ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Clima Extremo 24


    ตุรกี



    ภาพของทะเลที่เข้ามาสู่แผ่นดินในลักษณะของสึนามิ ทำให้เกิดน้ำท่วมบนชายฝั่งอันตัลยา (Antalya)ด้วยคลื่นที่รุนแรงหลังจากพายุเมดิเตอร์เรเนียน ในวันนี้ 7 ก.พ.
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจาะเวลาหาอดีต


    "แผนลับ"ดับโรมานอฟ

    (คำสารภาพของผู้ทรยศ)*

    “พระเจ้าช่วย! ครอบครัวโรมานอฟจะถูกสังหารในคืนนี้ ทำไมพวกเขาถึงเร่งรีบในการทำลายครอบ

    ครัวที่แสนอบอุ่นน่ารักถึงเพียงนี้”


    หนุ่มน้อยวัยไม่ถึง 20 ปี นึกรันทดอยู่ในใจ นิคาไลย อเล็กซานโดรวิช กับอเล็กซานดร้า ฟีโยโดรอ

    ฟน่า เอ็นดูเขามากราวกับเป็นลูกแท้ ๆ ด้วยความเป็นเด็กหนุ่มน้อย หน้าตาสะอาดสะอ้านน่ารัก ส่วน

    พระธิดาสาวสะพรั่งของพระองค์ก็ให้ความไว้วางใจเขา มองเขาด้วยความชื่นชม และเจ้าชาย

    พระองค์น้อยที่เห็นเขาเป็นเพื่อนสนิทให้ทรงคลายเหงายามชวนเล่นหมากรุกด้วยกัน ยังไม่รวมถึงหมอ

    บ็อตกินส์ กับเดมิโดว่า นางข้าหลวงที่มองเขาด้วยแววเมตตา และมีรอยยิ้มให้เสมอเวลาที่เขาได้รับ

    หน้าที่ให้ยืนเฝ้าหน้าประตูห้องประทับ ที่เป็นเพียงห้องอับทึบเก่า ๆ ที่หน้าต่างถูกโบกปูนขาวจนทึบหมด

    แต่ ณ ที่นั้นเขารู้สึกอบอุ่นราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวโรมานอฟ


    เขาคือเด็กรับใช้ชุดสุดท้ายที่ได้ถวายการดูแลพระเข้าซาร์และครอบครัว เขาเป็นผู้ที่ดูไร้พิษภัยที่สุดใน

    “บ้านเจตนารมณ์พิเศษ (House of special purpose, HSP)” อันเป็นชื่อเรียก คฤหาสน์อิปา

    เตียฟ ที่คุมขังพระราชวงศ์ที่ทรงอำนาจยิ่งราชวงศ์หนึ่งของโลก นั่นคือ “โรมานอฟ”

    แม้ทุกวันนี้จะไม่มีบัลลังก์ให้แก่ครอบครัวโรมานอฟแล้ว แต่คุณงามความดีทั้งหลายที่ทุกพระองค์ตั้งใจทำ

    ให้แก่รัสเซียนั้น จะถูกจารึกไว้ในหัวใจของผู้คนเสมอ แม้ว่าจะแสนนานผ่านกาลเวลา แต่บัดนี้เขา

    เองจะเป็นผู้เผยความลับนั้นด้วยตนเอง

    ความตายของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และราชวงศ์โรมานอฟนั้นเป็นเรื่องน่าโศกสลดที่คนทั้งโลกยัง

    จดจำ ยิ่งในยุคนั้นไม่มีใครคิดแล้วว่า จะมีการผลาญชีวิตราชวงศ์กันอีกเหมือนเมื่อครั้งปฏิวัติฝรั่งเศส

    อย่างมากก็เนรเทศเท่านั้น แต่ครั้งนี้กลับฆ่ากันอย่างโหดร้ายเหมือนไม่ใช่คน และผู้ที่ร่วมภารกิจเลือด

    ในครั้งนั้นก็มีอันเป็นไปอย่างน่าทุเรศกันหมด ดังเช่น ยาคอฟ ยูรอฟสกี้ ที่ลั่นกระสุนมรณะเป็นนัดแรก

    ก็ต้องตายด้วยมะเร็งกระเพาะอาหารอย่างน่าสมเพช

    แล้วเหตุใดจึงทำให้โลกนี้ไม่มีที่ว่างพอสำหรับครอบครัวโรมานอฟ ทั้งที่แค่การเนรเทศขับไล่ออกนอก

    ประเทศที่น่าจะร้ายแรงมากพอแล้ว ทำให้เกิดการเดากันไปต่าง ๆ นานา เช่นว่า การมีอดีตพระ

    เจ้าชาร์อยู่ เปรียบเสมือนกับตัวแทนของระบอบโบราณล้าสมัย ไม่เหมาะกับประเทศที่ก้าวสู่ระบอบ

    ใหม่ หรือพระเจ้าซาร์จะทรงแทรกแซงทำให้รัฐบาลปั่นป่วน ก็ไม่น่าเป็นไปได้สำหรับชายที่หมดสิ้น

    อำนาจแล้วดังนี้


    ปัญหาเรื่องซาร์และครอบครัวตกอยู่กับกลุ่มรัสเซียแดงท้องถิ่นไม่กี่คน ด้วยความที่ยังมีประชาชนที่ยังรัก

    และภักดีต่อพระราชวงศ์อยู่มาก จึงตัดสินใจว่า วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ได้คือ

    โรมานอฟจะต้องไม่อยู่ในโลกใบนี้

    การมีพระเจ้าซาร์อยู่ในแผ่นดินนั้น เป็นสิ่งที่นักปฏิวัติกลัวกันมากแม้จะไม่ทรงมีสิทธิ์มีเสียงใด ๆ แล้วก็

    ตาม แต่การเลือกวิธีการที่จะกำจัดพระองค์นั้นจะต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะผู้จงรักภักดียังมีอยู่

    มาก และรัฐบาลกลางบอลเชวิกก็ไม่สั่งการสิ่งใดลงมา เพราะในเมืองหลวง สิ่งที่คณะปฏิวัติกลัวมาก

    ที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นคือการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างผู้นำปฏิวัติเอง ซึ่งการทำเช่นนี้ยิ่งทำให้

    สถานภาพของระบอบใหม่ไม่มั่นคงเข้าไปใหญ่ และถ้าประชาชนเบื่อมาก ๆ อาจเข้าร่วมกับนายทหาร

    ฮุสซาร์ผู้ภักดี ยึดบัลลังก์คืนมาถวาย ก็เป็นไปได้สูง รัฐบาลกลางจึงโยนเผือกร้อนมาให้รัฐบาลท้องถิ่น

    อย่างอูราล

    ซาร์นิโคลัสและครอบครัวจึงได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของนักปฏิวัติบ้านนอก ที่ทำกันอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ

    เต็มที ฉะนั้นพวกนี้จึงได้รับการ “ล้างสมอง” ได้ง่าย ให้เกลียดชังพระราชวงศ์ว่าเป็นเหตุให้ชาติพินาศและแพ้สงคราม


    พระเจ้าซาร์ถูกมองว่าเป็นนายทุนเผด็จการ ซาริน่า อเล็กซานดร้า(ราชินี) ถูกเรียกอย่างเหยียด

    หยามว่าเป็น “อเล็กซานดร้า เนมก้า (Alexandra Nemka)” หรือ นังผู้หญิงเยอรมัน ถูกกล่าวหา

    ว่าไปทรงรับความเชื่องมงายกับรัสปูติน พระบ้านนอกที่ใช้เล่ห์เพทุบายเข้ามาแทรกแซงกับกิจการแผ่น

    ดินจนล่มจม

    การที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และราชินีซาริน่าถูกใส่ร้ายป้ายโคลนอย่างหนักหน่วงโดยพวกปฏิวัติ ทำ

    ให้องค์ซาริน่าหวาดหวั่นพระทัยในเรื่องการล้มล้างเจ้ามากกว่าพระเจ้าซาร์เสียอีก เพราะแต่ไหนแต่

    ไรมา พระองค์ทรงทอดพระเนตรภาพพระราชินีมารี อังตัวแนตต์ ซึ่งแขวนอยู่ที่วังซาสโกย เซโล อยู่

    บ่อยครั้ง ด้วยกลัวว่าชะตากรรมของโรมานอฟจะเป็นเช่นนั้น จึงทรงหมกมุ่นในชะตากรรมของ

    ฝรั่งเศสตลอดมา ยิ่งเมื่อเกิดเหตุหน้าสิ่งหน้าขวานขึ้นในปลายรัชกาล ยิ่งกระตุ้นให้หวาดระแวงมาก

    ขึ้น ทั้งเรื่องจดหมายของรัสปูตินที่เขียนทำนายความล่มสลายของราชวงศ์ไว้เพียงไม่กี่วัน ก่อนที่เขา

    จะถูกรุมฆ่าตาย ทั้งพวกคอมมิวนิสต์ของเลนิน ที่ปลุกปั่นประชาชนให้ลุกฮือไปทั่ว แต่แม้กระนั้น ทั้งสอง

    พระองค์ก็ยังคงมองผู้คนที่กระหายเลือดเหล่านั้นด้วยความรัก ความเมตตาเสมือนบุตรอยู่เสมอ ทั้ง

    สองพระองค์ทรงรักประเทศรัสเซียอย่างสุดพระทัย แม้จะเป็นห้วงเวลาที่ทรงถูกจองจำอยู่ก็ตาม


    ซึ่งถ้าจะมองอย่างยุติธรรมแล้ว หากทั้งสองพระองค์จะมีความผิดอยู่บ้างก็น่าจะเพียงประการเดียว

    คือ ทรงพระทัยอ่อนเกินไปจนไม่เด็ดขาด ดังเช่นคราวที่กลุ่มผู้ชุมนุมชางนาแห่งรัสเซีย ได้พากันเดิน

    ฝ่าหิมะลมหนาวมาถึงหน้าพระราชวังเฮอมิทาจนั้น พวกเขาเพียงต้องการมาเข้าเฝ้า “บาตุชก้า”

    หรือพ่อหลวงของพวกเขาเพื่อถวายฎีกา ให้ทรงทราบถึงความเดือดร้อนยากจน แม้ขนมปังรายวันก็ยัง

    หายาก ไม่พอยาไส้

    ระหว่างที่ซาร์นิโคลัสทรงตัดสินพระทัยให้มีการเจรจาอยู่นั้น นายทหารลิ่วล้อกลับทำรุนแรงเกินเหตุ

    และเกินคำสั่ง คือ เปิดฉากยิงชาวบ้านผู้ไม่รู้ประสีประสาจนตายไปนับร้อย เรื่องนี้ทำให้นิโคลัส

    โทมนัสและทรงโกรธผู้ที่กระทำการลงไปนั้นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ไม่อาจเรียกชีวิตคืนแก่พ่อแม่พี่น้อง

    ผู้เสียชีวิตนั้นได้ พระองค์ถูกกล่าวหาว่า ไม่สามารถปกป้องลูกจากทรชนได้ เลือดที่หลั่งในวันนั้นจึง

    เป็นดุจดั่งสีแห่งการเริ่มต้น “ปฏิวัติแดง”

