกายอ่อนเพลียจาการตรากตรำสั่งสอนพุทธบริษัท ก็ทรงพระประชวรเหมือนกับคนทั่วไปเพียงแต่พระหฤทัย ของพระองค์ยังปรกติเข็มแข็งผ่องใส เมื่อพระองค์ทรงพระประชวรก็ได้ใช้วิธีการรักษาหลายอย่างตามสมควรแก่โอกาส พระโอสถแก้ประชวรของพระพุทธเจ้า คราวหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ประทับอยู่ที่เวฬุวนารามพระองค์ประชวรด้วยโรคลมที่เกิดในพระอุทร เมื่อพระอานนท์พุทธอุปัฏฐากได้ทราบ จึงดำริว่า เมื่อพระพุทธองค์ประชวรแบบนี้ในครั้งก่อนเคยเสวยยาคูปรุงด้วยของสามอย่าง คือ งา ข้าวสาร และถั่วเขียว จึงได้ปรุงยาคูสูตรนั้นถวายพระพุทธองค์อีก เมื่อเสวยแล้วไม่นานก็ทรงหายจากอาการประชวรและทรงพระสำราญ เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เชตวนาราม เมืองสาวัตถี ประชวรด้วยโรคลม คราวนั้นพระอุปัฏฐากได้จัดการต้มน้ำร้อนให้พระพุทธองค์สรงสนาน และละลายน้ำอ้อยด้วยน้ำร้อนพระพุทธองค์เสวยแล้วก็ทรงหายจากอาการประชวรนั้น บางครั้งพระผู้มีพระภาคทรงทราบด้วยพระองค์เองว่า พระวรกายของพระองค์ หมักหมมด้วยสิ่งอันเป็นโทษ ปรารถนาที่จะเสวยพระโอสถถ่าย จึงตรัสให้พระอานนท์ไปเชิญหมอชีวกโกมารภัจจ์ แพทย์ประจำพระพุทธองค์และประจำสำนักราชวังแห่งพระเจ้าพิมพิสารเพื่อให้ปรุงยาถวาย หมอชีวกจึงบอกให้พระอานนท์ทำพระวรกายของพระพุทธเจ้าให้ชุ่มชื่นเป็นเวลาสามวัน เพื่อเตรียมการถ่ายสิ่งหมักหมมอันเป็นโทษครั้งใหญ่เมื่อพระอานนท์ได้ดำเนิน การทำให้พระวรกายของพระพุทธเจ้าชุ่มชื่นตามที่หมอชีวกปรารถแล้วก็ได้แจ้งให้หมอชีวกได้ทราบความตามประสงค์ ฝ่านหมอชีวกพิจารณา การที่จะถวายพระโอสถถ่ายแก่พระผู้มีพระภาคไม่เหมาะ จึงได้เตรียมยาที่ปราณีตด้วยการอบก้านอุบลด้วยยาต่างๆตาทว่ามา ให้พระองค์สูดก้านอุบลก้านที่หนึ่ง แล้วยาจะออกฤทธ์ ทำให้พระองค์ถ่ายถึงสิบครั้ง ครั้นสูบก้านอุบลอบยาต่างๆอีกสองก้าน ก็ถ่ายอีกก้านละ สิบ ครั้ง รวมทั้งสิ้นพระองค์จะถ่ายถึงสามสิบครั้ง ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ปฏิบัติพระองค์ตามที่หมอชีวกสั่ง ด้วยการเตรียมการและการพระยาบาลของพระอานนท์อย่างใกล้ชิด พระองค์ก็ถ่ายตามกำหนด หมกชีวกได้มาเยี่ยมและถวายคำแนะนำว่า พระองค์ไม่ควรเสวยพระกระยาหารที่ปรุงด้วยน้ำต้มผักต่างๆจนกว่าพระวรกาย จะปรกติ ต่อมาไม่นานนัก เมื่อพระผู้มีพีะภาคเจ้าได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอชีวก กายก็เป็นปรกติ กระปรี้ กระเปร่า ทรงพระสำราญเหมือนเดิม OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO ธรรมโอสถที่พระสารีบุตรประทานแก่ผู้ป่วย เมื่ออนาถปิณฑิกเศรษฐี ป่วยหนักก่อนเสียชีวิต พระสารีบุตรและพระอานนท์ไปเยี่ยม พระสารีบุตรได้ถามอาการป่วยกับอนาถปิณฑฺกเศรษฐีว่า " ดูกรคฤหบดี ท่านพอทน พอเป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาทุเลา ไม่กำเริบ ปรากฏ ความทุเลาเป็นที่สุด ไม่ปรากฏความกำเริบละหรือ " อนาถปิณฑิกเศรษฐี เล่าอาการไข้ให้พระสารีบุตรฟังว่า " ข้าแต่พระสารีบุตรลมเหลือ ประมาณกระทบกระหม่อมของกระผมอยู่ เหมือนบุรุษมีกำลังเอาของแหลมทิ่ม กระหม่อม..ลมเหลือประมาณเวียนศรีษะกระผมอยู่เหมือนบุรุษมีกำลังให้การขันศรี ษะด้วยชะเนาะมั่น...ลมเหลือประมาณปั่นป่วนท้องของกระผมอยู่ เหมือนคนฆ่าโคผู้ ฉลาดเอามีดอันคมแล่โคคว้านท้อง...ความร้อนในกายกระผมเหลือประมาณ เหมือน บุรุษมีกำลัง สอง คนจับบุรุษมีกำลังน้อยกว่าที่อวัยวะป้องกันตัวต่างๆแล้ว นาบย่าง ใน หลุมถ่านเพลิง...กระผมทนไม่ไหว เป็นไปไม่ไหว ทุกขเวทนาของกระผมหนัก กำเริบไม่ทุเลา ปรากฏความกำเริบเป็นที่สุด ไม่ปรากฏความทุเลาเลย" เมื่อพระสารีบุตร ได้ฟังอาการป่วยหนักของอนาถปิณฑฺกเศรษฐีแล้ว ท่านได้แสดงธรรม ให้ฟัง เนื้อหาแห่งธรรมเทศนาโดยย่อมีดังนี้ " ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั้นแล ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักไม่ยึดมั่นจักษุ และ วิญญาณที่อาศัยจักษุ...เราจะไม่ยึดมั่นโสตะและวิญญาณที่อาศัยโสตะ...เราจะไม่ ยึดมั่นฆานะและวิญญาณที่อาศัยฆานะ...เราจักไม่ยึดมั่นในซิวหาและวิญญาณที่ อาศัยซิวหา...เราจักไม่ยึดมั่นกายและวิญญาณที่อาศัยกาย...เราจะไม่ยึดมั่นมโน และวิญญาาณที่อาศัยมโน..... " " ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจะไม่ยึดมั่นในโลกนี้ และวิญญาณที่ อาศัยโลกนี้ เราจักไม่ยึดมั่นโลกหน้า และวิญญาณที่อาศัยโลกหน้า " " ดูกกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า อารมณ์ที่เราได้เห็น ได้ฟัง ได้ทราบ ได้รู้ แจ้ง ได้แสวงหา ได้พิจารณาด้วยใจแล้ว เราจักไม่ยึดมั่นอารมณ์นั้น และวิญญาณที่ อาศัยอารมณ์นั้นจักไม่มีแก่เรา " " ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสำเหนียกอย่างนี้เถิด " เมื่อพระสารีบุตรแสดงธรรมจบแล้วอนาถปิณฑิกเศรษฐีร้องให้น้ำตาไหล พระอานนท์ ซึ่งนั่งอยู่ในที่นั้นได้ถามว่า " ดูกรคฤหบดี ท่านยังอาลัยใจ จดจ่ออยู่หรือ " ท่านอนาถปิณฑฺกเศรษฐีตอบว่า " ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ กระผมมิได้อาลัย มิได้มี ใจจดจ่อ แต่กระผมได้นั่งใกล้พระศาสดาและหมู่ภิกษุที่น่าเจริญใจมานานแล้ว ไม่เคยได้ สดับธรรมกถาเห็นปานนี้เลย" พระอานนท์กล่าวว่า"ดูกรคฤหบดี ธรรมกถาเห็นปานนี้ มิได้แจ่มแจ้งแก่คฤหัสถ์ผู้นุ่ง ผ้าขาว แต่แจ่มแจ้งในบรรพชิต " อนาถปิณฑิกเศรษฐีกล่าวว่า " ข้าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้นขอธรรมีกถา เห็นปานนี้จงแจ่มแจ้งคฤหัสถ์ผู้นุ่งผ้าขาวบ้างเถิด เพราะมีกุลบุตรผู้เกิดมามีกิเลสในดวง ตาน้อยจะเสื่อมคลายจากธรรม จะเป็นผู้เสื่อมคลายจากธรรม จะเป็นผู้ไม่รู้ธรรมเพราะไม่ ได้สดับ " เมื่อพระอานนท์และพระสารีบุตรได้แสดงธรรมแก่อนาถปิณฑิกเศรษฐีแล้วก็กลับเชตวตวนาราม ฝ่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีครั้นฟังธรรมแล้ว พอท่านพระเถระทั้งสองกลับไปไม่นาน เศรษฐีก็เสียชีวิต ไปเกิดเป็นเทพบุตรแล้วกลับมาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกล่าวว่า " พระเชตวันนี้มีประโยชน์อันสงฆ์ผู้แสวงบุญแล้วอยู่อาศัย อันพระองค์ผู้ เป็นธรรมราชาประทับเป็นที่เกิดปิติแก่ข้าพระองค์สัตว์ทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ด้วยธรรม ห้า ประการ คือ กรรม วิชชา ธรรม ศีล ชีวิตอันอุดม ไม่ใช่บริสุทธิ์ด้วยโคตรหรือด้วยทรัพย์ เพราะฉะนั้นแล บุคคลผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ของตน พึงเลือกเฟ้นธรรม โดยแยบคาย จะบริสุทธิ์ในธรรมนั้น ด้วยอาการอย่างนี้ พระสารีบุตรย่อมบริสุทธิ์ด้วย ปัญญาด้วยศีล และด้วยความสงบ ความจริงภิกษุผู้ถึงฝั่งแล้ว เป็นผู้ยอดเยี่ยมคือพระสารี บุตรนี้" อนาถปิณฑิกเทพบุตรรกล่าวอย่างนี้แล้วพระศาสดาทรงพอพระทัยเมื่อทราบว่าพระ ศาสดาก้แสดงความเคารพด้วยการกระทำประทักษิณแล้วก็หายตัวไป ณ ที่นั้น. เรื่องพระสารีบุตรและพระอานนท์ไปเยียมไข้อนาถปิณฑิกเศรษฐีให้แง่คิดในด้านธรรมะ ที่เป็นแก่นพุทธศาสนาอันว่าด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นอย่างละเอียด สภาพจิตของผู้ฟัง ธรรมขณะที่ป่วยหนักใกล้ตาย แนวความคิดเรื่องชีวิตหลังความตายของผู้มีจิตใจบริสุทธฺ์ ความจำเป็นที่คฤหัสถ์ที่ผ้ค ครองเรือนจะต้องให้ความสนใจศึกษาธรรมะที่ลึกซึ่ง พระภิกษุก็ต้องตั้งใจให็ธรรมะที่เป็น แก่นลึกซึ้งโดยไม่คิดว่า ธรรมะที่ลึกซึ้งชั้นดับทุกข์จะมีความจำเป็นแก่ผู้ที่เป็นบรรพชิต เท่านั้น แต่สำหรับฆราวาสที่ครองเรือนก็มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ธรรมะมาดับทุกข์ได้ด้วย. ธรรมะทั้งหมดนี้ชี้ชัดว่า เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นในทุกสิ่ง ความรู้สึกที่ใช้คำว่าวิญญาณ อัน ได้แก่ สำคัญมั่นหมายแห่งความเป็นสัตว์บุคคล ตัวตนของเรา เขา ที่อาศัยสิ่งเหล่านั้นเกิดกไม่มี เมื่อดับเหตุได้ ผลก็ไม่ปรากฏ ตรงตามหลักอริยธรรมที่ว่า ธรรมเหล่าใดเกิดเพราะเหตุ ธรรมเหล่านั้นดับไปเพราะเหตุดับ พระธรรมเทศนาของพระสารีบุตรอาจจะตั้งชื่อว่าอุปาทาน ดับวิญญาณก็คงจะเหมาะสม เพราะเมื่อ อุปาทาน ดับทุกครั้ง วิญญาณก็ดับทุกครั้ง