    องค์พระเจ้าซาร์ถูกกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งมวล ตั้งแต่ แพ้การยุทธนาวีกับญี่ปุ่น พ่าย

    สงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการฝักใฝ่ในคุณไสยตามรัสปูติน ทรงถูกพวกหัวรุนแรงชี้นิ้วติดสินว่า

    พระองค์เป็น “จุดอ่อน” ของประเทศ

    อย่างไรก็ตาม แม้จะทรงถูกเหยียดหยามนานัปการจากคณะปฏิวัติ พระเจ้าซาร์ก็ยังคงถือว่าคนพวกนี้

    เป็นประชาชนเสมือนกับลูกของพระองค์อยู่เช่นเดิม ทรงมีขัตติยมานะอดทนอย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะถูก

    เชิญเสด็จแออัดไปในตู้รถไฟขบวนเก่า ที่แล่นโขยกเขยกไปไกลถึงไซบีเรียอันแสนกันดาร เพื่อไปกัก

    ขังอยู่ในบ้านเก่าที่ห้ามแม้แต่การเปิดหน้าต่าง แม้จะลำบากเพียงไร อดีตพระเจ้าซาร์ก็ยังทรงมีพระ

    อารมณ์ขัน เปรียบสิ่งที่พวกนั้นทำกับพระองค์และครอบครัวว่า “อยู่กันอย่างแทบเกยกัน เหมือนกับปลา

    แฮริ่งในถัง”

    ทุกพระองค์ยังคงเปี่ยมไปด้วยขันติธรรม ผิดกับประชาชนของพระองค์ที่ทรงถือเสมือนลูก พวกนั้นเอา

    แต่โจมตีพระองค์ในหนังสือพิมพ์ว่า “กระหายเลือด” และกล่าวหาพระราชินีของพวกเขาเองว่าเป็น

    “นังผู้หญิงเยอรมัน” หาว่าพระนางขายชาติ เอาความลับไปบอกฝ่ายเยอรมันซึ่งเป็นบ้านเกิด นอก

    จากนี้ยังทรงเลื่อมใสในพระอุบาศว์รัสปูติน ซึ่งเป็นคนคิดคดทรยศ เต็มไปด้วยตัณหาราคะ ลามไปจน

    ถึงขั้นว่า พระองค์ทรงฝักใฝ่ในกามคุณด้วยรัสปูตินรูปนี้ ซึ่งข้อหาเหล่านี้ล้วนรุนแรงร้ายกาจสุดแล้วแต่

    จะคิดออกมาได้ ซึ่งคนที่คิดเช่นนี้มีน้อยมาก แต่ทว่า คนรัสเซียเมื่อร้อยปีก่อนนั้นยังหาที่มีการศึกษาน้อย

    มาก ส่วนใหญ่ 90% ไม่รู้หนังสือและไม่เคยเข้าเมืองหลวงด้วยซ้ำ เมื่อการปฏิวัติเริ่มขึ้นใหม่ ๆ ได้

    เห็นรถรางคันใหญ่เข้ามาก็ตื่นเต้น คุกเข่าประสานมือ ร้องเรียก “ปามิลุย โก๊สปาดิ” (พระเจ้า

    ช่วย) กันยกใหญ่ ด้วยเห็นว่าใหญ่โตราวกับสัตว์ร้ายที่ส่งเสียงน่ากลัว

    แม้คนรัสเซียกว่า 90% จะไม่ได้มีจิตคิดถึงขนาดจะผลาญชีวิตพระเจ้าซาร์ทั้งครองครัว แต่พวกเขาก็

    เริ่มเชื่อคำป้ายสี และไม่อยากให้พระองค์กลับมาปกครองอีก ชีวิตของเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์จึง

    แขวนอยู่ตรงกลางระหว่างความอิหลักอิเหลื่อนี้ ซึ่งตอนนี้ทุกพระองค์และข้าราชบริพารทุกคนที่ตาม

    เสด็จต้องตกอยู่ที่เมืองไกลชายแดน เช่น เยกาเตอรินเบิร์กนี้


    ไม่มีใครคาดคิด แม้แต่องค์พระเจ้าซาร์เองก็ตาม ดังที่เจ้าฟ้าหญิงทาเทียน่า พระธิดาผู้ทรงพระสิริ

    โฉมยิ่งนั้นได้เคยกล่าวไว้ว่า “ทีแรกนั้น ทูลกระหม่อมปาป้าคิดว่าเขาจะพาเราไปกักไว้ที่ลิวาเดีย

    (Livadia) เหมือนดั่งสมเด็จย่ามาเรีย เพราะที่แห่งนั้นเป็นที่โปรดของพวกเราทุกคน…” (ลิวาเดีย

    นั้นเป็นพระราชฐานไว้ตากอากาศอยู่ริมแหลมไครเมีย)

    การที่พระเจ้าซาร์ไม่ทรงตัดสินพระทัยพาครอบครัวหนีนั้น ได้ถูกวิเคราะห์ออกมาหลายประเด็นดังนี้

    1. ไม่ทรงเชื่อว่าจะหนีสำเร็จ เพราะทหารรักษาการณ์ที่บ้านอิปาเตียฟนี้แน่นหนามาก โดยในบ้านมี

    20-30 นาย ส่วนบ้านฝั่งตรงข้ามถนนมีอยู่ถึง 50 นาย ราวกับเป็นกองบัญชาการย่อม ๆ ยังไม่รวม

    ถึงป้อมปืนกลที่ตั้งรายล้อมอยู่ และกระบอกหนึ่งนั้นเล็งตรงมาที่หน้าต่างบานเดียวที่เปิดอยู่พอดี

    2. สภาพแวดล้อมทำให้ทรงหนีไม่สะดวก เพราะเมืองเล็กแห่งนี้ถือเป็นเมืองของพวกแดง ซึ่ง

    ประชาชนค่อนข้างถูกล้างสมองหมดแล้วและเห็นเจ้าเป็นศัตรูของพวกเขา ถ้ามีการหลบหนีเกิดขึ้นก็คง

    ถูกจับส่งกลับมา ซึ่งยิ่งเป็นที่เสื่อมพระเกียรติที่พวกแดงจะเอาไปอ้างได้

    3. พระกุมารน้อยอเล็กเซย์ไม่อาจทรงไต่เชือกลงมาทางหน้าต่างได้ เพราะทรงได้รับบาดเจ็บที่พระ

    ชงฆ์ และอาการบาดเจ็บนั้นยังคงอักเสบอยู่บ่อย ๆ แม้จะทรงดำเนินเองจากรถเข็นที่ประทับก็ยังยาก

    4. ทรงรู้ดีว่า แม้จะหนีออกมาได้ แต่การจะขอความช่วยเหลือจากพระญาติในประเทศใกล้เคียง

    อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือเยอรมนีนั้นก็เป็นสิ่งที่ยาก เพราะขณะนั้นทุกประเทศก็ยังวุ่นวายกับ

    เหตุการณ์หลังสงครามโลก ไม่มีใครพอมีน้ำใจนึกถึงราชวงศ์โรมานอฟสักเท่าใด แม้บางท่านจะเป็น

    ญาติของนิโคลัสและอเล็กซานดร้าเองก็ตาม


    แต่ข้อที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่หัว ที่ไม่ปรารถนาจะทิ้งผู้ใดไว้เบื้องหลังแม้

    เพียงผู้เดียว ดังพระราชหัตถเลขาลับที่ตอบจดหมายออกไปว่า “ถ้าไม่พาพวกเรา ซึ่งรวมถึงข้าราช

    บริพาร คนครัว หรือแม้แต่เด็กรับใช้ในห้องเครื่องออกไปให้ปลอดภัยด้วยกัน ก็ไม่คิดจะเสด็จออกไป”

    ซึ่งน้ำพระทัยอันอ่อนโยนนี้กลับนำภัยมาสู่พระองค์เอง

    *แผนลวงสกปรก และวันสุดท้ายชั้นใต้ดิน*

    ในสายตาของเด็กรับใช้ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรคนหนึ่ง ซึ่งได้เห็นความเลวทรามของพวกปฏิวัติ ทำให้

    นับวันยิ่งรู้สึกว่าความโหดร้ายที่กระทำต่อครอบครัวโรมานอฟนั้นสุดที่จะบรรยาย พวกมันหาเรื่องทำ

    ร้ายจิตใจของพวกโรมานอฟอย่างทารุณ เป็นต้นว่า ใช้หมึกดำแบบลบไม่ออกวาดภาพลามกอุบาศว์เอา

    ไว้ในห้องสรงที่ทุกคนต้องใช้ร่วมกัน โดยนำเอารูปพระเจ้าซาร์และพระราชินีมาล้อเลียนอย่างต่ำช้า

    เพื่อประจานให้พระโอรสและพระธิดาทุกพระองค์ได้เห็น เป็นความถ่อยที่สุดเท่าที่มนุษย์จะนึกได้


    และนั่นไม่ใช่ความเลวร้ายอะไรเลยถ้าจะเทียบกับแผนการโยนบาปขั้นสุดท้าย นั่นคือ การออก

    จดหมายลวง โดยใช้ความหวังของครอบครัวโรมานอฟทั้งหมดมาเป็นเดิมพัน ฝากจดหมายนี้มากับนาย

    ทหารยามซึ่งทำทีเหมือนกับจงรักภักดีแฝงเข้ามา และเนื้อความในจดหมายนั้นเป็นการเสมอความช่วย

    เหลือลับ ๆ จากกลุ่มนายมหารผู้ภักดีภายนอกที่รอเวลาจะทำการบุกเข้ามาช่วยตัวประกันอยู่

    ในตอนแรกพระราชินีทรงเชื่อสนิทใจ และจะรีบทรงจดหมายตอบออกไป แต่พระเข้าซาร์ผู้สุขุมกว่า

    ทรงยั้งไว้ โดยกล่าวว่าน่าจะเป็นแผนลวง ต้องดูให้รอบคอบ และเมื่อดูแล้วในที่สุด แม้จะทรงคลาง

    แคลงพระทัยอย่างไร แต่สถานการณ์ในบ้านที่ผู้คุมแต่ละคนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามานั้นยิ่งเลวร้ายลง เป็น

    ต้นว่า ทรงถูกลิดรอนสิทธิ์อย่างหนัก แม้จะเปิดหน้าต่างสักบานให้คลายร้อนก็ไม่ได้ หรือเมื่อเปิดแล้ว

    พระธิดาแสนซนอย่างอนาสตาเซียโผล่ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้างก็ถูกยิงสวนเข้ามา เฉียดพระ

    วรกายไปไม่กี่กระเบียด นอกจากนั้นข้าวของส่วนพระองค์ก็ถูกรื้อค้นฉกชิงเอาดื้อ ๆ จากทหารยามที่

    เดินยุ่มย่ามเข้านอกออกในโดยไม่สนใจความเป็นส่วนตัวของเจ้านาย ดังนั้นแผนตอบจดหมายจึงเกิดขึ้น

    พระเจ้าซาร์ทรงให้ “โอลก้า” พระธิดาองค์โต ผู้เชี่ยวชาญภาษาฝรั่งเศสมากกว่าเจ้าฟ้าพระองค์ใด

    เป็นผู้ร่างจดหมายตอบ เพราะหากถูกจับได้ พวกทหารยามก็คงยังไม่อาจอ่านเข้าใจเนื้อความได้ใน

    ทันที เหตุการณ์เป็นไปได้ด้วยดี ถึงขนาดที่วางแผนว่า ทุกพระองค์จะทรงชุดสำคัญในการหนีไว้แม้

    เวลาบรรทม นั่นคือชุดที่พระราชินิทรงเจาะช่องพิเศษให้ใส่เครื่องเพชรและอัญมณีต่าง ๆ ไว้จนล้นปรี่

    โดยเฉพาะตรงบริเวณบั้นพระองค์ที่จะหนาแน่นไปด้วยเพชรและพลอยเป็นพิเศษ สำหรับกันกระสุนปืน

    มีศัพท์รู้กันเฉพาะว่า “ทรงจัดยา”

    เมื่อเตรียมองค์เสร็จสรรพแล้วก็ทรงนอนรอเสียงสัญญาณที่ “นายทหารผู้จงรัก” ในจดหมายนั้นบอกว่า

    จะมีขึ้นตอนกลางดึก ด้วยพระทัยเปี่ยมความหวัง เป็นเช่นนี้คืนแล้วคืนเล่า มีหลาย ๆ เช้า ที่ทุก

    พระองค์ตื่นมาเสวยพระกระยาหารเช้าร่วมกันด้วยใบหน้าอิดโรยหมองคล้ำ ความผิดหวังและความ

    สงสัยอัดแน่นอยู่ในพระทัย แต่ไม่อาจพูดออกมาได้ว่าเหตุใดความช่วยเหลือที่ว่านั้นจึงไม่มาเสียที


    คำตอบนั้นถูกเปิดเผยอีกไม่กี่ปีจากนั้นว่า “มันคือแผนลวง” หลอกพระเจ้าซาร์ และครอบครัวให้ติดกับ

    หลงเชื่อ และรับความช่วยเหลือนั้น ยิ่งมีลายพระหัตย์ตอบกลับยิ่งดี เพราะจะเป็นหลักฐานสำคัญที่พวก

    ปฏิวัติจะได้ใช้ในการสังหารทุกพระองค์ได้อย่างชอบธรรม ในข้อหาผู้ทรยศ

    แต่เมื่อไม่มีพระราชวงศ์องค์ใดล่วงรู้ จึงทรงอยู่ด้วยกันอย่างผาสุกเท่าที่จะทำได้ ทรงให้กำลังใจซึ่ง

    กันและกันยามหน้าสิ่งหน้าขวานและพยายามหาความสุขตามอัตภาพ ตามแต่ผู้คุมจะกรุณาให้ เป็นต้นว่า

    ทรงหนังสือเก่า ๆ ที่เหลือทิ้งไว้ในบ้าน สวดมนต์ร่วมกัน ทรงไดอารี่ ซึ่งสิ่งที่บันทึกนี้เอง ที่ต่อมาได้

    เป็นหลักฐานสำคัญให้นักประวัติศาสตร์ได้ล่วงรู้รายละเอียดในคฤหาสน์อิปาเตียฟในวันท้าย ๆ แห่งพระชนม์ชีพ


    ดูราวกับว่าได้มีลางมรณะเกิดขึ้นมาเตือนก่อนหน้าวันสังหารโหด โดยในคืนสุดท้ายอันจะเป็นคืนแห่ง

    ประวัติศาสตร์เลือดนั้น นายแพทย์บ็อตกิน ผู้อาสาตามเสด็จโรมานอฟมาตลอดโดยไม่เห็นแก่ความยาก

    ลำบากหรืออันตรายใด ๆ ได้เขียนไว้ในบันทึกของเขาว่า เขาได้ยินเสียง “ปาปุลยา” พ่อผู้เป็นที่รัก

    เรียกแว่วมาแต่ไกลและเชื่อว่าไม่ได้หูฝาด และเมื่อคืนวานซืนก็ได้ฝันเห็นหน้าของลูกชายที่เสียชีวิตไป

    แล้วลอยมา เป็นในหน้าที่เสียชีวิตไปแล้ว ดวงตาปิดสนิท แล้วบันทึกนี้ก็ถูกทิ้งค้างไว้ ไม่เคยเขียนจบ

    อีกเลย…


    เมื่อเสียงกริ่งมรณะแผดลั่นกลางดึก นายแพทย์บ็อตกินต้องวางปากกา ลุกออกมาสมทบกับทุกคนนอก

    ห้อง มียูรอฟสกี้รออยู่ เพื่อหลอกด้วยอุบายสกปรกว่า จะย้ายที่คุมขังและให้ทุกคนมาถ่ายรูปหมู่รวมกัน

    ก่อนที่ชั้นใต้ดิน ซึ่งทุกพระองค์และทุกคนก็ให้ความร่วมมืออย่างดีแม้จะอยู่ในอาการง่วงงุนงงเหลือเกิน

    ต่างก็เข้านั่ง และยืน ประจำที่ตามแบบของขัตติยกษัตริย์ เพราะทุกองค์ทรงคุ้นกับการฉายพระรูปหมู่

    มาแล้วนับพันครั้ง

    และสำหรับทุกเหตุการณ์ต่อจากนี้ เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความทุกข์ทรมานอันไม่เคยสิ้นสุดของคนรับใช้คน

    หนึ่ง และเป็นเรื่องราวอันน่าสลดใจที่มนุษย์ด้วยกันจะพึงกระทำต่อกันได้ โดยการทำลายครอบครัวที่

    น่ารักสวยงาม และทำลายแม้แต่ “จิมมี่” สุนัขทรงเลี้ยงพันธุ์คิงชาร์ลสแปเนียลตัวน้อย


    ข้อหาของการสังหารในหมายประกาศที่ยูรอฟสกี้อ่านกรอกหูทุกคนก็คือ ” ทรงเป็นผู้ทรยศ” อันเป็นสิ่ง

    ที่นักปฏิวัติท้องถิ่นแห่งอูราลได้ยัดเยียดให้โรมานอฟทุกพระองค์ผ่านแผนลวงนั่น แล้วการประหารก็เริ่ม

    ต้นขึ้นอย่างทารุณโหดร้าย

    เมื่อเสียงปืนดังขึ้น พระเจ้าซาร์และพระราชินีสิ้นพระชนม์เกือบจะในทันที แต่พระธิดากับพระโอรสนั้น

    ยังไม่สิ้นพระชนม์ เพียงแต่บาดเจ็บกันเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นเพราะ “ยา” ที่พระมารดาทรงจัดไว้ให้นั่น

    เอง อัญมณีเหล่านั้นกลายเป็นเสื้อเกราะกันกระสุน ทำให้ลูกปืนกระทบแล้วเบนบินไปทั่วห้อง ซึ่งใน

    ตอนแรกเหล่าทหารเพชฌฆาตบ้านนอกก็ตื่นกลัวกันมาก ต่างกล่าวว่า ครอบครัวพระเจ้าซาร์นั้น เป็น

    บุคคลที่พระผู้เป็นเจ้าปกป้อง ทำให้กระสุนไม่ระคายพระวรกายเลย แต่ต่อมาเมื่อเห็นเพชรพลอยบาง

    ส่วนตกเกลื่อนอยู่จึงเข้าใจ ทำให้ผู้ที่รอดตายถูกแทงซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยดาบปลายปืนอย่างทารุณ

    โหดร้าย


    กว่าจะสิ้นเสียงเซ็งแซ่ครวญครางในห้องมรณะนั้น ใช้เวลานานกว่า 20 นาที ความโกลาหลวุ่นวาย

    แห่งหารฆ่าฟันจบลง ทว่าในกลุ่มควันปืนที่อบอวลอยู่นั้น ได้มีเหตุประหลาดเกิดขึ้น คือพระ

    ปฤษฎางค์(หลัง) ของเจ้าฟ้าหญิงพระองค์หนึ่งขยับขึ้นมาเบา ๆ พร้อมกับเสียงครางหงิงของสัตว์ที่น่า

    เวทนาดังลอดออกมา เจ้าจิมมี่น้อยซึ่งเจ้าฟ้าหญิงได้ทรงปกป้องมันเอาไว้ด้วยชีวิตของพระองค์เอง

    รอดตายมาได้อย่างอัศจรรย์ แต่ขาหลังของมันถูกยิงจึงเดินออกมาไม่ได้ แต่แล้วมันก็ถูกทหารยามที่อยู่

    ตรงนั้น ยกบู๊ทขึ้นกระทืบหัวอย่างแรงจนเงียบไป

    เหตุการณ์นี้ช่างน่าหดหู่ใจ แม้คนที่ใจแข็งที่สุดถ้าได้เห็นสภาพดังกล่าวเข้าก็ต้องหลั่งน้ำตา ความเลว

    ของพวกคอมมิวนิสต์นั้นไม่จำเป็นต้องสาธยายแล้ว เพราะแม้วินาทีสุดท้ายพวกมันก็ยังฆ่าได้แม้กระทั่ง

    สัตว์เล็ก ๆ ที่ไม่มีทางสู้


    ด้วยไม่ปรารถนาให้เป็นที่สักการะของผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อเจ้า]

    ใครเล่าจะรู้ว่าวันหนึ่ง นายทหารผู้หนึ่งที่มีส่วนในความตายของครอบครัวโรมานอฟที่บริสุทธิ์นี้ จะได้

    มายืนเล่ารายละเอียดเหล่านี้ให้โลกได้รับทราบ เพื่อให้อย่างน้อยความรู้สึกผิดบาปที่รบกวนใจมา

    ตลอดชีวิตจะได้เบาบางลงบ้าง เพราะตัวเขานั่นเองคือผู้ที่นำจดหมายลวงนั้นมาถวาย ตามคำสั่งของ

    พวกปฏิวัติที่ต้องการจะล้างชีวิตเจ้านาย เขาเองคือหนุ่มน้อยที่พระเจ้าซาร์และทุกพระองค์ทรงทอด

    พระเนตรอย่างรักใครเอ็นดู และเรียกเขาว่า “มาลาเดียต (เด็กดี)” และเขาเองคือผู้ที่ได้รับ

    ความไว้วางพระทัยที่สุดในยามยาก ถึงขนาดให้ถือสาส์นอันเป็นความเป็นความตายของครอบครัว

    พระองค์ นำไปส่งให้บุคคลลม ๆ แล้ง ๆ ที่ทรงถูกหลอกให้เชื่อโดยพวกเร้ดการ์ด และเขาคนนั้นก็คือ

    “ข้าพเจ้าเอง”

    ในฐานะข้ารองพระบาทที่ชั่วช้าที่สุดนั้น ข้าพเจ้ากำลังเสวยผลกรรมหนักจากความทรยศนั้นอยู่ตลอด

    เวลา ความทรมานใจที่ไม่อาจลบออกได้นี้ว่าเป็นสิ่งเลวร้ายแล้ว แต่สิ่งที่พระเจ้ากำลังลงโทษ

    ข้าพเจ้าอยู่ ที่ร้ายกาจที่สุดคือ การที่ให้ข้าพเจ้ามีอายุยืนนานพอที่จะต้องจมอยู่กับประสบการณ์ที่กรีดหัวใจนั้น

    ข้าพเจ้ารู้ดีว่า แม้ความตายก็ไม่อาจล้างความบาปมหันต์นี้ได้ แต่ก็หวังว่าคำสารภาพนี้จะเป็นสิ่งสุด

    ท้ายที่ได้ช่วยผดุงพระเกียรติแห่งครอบครัวศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ ขอท่านทั้งหลายจงได้โปรดรับรู้ถึงความจริงนี้

    ด้วย และขอดวงพระวิญญาณแห่งทุกพระองค์ ซึ่งบัดนี้ได้เสวยสวรรค์เป็นนักบุณแล้ว ได้โปรดประทาน

    อภัยให้ข้าผู้เลวทรามด้วยเถิด

    อาห์-มิน…อาเมน


    [ยูรอฟสกี้ได้ย้ายพระศพทั้งหมดมาฝังไว้ลวก ๆ ในหล่มโคลนข้างถนน


    แล้วใช้กรดกำมะถันโรยลงไปเพื่อให้ศพเปื่อยยุ่ย แล้วใช้ไม้หมอนรถไฟมาทับไว้]


    ข้อมูลจาก : นพ.กฤษดา ศิรามพุช

    ——————————————————–

    *หมายเหตุ :* มีผู้สงสัยว่า เจ้าฟ้าหญิงอนาสตาเซียอาจไม่ได้สิ้นพระชนม์ในคืนวันสังหารจริง และ

    พระองค์อาจยังมีชีวิตอยู่จนถึงวัยชรา และอาจเป็นคนเดียวกับ แอนนา แอนเดอร์สัน (ที่มีชีวิตอยู่

    ตั้งแต่ 16 ธันวาคม 1896 – 12 กุมภาพันธ์ 1984) เพราะมีช่วงอายุ และรูปลักษณ์ต่าง ๆ ใกล้

    เคียงกันมาก แต่ภายหลังมีการพิสูจน์แล้วว่า DNA ของ แอนนา แอนเดอร์สัน ไม่ใกล้เคียงพอที่จะ

    เป็นหนึ่งในราชวงศ์โรมานอฟได้ นั่นคือ แอนนา และ เจ้าหญิงอนาสตาเซีย ไม่ได้มีความเกี่ยวพันกัน

    นั่นเอง


     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Gossipสาสุข


    5 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศเปลี่ยนบัตรทองเป็น “ประกันสุขภาพทั่วหน้า”

    ความสำเร็จที่ “ไม่สำเร็จ” ?





    ก่อนที่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า จะรู้กันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. จะรับตำแหน่ง เป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐหรือไม่?



    เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา ระหว่างเดินสายพบปะกับชาวบ้านที่ จ.มุกดาหาร พล.อ.ประยุทธ์ พูดเวทีขึ้นมาคำหนึ่งว่า ให้ยกเลิกการเรียก "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" ว่า "บัตรทอง" เสียที



    รวมถึงให้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่าเป็น "บัตรประกันสุขภาพทั่วหน้า" เพราะ "บัตรทอง" นั้น หมดยุคไปแล้ว เพราะรัฐบาลรวบมาทำทั้งหมดจน "ดีขึ้น" จากที่ก่อนหน้านี้ "เจ๊ง" หมด



    ทำให้ Gossipสาสุข ต้องพานั่งย้อนไทม์แมชชีนกลับไป



    ว่าตั้งแต่วันที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทุบโต๊ะทำรัฐประหารรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้วนั้น มีอะไรเปลี่ยนแปลงในระบบหลักประกันสุขภาพบ้าง



    (1) สร้างวาทกรรม "บัตรทอง" ทำให้คนไม่ดูแลสุขภาพ- รพ.เจ๊ง



    หากจำกันได้ เมื่อเดือน ก.ย. 2558 พล.อ.ประยุทธ์ ไปประกาศในที่ประชุมสหประชาชาติ นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ถึงความสำเร็จในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ด้วยความยาวกว่า 10 นาที



    แต่หลังจากนั้น พอกลับมาเมืองไทย ก็โจมตีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าชุดใหญ่



    ธ.ค.2558 - ประยุทธ์ บอกว่า 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นโครงการที่ "สุดยอด" แต่รายได้ไม่มี



    ก.พ. 2561 - ประยุทธ์ พูดกับผอ.องค์การอนามัยโลก ยอมรับว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมาก และรัฐบาลพร้อมสานต่อ



    ก.ย. 2561 – ประยุทธ์ พูดที่ทำเนียบรัฐบาลว่า "รักษาฟรี" ทำให้คน "ไม่ดูแลสุขภาพ" และทำให้โรงพยาบาลเจ๊ง



    ก.ย. 2561 - ประยุทธ์ อ่านข้อมูลมั่วในรายการคืนวันศุกร์ บอกว่า 30 บาทไม่สามารถรักษา "โรคเรื้อรัง" รวมถึงรักษาได้เฉพาะ "โรงพยาบาลรัฐ" เท่านั้น



    และเมื่อเตรียมเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง การโจมตี "บัตรทอง" ว่าเป็นโครงการประชานิยม ก็เกิดขึ้นเกือบทุกเวที ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องขึ้นปราศรัย



    แต่ในเวลาเดียวกัน ทั้ง รมว.สาธารณสุข หรือแม้กระทั่ง ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ก็ต้องขึ้นเวที บอกกับชาวโลกว่า โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นโครงการที่ดี และรัฐบาลพร้อมสนับสนุนต่อ



    ในรัฐบาลชุดนี้ จึงเต็มไปด้วยความ "ไม่คงเส้นคงวา" ในการตัดสินนโยบายๆ หนึ่ง



    และทำให้ไม่มีใครเชื่อมั่นว่า หากพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ ต่อ จะสนับสนุน "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" ต่อไปหรือไม่?



    (2) ส่งสารพัดหน่วยงานตรวจสอบ - แขวนเลขาธิการสปสช. ก่อนจะไม่เจออะไร...



    ต้องยอมรับว่าจังหวะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามานั้น เป็นจังหวะดี เพราะอยู่ในระหว่างศึกสงครามระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งนำโดยปลัดนกหวีดทองคำ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ กับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อดึงงบประมาณบัตรทอง ไปให้กระทรวงฯ จัดการเอง



    ท่ามกลางข้อครหาที่ว่า สปสช. ทุจริต -กินค่าหัวคิวเงินบัตรทอง – บริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ



    แม้รัฐมนตรีชุดแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ ส่งมาอย่าง ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สธ. และ นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รมช.สธ. จะเอียงข้างไปฝั่ง สปสช. ชัดเจน



    แต่คอนเนคชันของปลัดณรงค์กลับเหนือกว่า ไปดึงเอา คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) รวมถึงสารพัดองคาพยพของกระทรวงยุติธรรมเข้ามาถล่ม สปสช.



    ทำให้สุดท้าย นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. ต้องถูก "แขวน" ตั้งแต่ปี 2558 จนกระทั่งหมดวาระการดำรงตำแหน่ง



    และในห้วงเวลาไล่เลี่ยกัน แม้จะมีการโยก นพ.ณรงค์ ในสมัยหมอรัชตะ เพราะทำงานกับรัฐมนตรีไม่ได้



    แต่สุดท้าย ก่อนจะเกษียณอายุ หมอณรงค์ก็ได้กลับมาในช่วงกลางปี 2558



    แต่ "บัตรทอง" และ สปสช. ที่โดนกระหน่ำตรวจสอบในยุค คสช. ก็ไม่พบความผิดอะไร



    มีเพียงการเปลี่ยนระบบบางอย่าง ให้ถูกต้องตามระเบียบราชการมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องการทุจริต



    3 ปีแรก ของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นความขัดแย้งที่เสียเวลา และเสียเปล่า...



    (3) เลือก "ปิยะสกล" นั่ง สุดท้าย "ลอยตัว"



    เมื่ออยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างฟากข้าราชการ และฟากตระกูล ส. สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ ก็ส่ง ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ณ ศิริราช เป็นรัฐมนตรี



    ท่ามกลางที่ปรึกษา "เทคโนแครต" รายล้อม และจากความคาดหวังของพวกกระทรวงเดิมว่า จะถือธงนำ รบกับ สปสช. อีกสักรอบ



    อย่างไรก็ตาม ท่าทีของหมอปิยะสกล กลับเลือกที่จะทำงานแบบ "ปลัดกระทรวง" มากกว่ารัฐมนตรี



    กล่าวคือ ไม่มีนโยบายอะไรใหม่ๆ ไม่สุมไฟความขัดแย้ง หากมีนโยบายอะไรที่ข้าราชการทำอยู่แล้วก็สนับสนุน ก็ทำต่อไป

    แต่จะไม่ "สั่ง" อะไรเพิ่ม



    ซ้ำยังเป็นมิตรที่ดีกับพี่ใหญ่ตระกูล ส. อย่าง นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ที่ส่งหมอปิยะสกล เดินสาย "ขาย" หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ไปทั่วโลก เพราะเป็นเรื่องเดียวที่พอจะชูเป็นผลงาน "ระดับโลก" ได้



    ส่วนงานที่ข้าราชการลุ้นนักลุ้นหนา อย่างการพยายามดึงเงินกลับมาที่กระทรวง หรือแม้แต่การเข้าไปเกลี่ยงบบัตรทอง ลงเขตสุขภาพ ลดปัญหาขาดทุนโรงพยาบาลใหญ่ๆ นั้น รัฐมนตรีกลับเลือกนิ่งเฉย



    มิหนำซ้ำ ปลัดที่หมอปิยะสกลตั้ง อย่าง นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ยังกลับมีท่าทีเลือกฝั่ง สปสช.



    แต่ปลัดก็คือปลัด ไม่ทำอะไรล้ำหน้า หากรัฐมนตรีไม่สั่ง



    เมื่อรัฐมนตรี "ลอยตัว" สุดท้ายคนกระทรวง ก็ "ตัวใครตัวมัน"



    (4) เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาฟรีทุกสิทธิ์ ความสำเร็จที่ "ไม่สำเร็จ"



    หนึ่งในความภาคภูมิใจของรัฐบาลชุดนี้ คือการดันนโยบาย UCEP หรือ "เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ ดีทุกสิทธิ์"



    อันที่จริง เป็นความคิด ตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ขณะนั้นนโยบายยังไม่ชัดเจน ว่าใคร ทำอะไร และใครรับผิดชอบ



    ใช้เวลาในการหารือ ทั้งการทะเลาะกันเรื่องบทบาทตามกฎหมาย ทั้งเรตที่จะจ่ายให้โรงพยาบาลเอกชน รวมถึงใครจะเป็นตัวกลางเคลียร์เงินในแต่ละกองทุนสุขภาพ ที่จะจ่ายให้โรงพยาบาล กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน



    ในที่สุดรัฐบาลประยุทธ์ ก็หาคนรับผิดชอบจนได้คือ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)



    แต่ก็ตามมาด้วยปัญหามากมาย เช่น การตกลงกับโรงพยาบาลว่า หากเจ็บป่วยฉุกเฉิน จะต้องจ่ายเท่าไหร่ จนหลายโรงพยาบาลบ่นอุบว่า "ขาดทุน" จากการรับผู้ป่วยฉุกเฉิน ตามเรตของรัฐบาล



    หรือที่หนักกว่า และมีผลกระทบกับประชาชนอย่างการเลือกจะ "ปฏิเสธ" ผู้ป่วยของบางโรงพยาบาล ทั้งที่มีแนวโน้มเข้าข่าย "ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต" สีแดง



    ทั้งหมดนี้ ไม่มีกลไกคุ้มครองผู้ป่วย ผู้ป่วยเอง ก็ไม่สามารถร้องเรียนกับใครได้ ทั้งที่นี่คือ "นโยบายรัฐ"



    สุดท้าย เจ็บป่วยฉุกเฉินรักษาฟรี จึงเป็นความสำเร็จ ที่ไม่สำเร็จ...



    (5) สารพัดแนวคิดปฏิรูป สุดท้าย "เหลว"



    อันที่จริง มีความพยายามหลายอย่างเกิดขึ้นในสมัย คสช. ที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า



    ไม่ว่าจะเป็นการแก้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเอาเงินเดือนแพทย์ กลับไปไว้ในงบประมาณกระทรวงสาธารณสุข หรือการเพิ่มสัดส่วนบอร์ด ในฟาก "ข้าราชการ"



    ไม่ว่าจะเป็นการพยายามออก พ.ร.บ.ซุปเปอร์บอร์ด ตั้งหน่วยงานมาบูรณาการหน่วยงานด้านสุขภาพ และบูรณาการ 3 กองทุนสุขภาพเข้าด้วยกัน



    หรือการออก พ.ร.บ.นำเงินจากภาษีบุหรี่ มาสมทบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อหาทางเติมเงินบัตรทอง



    และข้อเสนอ การ "เปิดช่อง" เพื่อให้ประชาชนสามารถ "ร่วมจ่าย" บัตรทอง ผ่านภาษีเงินได้ หรือ บริจาค ในรูปแบบต่างๆ

    แต่ทั้งหมดก็ไม่เกิดขึ้น เพราะมีผู้ส่วนได้ส่วนเสียคัดค้านจำนวนมาก



    การแก้ พ.ร.บ.หลักประกันฯ และ พ.ร.บ.ซุปเปอร์บอร์ด ถูกกลุ่มเอ็นจีโอคัดค้าน เพราะเห็นว่าจะล้มหลักการเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งก็เป็นโชคดีสำหรับสังคมไทยที่แก้ไขไม่สำเร็จ ส่วนภาษีบุหรี่ ถูกค้านจากผู้ประกอบการยาสูบ และชาวไร่ยาสูบ



    ขณะที่การเปิดช่องให้ร่วมจ่าย ล้มตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เพราะกลัวถูกปลุกกระแสให้คนเกลียดรัฐบาล



    ในที่สุด ผ่านมา 5 ปี การพัฒนาบัตรทองให้ดีขึ้น จึงไม่มีสาระสำคัญใดๆ


    #หลักประกันสุขภาพ #30บาทรักษาทุกโรค #บัตรทอง


     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มารา กล้วยตานี

    เด็กฝึกการต่อสู้ หลังปอเนาะ? นี้คือข้อเท็จจริง
    ต่อกรณีที่ ผู้จัดการออนไลน์ เผยแพร่ข่าว เมื่อ 29 ม.ค. 2562 เวลา 19:10 กรณี นายกการศึกษาปอเนาะฯ ยันเด็กถูก จนท.คุมตัว ไม่ได้ฝึกร่างกาย ระบุเป็นการเล่นของเด็กกัมพูชา สืบเนื่องมาจาก เมื่อ 29 ม.ค.62 พ.อ.สมคิด คงแข็ง ผบ.ฉก.ทพ. 42 นำกำลังเจ้าหน้าที่ปิดล้อมตรวจค้น จับนักเรียนปอเนาะที่เป็นชาวกัมพูชา ที่ไม่มีหนังสือเดินทาง และหนังสือเดินทางหมดอายุ หลังจากเข้ามาฝึกร่างกายต่อสู้ด้วยมือเปล่า บริเวณสถาบันศึกษาปอเนาะ มัดรอสาตูลฟาละห์ เลขที่ 4 หมู่ 4 ต.ถนน อ.มายอ จ.ปัตตานี เนื่องจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า มีการฝึกร่างกายด้วยมือในปอเนาะ จึงเฝ้าดูพฤติกรรมจนมั่นใจและนำมาสู่การปิดล้อมจับกุม พบผู้ต้องสงสัย 14 คน หนังสือเดินทางหมดอายุ และบางคนไม่มีหนังสือเดินทาง จึงได้นำมาสอบสวนที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร ซึ่งความคืบหน้าคดีมีดังนี้

    เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 62 ฉก.ทพ.42 ได้เข้าควบคุมตัว ผู้ต้องสงสัย จำนวน 14 คน เป็นชาวไทยมุสลิม 3คน (บาบอ กับผู้ช่วย) เป็นชาวกัมพูชา 11 คน (เยาวชน 3 คน) และนำไปควบคุมตัวที่ ศูนย์ซักถาม ค่ายอิงคยุทธบริหาร
    เมื่อ 30 ม.ค. 62 ปล่อยตัวชาวกัมพูชา 3 คน ชาวไทยมุสลิม (บาบอ) 1 คน ส่วนชาวกัมพูชา 3 คน ซึ่งเป็นเยาวชน ต้องดำเนินคดี ข้อหาอยู่เกินกำหนด (over stay) 2 คน และหลบหนีเข้าเมือง 1 คน โดยได้ส่งตัวเข้าสู่กระบวนการกฎหมายเด็กฯ
    เมื่อ 3 ก.พ. 62 ดำเนินการ ส่งตัวชาวกัมพูชา 8 คน ชาวไทยมุสลิม 2 คน กลับไปที่ สภ.มายอ รวม10 คน และแจ้งข้อหา ชาวกัมพูชา อยู่เกินกำหนด 7 คน อีก 1 คน ยังไม่เกินกำหนดฯ มอบให้ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง รับตัวไป ผลักดันกลับประเทศต้นทาง ส่วนชาวไทย มุสลิม 2 คน ได้รับการปล่อยตัว
    เมื่อ 4 ก.พ. 62 ส่งตัวชาวกัมพูชาทั้ง 9 คน ฟ้องศาลฯ ต่อไป
    สำหรับ เหตุผลและความจำเป็นที่ จนท.รัฐ ต้องบังคับใช้กม.ในพื้นที่ต่อ กลุ่ม ผกร.หรือ ผู้ต้องสงสัยภายใต้อำนาจ กม.พิเศษ ซึ่งจนท.ต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวังในทุกขั้นตอน และต้องมีมาตรการเพื่อป้องกันการตอบโต้ซึ่งมีกรณีตัวอย่างมาโดยตลอด สำหรับในครั้งนี้ จนท.ก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่า บุคคลต้องสงสัยเป็นใคร มีอาวุธหรือไม่ รู้เพียงพฤติกรรมที่น่าสงสัยว่า อาจเป็นการฝึกของ ผกร. ทั้งรูปแบบและท่าทาง ซึ่งไม่ใช่ท่าออกกำลังกายและไม่ใช่เวลาที่บุคคลทั่วไป จะมาออกกำลังกาย
    ฉะนั้นการดำเนินการในครั้งนี้ จนท.รัฐ ไม่ได้มีเจตนาหรือ อคติต่อสถาบันปอเนาะแห่งนี้ เพราะทราบดีว่าสถาบันปอเนาะ คือ ศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิตในด้านศาสนาและวัฒนธรรมอิสลาม เพื่อเสริมสร้างให้ชุมชนมีความรู้และความประพฤติที่ดีงามในการดำรงชีพอย่างสันติสุขและมีความรับผิดชอบต่อสังคม ประเทศชาติ จึงไม่มีเหตุผลใดในการเข้าดำเนินการต่อสถานศึกษาศาสนาเหล่านี้ เพียงแต่เป็นการป้องปรามการกระทำที่อาจทำให้เกิดความไม่สงบ เรียบร้อยในพื้นที่ เท่านั้น

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัสเซียสวนเจ็บแนะสหรัฐฯทำลายฐานยิง'โทมาฮอว์ค'แล้วค่อยอ้างสนธิสัญญานิวเคลียร์

    #MGROnline

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โททัลอพยพคนงานหนีเวเนซุเอลา โดนหางเลขมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
    เผยแพร่: 7 ก.พ. 2562 23:30 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001406101.jpg




    เอเอฟพี - "โททัล" ยักษ์ใหญ่ทางพลังงานสัญชาติฝรั่งเศส ได้อพยพพนักงานออกจากเวเนซุเอลา หลังบัญชีต่างๆของพวกเขาถูกปิดกั้นสืบเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ตามการเปิดเผยโดยซีอีโอของบริษัทในวันพฤหัสบดี(7ก.พ.)

    "บัญชีต่างๆของบริษัทถูกบล็อค ผลจากการตัดสินใจของสหรัฐฯ" แพทริค ปัวญงนี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโททัล เปิดเผยระหว่างนำเสนอรายงานผลประกอบการประจำปีของโททัล

    "มาตรการคว่ำบาตรยังก่อปัญหาทางในปฏิบัติอื่นๆ ในนั้นก็คือเราไม่สามารถบริหารจัดการงานในเวเซุเอลาจากสหรัฐฯอีกต่อไป เราต้องหันไปบริหารจากยุโรปแทน" เขากล่าว "จากสิ่งที่เกิดขึ้น เราตัดสินใจอพยพบุคลากรทั้งหมดออกจากเวเนซุเอลา มาตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้ว"

    สหรัฐฯกำหนดมาตรการคว่ำบาตร PDVSA รัฐวิสาหกิจทางพลังงานของเวเนซุเอลาเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว ในความพยายามยกระดับกดดันปะธานาธิบดีนิโคลัส มาดููโร

    ปัวญงนี บอกว่า โททัล จะให้ความเคารพต่อมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯและปฏิบัติการต่างๆของทางบริษัทในเวเนซุเอลาจะถูกปรับให้อยู่ในโหมดนิ่งสนิท

    เว็บไซต์ของโททัล ระบุว่าพวกเขามีพนักงานในเวเนซุเอลาราว 50 คน ในขณะที่ปฏิบัติการต่างๆของพวกเขาในประเทศแห่งนี้ เกี่ยวข้องกับการสำรวจและผลิตน้ำมันดิบกับก๊าซธรรมชาติ

    อย่างไรก็ตาม ปัวญงนี กลบความกังวลเกี่ยวกับความสำคัญของเวเนซุเอลาที่มีต่อโททัล โดยยืนยันในเวเนซุเอลามีค่าเพียง 50,000 บาร์เรล จากกำลังผลิตน้ำมันดิบ 3 ล้านบาร์เรลในทุกๆวันของทางบริษัท

    ก่อนหน้านี้ โททัล แถลงว่ามีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 33% เป็น 11,400 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 สืบเนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น

    https://mgronline.com/around/detail/9620000013611
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'ทรัมป์'ยังคุยลั่นอาทิตย์หน้าประกาศชัยเหนือไอเอส 100% ขณะรมว.ต่างประเทศมะกันปลอบพันธมิตร สหรัฐฯถอนทหารจากซีเรีย ไม่ใช่จะเลิกรบแล้ว
    เผยแพร่: 7 ก.พ. 2562 23:51 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001408601.jpg

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมของกลุ่มพันธมิตรเพื่อปราบปรามเอาชนะกลุ่มไอซิส (ไอเอส) ณ กระทรวงการต่างประเทศอเมริกัน ในกรุงวอชิงตัน วันพุธ (6 ก.พ.)
    รอยเตอร์/เอเอฟพี – ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ คุยลั่นในวันพุธ (6 ก.พ.) ว่า เขาคาดหมายจะสามารถประกาศเป็นทางการได้อย่างเร็วที่สุดในอาทิตย์หน้าว่า กลุ่มพันธมิตรซึ่งร่วมมือกันโดยมีสหรัฐฯเป็นผู้นำ ในการต่อสู้กับพวกนักรบของกลุ่ม “รัฐอิสลาม” สามารถชิงพื้นที่ซึ่งกลุ่มสุดโต่งกลุ่มนี้เคยยึดเอาไว้ กลับคืนมาได้ทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม ทางด้านรัฐมนตรีต่างประเทศ ไมค์ พอมเพโอ พยายามคลายกังวลเหล่าชาติพันธมิตร โดยยืนยันว่าวอชิงตันแค่เปลี่ยนยุทธวิธี พร้อมเรียกร้องประเทศต่างๆ ร่วมมือกันกำจัดกลุ่มก่อการร้ายนี้ให้สูญพันธุ์ถาวร

    “ดินแดนของพวกเขาสูญเสียไปแล้ว มันเป็นปัจจัยใหญ่ประการหนึ่ง –ดินแดนของพวกเขาสูญเสียไปแล้ว” ทรัมป์บอกกับเหล่ารัฐมนตรีต่างประเทศและพวกเจ้าหน้าที่อาวุโสอื่นๆ จาก 79 ประเทศซึ่งได้ทำงานเคียงข้างกับสหรัฐฯ ในการสู้รบกับนักรบกลุ่มไอเอสในซีเรียและอิรัก

    การที่ทรัมป์ตัดสินใจเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ว่าจะถอนกองทหารสหรัฐฯซึ่งมีจำนวนประมาณ 2,000 คนออกจากซีเรีย ได้ทำให้เกิดความรู้สึกช็อกจากพวกประเทศและกลุ่มที่ร่วมสู้รบอยู่กับอเมริกา รวมทั้งเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากภายในอเมริกาทั้งจากสมาชิกรัฐสภาของพรรครีพับลิกันและของพรรคเดโมแครต เนื่องจากพวกเขาหวั่นเกรงว่า กลุ่มรัฐอิสลามอาจจะฟื้นคืนความเข้มแข็งของพวกเขาขึ้นมาได้ใหม่

    พลเอกโจเซฟ โวเทล ผู้บัญชาการของกองบัญชาการทหารสหรัฐฯด้านกลาง (US Central Command หรือ USCENTCOM) ซึ่งรับผิดชอบดูแลด้านการทหารของอเมริกาทั้งในตะวันออกกลางและอัฟกานิสถาน ก็กล่าวในการไปให้ปากคำต่อวุฒิสภาเมื่อวันอังคาร (5) ว่า ไอเอสอาจผงาดขึ้นมาได้ใหม่ภายหลังสหรัฐฯถอนตัวออกไป

    ในวันพุธ (6) ทรัมป์ไม่ได้แสดงท่าทีลดความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะถอนตัวจากซีเรีย โดยกล่าวว่า “เรากำลังเฝ้ารอคอยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นแก่บรรดานักรบผู้กล้าหาญของเราในซีเรียในเวลากลับถึงบ้าน”

    “กองทหารสหรัฐฯ, เหล่าหุ้นส่วนพันธมิตรของเรา, และกองกำลังฝ่ายประชาธิปไตยชาวซีเรีย ในทางเป็นจริงได้ปลดปล่อยดินแดนทั้งหมดทั้งสิ้นซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกยึดเอาไว้โดยพวกไอซิส (ไอเอส) ในซีเรียและในอิรัก” ทรัมป์กล่าวกับที่ประชุมซึ่งจัดขึ้น ณ กระทรวงการต่างประเทศอเมริกันในกรุงวอชิงตัน ทั้งนี้ กองกำลังฝ่ายประชาธิปไตยชาวซีเรีย (Syrian Democratic Forces หรือ SDF ) ที่ทรัมป์กล่าวถึง เป็นกองกำลังอาวุธของฝ่ายกบฎชาวซีเรียที่สหรัฐฯสนับสนุนอยู่ โดยกลุ่มซึ่งเข้มแข็งที่สุดใน SDFคือกลุ่มชาวเคิร์ดในซีเรีย

    เขาบอกด้วยว่า “ควรที่จะสามารถประกาศอย่างเป็นทางการ ในช่วงใดช่วงหนึ่ง บางทีอาจจะในสัปดาห์หน้านี่แหละ ว่าเรายึดครองพื้นที่ของคอลิฟะห์ (รัฐกาหลิบที่พวกไอเอสประกาศจัดตั้งขึ้น) ได้ทั้ง 100 เปอร์เซนต์แล้ว”

    อย่างไรก็ดี ทรัมป์กล่าวในเชิงยอมรับว่า พวกไอเอสยังคงเหลืออยู่ในลักษณะเป็น “พวกเศษเดน –นั่นคือทั้งหมดที่พวกเขามีกันอยู่ เป็นพวกเศษเดน-- กระนั้นพวกเศษเดนก็ยังสามารถที่จะสร้างอันตรายได้อย่างมาก”

    “ขอให้พักผ่อนด้วยความสบายใจ พวกเราจะทำสิ่งที่ต้องทำเพื่อสร้างความปราชัยให้แก่ทุกๆ ออนซ์ และให้แก่ทุกๆ บุคคลจนกระทั่งคนสุดท้ายภายในความบ้าคลั่งของกลุ่มไอซิส (ไอเอส) และพิทักษ์ปกป้องประชาชนของเราจากลัทธิก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรง” เขาบอก

    562000001408602.jpg

    บรรดาผู้แทนรับฟังคำปราศรัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

    ก่อนหน้าที่ทรัมป์กล่าวปราศรัย รัฐมนตรีต่างประเทศพอมเพโอของสหรัฐฯ ได้กล่าวย้ำมุ่งสร้างความมั่นใจให้แก่บรรดาชาติพันธมิตรทั้งหลายว่า การที่สหรัฐฯถอนทหารออกจากซีเรีย ไม่ได้หมายถึง “อเมริกายุติการสู้รบ” ปราบปรามพวกรัฐอิสลาม พร้อมกันนั้นเขายังเรียกร้องบรรดาชาติพันธมิตรให้ช่วยเหลือยังความปราชัยอย่างถาวรแก่พวกรัฐอิสลามในซีเรียและในอิรัก

    “การที่ทหารสหรัฐฯกำลังถอนตัวออกจากซีเรีย ไม่ไดหมายถึงการที่อเมริกายุติการสู้รบ การสู้รบนี้เป็นการสู้รบหนึ่งซึ่งเราจะดำเนินต่อไปเคียงข้างพวกท่านทั้งหลาย” พอมเพโอกล่าว “การถอนทหารนี้โดยสาระสำคัญแล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางยุทธวิธี มันไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงในภารกิจ มันเพียงแค่เป็นตัวแทนแสดงถึงขั้นตอนใหม่ในการสู้รบอันเก่า”

    อย่างไรก็ดี คำเตือนของพอมเพโอและฝ่ายอื่นๆ ที่ว่าไอเอสยังคงเป็นภัยคุกคามที่มีอันตรายสูง ยังคงเสมือนเป็นการตบหน้าใส่ทรัมป์ ซึ่งกล่าวในตอนประกาศถอนทหารอเมริกันออกไปจากซีเรียว่า ไอเอสนั้นพ่ายแพ้แล้ว

    สำหรับการประชุมในวันพุธคราวนี้ บังเกิดขึ้นท่ามกลางความพยายามเบื้องหลังฉากของฝ่ายต่างๆ ที่จะบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เกิดผลพวงต่อเนื่องที่ไม่พึงประสงค์จากการถอนทหารของสหรัฐฯ เป็นต้นว่า การรักษาสันติภาพระหว่างตุรกีกับกลุ่มนักรบชาวเคิร์ด ตลอดจนการหาทางออกสำหรับพวกนักรบญิฮาดต่างชาติหลายร้อยคนซึ่งถูกคุมขังอยู่ในซีเรีย โดยที่วอชิงตันกำลังเสนอว่าควรจะจัดส่งบุคคลเหล่านี้กลับประเทศบ้านเกิด

    กระนั้น การประชุมที่ใช้เวลาเพียงวันเดียวครั้งนี้ไม่มีคำประกาศสำคัญใดๆ ออกมา มิหนำซ้ำบรรดาผู้นำของอเมริกายังให้ความสำคัญกับประเด็นภายในประเทศมากกว่า เช่น ทรัมป์ถือโอกาสนี้ย้ำว่า จะใช้ไม้แข็งกับปัญหาการลักลอบเข้าเมือง นอกจากนั้น ยังไม่มีการเชิญตัวแทนจากรัฐบาลซีเรียและอิหร่านที่มีส่วนในการต่อสู้กับไอเอส ร่วมประชุมด้วย

    หนึ่งในประเด็นสำคัญในการหารือซึ่งดูจะยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจนและต้องมีการหารือกันต่อไป คือ ควรจัดตั้งเขตกันชนขึ้นที่บริเวณชายแดนซีเรียติดกับตุรกีหรือไม่ โดยที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องพัวพันไปถึงเรื่องนักรบญิฮาดต่างชาติ

    เอสดีเอฟซึ่งกองกำลังสำคัญคือชาวเคิร์ด เตือนว่าคงไม่สามารถดูแลคุกที่ขังพวกนักรบญิฮาด ซึ่งมีทั้งที่มาจากฝรั่งเศส อังกฤษ ตลอดจนประเทศอื่นๆ อีกต่อไปหลังจากอเมริกาถอนกำลังออกจากซีเรีย แล้วตุรกีเข้าโจมตีดินแดนยึดครองของตน

    ขณะที่ประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ซึ่งเคยหารือกับทรัมป์ก่อนที่ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศถอนทหารนั้น ยืนยันว่าจะบดขยี้นักรบเคิร์ดในซีเรียซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวเคิร์ดแบ่งแยกดินแดนในตุรกี

    เมฟลุต คาวูโซกลู รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีที่ร่วมประชุมในกรุงวอชิงตันครั้งนี้ด้วย กล่าวว่าตุรกีจะดำเนินการเพื่อป้องกันสุญญากาศแห่งอำนาจที่อาจเข้าทางกลุ่มชาวเคิร์ดในซีเรีย ซึ่งตุรกีเรียกว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย

    https://mgronline.com/around/detail/9620000013617
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ถ้าฝ่ายค้านเวเนฯเล็งใช้รายได้น้ำมันในอเมริกา สร้างท่อน้ำเลี้ยงขับเคลื่อนโค่นลัม'มาดูโร' แล้วคิดว่า ฝ่ายรัฐบาล ของ 'มาดูโร' จะยอมส่งน้ำมันขายให้อเมริกา เพื่อให้ฝ่ายค้านมีรายได้นำมาใช้โค่นล้มตนเอง และรายได้จากการขายน้ำมันควรนำมาใช้เพื่อประชาชนในประเทศ ไม่ใช่เพื่อมาใช้โค่นล้มอำนาจของใคร

    ฝ่ายค้านเวเนฯเล็งใช้รายได้น้ำมันในอเมริกา สร้างท่อน้ำเลี้ยงขับเคลื่อนโค่นลัม'มาดูโร'

    เผยแพร่: 7 ก.พ. 2562 21:24 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001403701.jpg

    ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ของเวเนซุเอลา เข้าร่วมการซ้อมรบของทหาร ในเมืองมาราไคโบ เมื่อวันพุธ (6 ก.พ.) ตามภาพที่เผยแพร่โดยทำเนียบประธานาธิบดีภาพนี้ ทั้งนี้ฝ่ายมาดูโรใช้ความพยายามอย่างหนักในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ว่าฝ่ายทหารเวเนซุเอลายังคงจงรักภักดีต่อประมุขของประเทศผู้นี้
    เอเจนซีส์ - ฝ่ายค้านเวเนซุเอลาเล็งใช้รายได้จากการขายน้ำมันของประเทศในดินแดนอเมริกา มาขับเคลื่อนความพยายามในการโค่นล้มประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ขณะเดียวกันทำเนียบขาวก็เดินหน้ากดดันรัฐบาลกรุงการากัส โดบแย้มอาจยกเลิกมาตรการแซงก์ชันสำหรับนายทหารอาวุโสของเวเนฯาที่เปลี่ยนข้างมาสนับสนุนฝ่ายค้าน ด้านรัสเซียเผยถูกยุโรปและละตินอเมริกากีดกันไม่ให้เข้าร่วมประชุมแก้ไขวิกฤตการณ์เวเนซุเอลา

    คาร์ลอส ปาปาโรนี สมาชิกฝ่ายค้านในรัฐสภาเวเนซุเอลา เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (6 ก.พ.) ว่า เงินทุนดังกล่าวจะมาจากรายได้ขอ งซิตโก ปิโตรเลียม ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งอยูในสหรัฐฯ ในเครือของรัฐวิสาหกิจน้ำมันพีดีวีเอสเอของเวเนซุเอลา ทั้งนี้หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศตั้งแต่เดือนที่แล้ว รับรองผู้นำฝ่ายค้าน ฮวน กวยโด ว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเฉพาะกาลของเวเนซุเอลา

    ซิตโกซึ่งเป็นโรงกลั่นน้ำมันใหญ่อันดับ 8 ของสหรัฐฯและถือเป็นสินทรัพย์ต่างประเทศที่สำคัญของเวเนซุเอลา กำลังเป็นเป้าหมายสำคัญในสถานการณ์ที่วอชิงตันรุกฆาตเพื่อชิงการควบคุมสินทรัพย์นี้จากประธานาธิบดีมาดูโร รวมทั้งประกาศแซงก์ชันอุตสาหกรรมน้ำมันของเวเนซุเอลาที่เป็นสมาชิกรายหนึ่งขององค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)

    ปาปาโรนีแสดงความหวังว่า ในสัปดาห์หน้าตัวแทนของฝ่ายค้านเวเนซุเอลาในสหรัฐฯจะประกาศรายละเอียดเรื่องนี้ได้

    ยอน กอยโคเชีย สมาชิกทีมการเมืองของกวยโด เสริมว่า ประธานาธิบดีรักษาการผู้นี้ยังกำลังติดต่อกับพวกคู่ค้าระหว่างประเทศของพีดีวีเอสเอ และคู่ค้าเหล่านั้นยินดีดำเนินงานในเวเนซุเอลาต่อ

    เขายังบอกว่า ทีมงานของกวยโดกำลังวางแผนการจัดการฉุกเฉินเพื่อจัดหาเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชน ภายหลังจากรัฐบาลมาดูโรพ้นจากอำนาจ

    นอกจากนั้นฝ่ายค้านยังพยายามขัดขวางไม่ให้รัฐบาลขายทองคำสำรองเพื่อนำเงินไปใช้จ่ายชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปจากมาตรการแซงก์ชัน

    562000001403702.jpg

    ฮวน กวยโด ผู้นำฝ่ายค้านเวเนซุเอลา ที่ได้รับการรับรองจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯเมื่อเดือนที่แล้ว ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเฉพาะกาลของเวเนซุเอลา

    อย่างไรก็ดี ปาปาโรนีบอกว่า ปีที่แล้วรัฐบาลมาดูโรขายทองคำสำรองจำนวน 73 ตันให้ตุรกีและสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์โดยไม่ขออนุมัติจากสมัชชาแห่งชาติที่ควบคุมโดยฝ่ายค้าน

    เวเนซุเอลานั้นมีทองคำสำรอง 132 ตันเก็บรักษาอยู่ในห้องนิรภัยของแบงก์ชาติและที่ธนาคารกลางอังกฤษ ทั้งนี้ จากข้อมูลจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน

    ในอีกด้านหนึ่ง จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว เผยว่า อเมริกาอาจพิจารณายกเลิกมาตรการแซงก์ชันนายทหารอาวุโสของเวเนซุเอลาที่ยอมรับรองกวยโด

    อย่างไรก็ดี นอกจากนายพลคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ฝ่ายคุมกำลัง ที่เผยแพร่คลิปรับรองกวยโดและเรียกร้องให้ทหารคนอื่นๆ ทำแบบเดียวกันแล้ว ทหารระดับสูงส่วนใหญ่ของเวเนซุเอลายังคงภักดีต่อมาดูโร

    มาดูโรที่ยังคงสามารถควบคุมหน่วยงานรัฐทั้งหมด ประณามว่า กวยโดเป็นหุ่นเชิดของอเมริกาที่ต้องการโค่นล้มตน ทั้งนี้เขาเองยังคงได้รับการสนับสนุนจากจีนและรัสเซีย นอกจากนั้นเมื่อวันพุธ อิตาลีและสโลวาเกียยังเป็นสองประเทศยุโรปล่าสุดที่ท้าทายแนวร่วมอเมริกาและสหภาพยุโรป (อียู) ด้วยการประกาศสนับสนุนมาดูโร

    วันพฤหัสบดี (7) เซียร์เก ริยาบคอฟ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอาร์ไอเอ โนวอสติว่า มอสโกถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมการประชุมนานาชาติเพื่อหารือสถานการณ์เวเนซุเอลาในกรุงมอนเตวิเดโอของอุรุกวัย

    ทั้งนี้ ผู้แทนจาก 8 ชาติของอียูและ 5 ชาติของละตินอเมริกากำหนดหารือกันในวันพฤหัสบดี เพื่อสร้างเงื่อนไขสำหรับกระบวนการทางการเมืองอย่างสันติสำหรับเวเนซุเอลา

    ริยาบคอฟยังเตือนว่า การแทรกแซงของประเทศภายนอกเพื่อมุ่งทำลาย โดยเฉพาะการแทรกแซงทางทหารต่อกิจการภายในของเวเนซุเอลา ถือเป็นสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้

    https://mgronline.com/around/detail/9620000013571
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Sismologia Mundial

    ⚠️VIDEO | ฝนตกหนักกระทบ Chuquicamata ถนนหลายสายถูกน้ำท่วมโดยสิ้นเชิง การบันทึกมาจาก ภูมิภาค Puerta 4 Calama - ชิลี 2019/07/02 # CalamaTambiénEsChile

    ⚠️VIDEO | Fuertes Lluvias Azotaron a Chuquicamata, varias Carreteras se encuentran totalmente inundada , la Grabación es del Sector Puerta 4. Calama - Chile. 07/02/2019. #CalamaTambiénEsChile
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Sismologia Mundial

    ⚠️ การบันทึกที่น่ากลัวของเหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นใน Chuquicamata-Chile มีรถตู้คว่ำ และผู้คนโดดเดี่ยว

    ⛔ Red Alert ได้รับการประกาศใน Calama โดย ONEMI และ Alarm โดยคณะกรรมการอุตุนิยมวิทยาชิลี
    ·
    ⚠️IMPRESIONANTE grabación de las Inundaciones que están ocurriendo en Chuquicamata-Chile , hay Camionetas volcadas y personas aisladas.

    ⛔ Se ha Declarado Alerta Roja en Calama por ONEMI y Alarma por la Dirección Meteorológica de Chile.
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Noticias 507 y el mundo

    บราซิล
    ภาพความเสียหายที่รุนแรงจากพายุที่มาถึงตอนรุ่งเช้า ใน ริโอเดอจาเนโรประเทศบราซิล

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วีดีโอใหม่

    Noticias 507 y el mundo

    ยุโรป
    อุกกาบาตเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกเมื่อเช้านี้ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ด้วยความเร็ว 72,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลูกไฟเข้าไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรป มันมีความเข้มมากกว่าพระจันทร์เต็มดวงและแตกสลายลงที่ระดับความสูง 58 กม.
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Noticias 507 y el mundo

    CRETA
    เข้าสู่ฝุ่นหนาแน่นของทะเลทรายซาฮาราใน Ierapetra, Crete เมื่อวันที่ 5
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สมฉายา 9 ชีวิต เจ้าเหมียวตัวแข็งทื่อ หิมะฝังทั้งเป็น-น้ำแข็งเกาะเต็มตัว วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2562 - 22:45 น.
    photo_2019-02-07_22-50-40-696x392.jpg
    สมฉายา 9 ชีวิต เจ้าเหมียวตัวแข็งทื่อ หิมะฝังทั้งเป็น-น้ำแข็งเกาะเต็มตัว
    สมฉายา 9 ชีวิต – วันที่ 7 ก.พ. เดลีเมล์ รายงานเรื่องราวของ “ฟลัฟฟี” แมวที่ถูกฝังอยู่ใต้กองหิมะในสภาพหิมะก้อนใหญ่เกาะขนเต็มตัวและไม่ตอบสนอง แต่กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง สมดังวลีแมว 9 ชีวิต

    photo_2019-02-07_22-51-42.jpg

    เจ้าฟลัฟฟีเป็นแมวมีเจ้าของ อาศัยอยู่ในเมืองคาลิสเพลล์ รัฐมอนทานา สหรัฐอเมริกา ท่ามกลางอากาศเย็นจัดในช่วงนี้ อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งระหว่าง -1 ถึง -8 องศาเซลเซียส จนเห็นหมอกน้ำแข็งและหิมะตก

    พลเมืองดีพบเจ้าฟลัฟฟีเมื่อสิ้นเดือนที่ผ่านมา จึงรีบพาไปคลินิกสัตว์ของเมืองคาลิสเพลล์

    photo_2019-02-07_22-51-45.jpg


    [​IMG]
    เจวอน คลาร์ก สัตวแพทย์ประจำคลินิก ย้อนเหตุการณ์ว่า ตอนแรกที่เจ้าฟลัฟฟีถูกพามา อุณหภูมิร่างกายของมันต่ำกว่าที่เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิจะแสดงผลได้ เนื่องจากค่าต่ำสุดอยู่ที่เพียง 32.2 องศาเซลเซียส

    แม้จะใช้น้ำอุ่นและผ้าห่มเพื่อคลายความเย็นราว 2 ชั่วโมง อุณหภูมิร่างกายของมันเจ้าฟลัฟฟีก็ยังต่ำอยู่ พร้อมอธิบายว่า ปกติแล้ว แมวควรมีอุณหภูมิร่างกายอยู่ที่ 38.3 องศาเซลเซียส

    photo_2019-02-07_22-51-43.jpg

    สัตวแพทย์จึงตัดสินใจจึงนำเจ้าฟลัฟฟีเข้าห้องฉุกเฉิน และในที่สุดก็เริ่มพบสัญญาณการฟื้นตัวในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ขณะนี้เจ้าฟลัฟฟีฟื้นตัวอย่างเต็มที่แล้ว และกลับสู่อ้อมอกเจ้าของอีกครั้งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

    เพจเฟซบุ๊กคลินิกสัตว์ของเมืองคาลิสเพลล์แชร์ภาพถ่ายของเจ้าฟลัฟฟี พร้อมบรรยายเรื่องราวการเอาตัวรอดอย่างน่าอัศจรรย์ โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กต่างแสดงความคิดเห็นพร้อมอวยพรให้เจ้าฟลัฟฟีด้วย

    https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_2185904
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    c.com%2Fresources%2Fimg%2Feditorial%2F2019%2F01%2F31%2F105711645-1548938798330rts2d1bj.1910x1000.jpg
    (Feb 7) สหรัฐเผยขาดดุลการค้าลดลงในเดือนพ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 เดือน: กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลงในเดือนพ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 5 เดือน โดยตัวเลขขาดดุลการค้าปรับตัวลงจากการลดลงของการนำเข้าโทรศัพท์มือถือ และผลิตภัณฑ์น้ำมัน

    ทั้งนี้ ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลง 11.5% สู่ระดับ 4.93 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.40 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากแตะระดับ 5.57 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค.

    สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนลดลงสู่ระดับ 3.79 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. หลังจากแตะระดับ 4.31 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค.
    กระทรวงพาณิชย์ยังเปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าและบริการลดลง 0.6% สู่ระดับ 2.099 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. ส่วนการนำเข้าสินค้าและบริการลดลง 2.9% สู่ระดับ 2.592 แสนล้านดอลลาร์

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช

    - US trade deficit narrows much more than expected in a win for Trump :
    https://www.cnbc.com/2019/02/06/us-...N69SDBChAa4l-L0ydQa-h_OWZegrZD8YUCltVdjzfIR-c
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    tps%3A%2F%2Ffortunedotcom.files.wordpress.com%2F2019%2F01%2Fgettyimages-944440756-e1549396017752.jpg
    (Feb 7) เฟซบุ๊ก ยกเครื่องเกณฑ์ประเมินพนักงาน เล็งให้โบนัสตามผลงานช่วยเหลือสังคม : เฟซบุ๊ก บริษัทโซเชียลมีเดียรายใหญ่ของสหรัฐ ได้ประกาศปรับเปลี่ยนเกณฑ์ประเมินศักยภาพพนักงาน โดยจะพิจารณาจ่ายโบนัสแก่พนักงานตามบทบาทในการเข้าไปจัดการกับประเด็นทางสังคมที่แวดวงอินเทอร์เน็ตและเฟซบุ๊กกำลังเผชิญ

    แต่เดิมนั้น เฟซบุ๊กพิจารณาจ่ายโบนัสแก่พนักงานโดยประเมินจากการเติบโตของจำนวนผู้ใช้งานและรายได้ ตลอดจนคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ภาพลักษณ์แบรนด์ และการลงทุน

    เฟซบุ๊ก เปิดเผยว่า การประกาศปรับเปลี่ยนเกณฑ์ประเมินพนักงานนี้สะท้อนให้เห็นว่า เฟซบุ๊กกำลังหันไปให้ความสนใจต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคม จากเดิมที่เน้นเพียงการเติบโตของบริษัท โดยเกณฑ์ประเมินใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้บุคลากรของเฟซบุ๊ก เต็มใจเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงอันดีให้เกิดขึ้นในสังคม

    นอกเหนือจากผลงานช่วยเหลือสังคมแล้ว เกณฑ์อื่นๆในการประเมินพนักงานยังรวมถึงการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆ การสนับสนุนธุรกิจที่ต้องพึ่งพาเฟซบุ๊กในการทำงาน และความโปร่งใสในการสื่อสาร

    ทั้งนี้ เฟซบุ๊กจะใช้เกณฑ์ใหม่ในการประเมินศักยภาพพนักงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังก่อนหน้านี้ไม่นาน นายซัคเคอร์เบิร์ได้เปิดเผยว่า บรรดานักวิจารณ์เฟซบุ๊กได้วิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบเกินไปสำหรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่บริษัทได้ดำเนินการ

    นับเป็นเวลานานกว่า 1 ปีแล้วที่เฟซบุ๊กได้พยายามแก้ไขปัญหาบนเครือข่ายสื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งรวมถึงข้อกล่าวหาที่ว่า บริษัทล้มเหลวเรื่องการปกป้องข้อมูลของผู้ใช้งาน โดยมีการกล่าวหาว่า ข้อมูลดังกล่าวถูกนำไปใช้เพื่อการชักจูงช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2559 และยังมีถ้อยคำเกลียดชังและรุนแรงในเฟซบุ๊ก รวมถึงการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้อันเนื่องมาจากการจารกรรมข้อมูล

    นายมาร์ค กล่าวว่า ในบางกรณี บุคคลบางคนได้กล่าววิจารณ์ไปไกลโดยได้นิยามการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยสร้างพลังให้ผู้คนอย่างที่อินเทอร์เน็ตและสื่อโซเชียลเหล่านี้สามารถทำได้ว่า เป็นสิ่งที่อันตรายต่อสังคม

    นายมาร์ค กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอน และผู้คนก็มีพลังมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มในระยะยาวก็คือ การปรับเปลี่ยนทางสังคมจะมีการเปิดกว้างและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นตามกาลเวลา

    นายมาร์ค กล่าวว่า "ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาเป็นเรื่องของการที่คนเราสร้างเครือข่ายเหล่านี้ขึ้นมาและเริ่มเห็นผลกระทบของมัน และในอีก 15 ปีข้างหน้าจะเป็นเรื่องของการที่ผู้คนได้ใช้พลังของตนเองในการเปลี่ยนแปลงสังคม"

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กนิษฐนุช สิริสุทธิ์/รัตนา

    - Facebook's Employee Bonuses Now Hinge on 'Social' Progress
    http://fortune.com/2019/02/05/facebook-bonus-social-issues/
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    iUKZXNVkXQ0fA0hEpbnM4RnMtc79qH2t15ZwyCZ7VuQXZ0B0mYq3qR8MjcnOv4n76mpX3xHQ&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png

    (Feb 7) เศรษฐีแห่ตั้งบริษัททำนา - เศรษฐี-ตระกูลดังเจ้าของแลนด์ลอร์ดทั่วประเทศขยับตัวครั้งใหญ่ แห่ตั้งบริษัท "ทำนาทำสวน-ทำไร่" จัดพอร์ตที่ดินรับมือกฎหมายที่ดิน มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 2563 ที่ปรึกษากฎหมายเผยเป็นโมเดลเพื่อหลบภาระภาษี "ที่ดินรกร้าง" ที่ต้องจ่าย 0.3% และปรับทุก 3 ปี สูงกว่าภาษีที่ดินเพื่อการเกษตรเป็นสิบเท่าตัว

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่สภานิติ บัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา โดยยกเว้นให้กับบุคคลธรรมดาและที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 3 ปีแรก ส่วนธุรกิจรายใหญ่จัดเก็บทันทีเริ่ม 1 มกราคม 2563 ทั้งนี้พบว่ามีความเคลื่อนไหวของเศรษฐีที่ดิน ตระกูลดังหลายราย ในการบริหารจัดการทรัพย์สินประเภทที่ดินกันอย่างคึกคัก ในการจัดตั้ง บริษัทเพื่อบริหารประกอบกิจการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งให้เช่า ซื้อขาย และที่น่าสนใจ คือ มีจำนวนมากที่จัดตั้งบริษัทประกอบกิจการให้เช่าที่ดินทำสวน ทำไร่ หรือเพื่อกิจกรรมทางการเกษตรอื่น ๆ

    ตระกูลดังจัดพอร์ตอสังหาฯ

    เริ่มจากตระกูลโอสถานุเคราะห์ โดยนางเสาวณีย์ โอสถานุเคราะห์ บุตรสาว คุณหญิงมาลาทิพย์ โอสถานุเคราะห์ เจ้าของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง ที่ตั้งบริษัท เอส.เอส.เรียล (สวนหลวง) จำกัด และบริษัท เอส.เอส.เรียล (หลังสวน) จำกัด เมื่อเดือนธันวาคม 2561 เพื่อให้เช่า ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และสิ่งก่อสร้างอาคาร บ้านเรือน อพาร์ตเมนต์ อาคารชุด คอนโดมิเนียม

    เช่นเดียวกับตระกูลศรีเฟี่องฟุ้ง ของ เจ้าสัวบุญทรง ศรีเฟี่องฟุ้ง นักธุรกิจรายใหญ่ เมื่อช่วงดือนธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา จดทะเบียนตั้งบริษัทให้เช่าและซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ในนามบริษัท บี วี เอส แลนด์ จำกัด และบริษัท บี วี เอส เอสเตท จำกัด จากก่อนหน้านี้ที่ได้ทยอยตั้งบริษัทให้เช่าอสังหาริมทรัพย์หลายบริษัท ในช่วง ปี 2560 ที่ผ่านมา อาทิ บริษัท บี แอนด์ วี ธัญญ จำกัด บริษัท บี แอนด์ วี ปทุม จำกัด บริษัท บี แอนด์ วี 99 จำกัด บริษัท บี วี เอส วิลเลจ เป็นต้น

    รวมทั้ง ดร.ชัชวิน-คุณหญิงดารณี เจริญรัชต์ภาคย์ นักธุรกิจชื่อดังที่ตั้งบริษัท พร้อม ๆ กัน 2 แห่ง เมื่อเดือนธันวาคม 2561 คือ บริษัท เทอร์รา เวนเจอร์ จำกัด และบริษัท เทอร์รา เวสท์ จำกัด เพื่อให้เช่าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท และนายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด และ น.ส.พิมพ์ลดา ไชยวรรณ ที่ตั้งบริษัท ทรัพย์มีสุข จำกัด เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2561 เพื่อให้เช่าอสังหาริมทรัพย์

    แห่ตั้งบริษัททำนา-ทำไร่

    ขณะที่แลนด์ลอร์ดอีกจำนวนไม่น้อย ก็มีการจัดตั้งบริษัทเพื่อให้เช่าทำการเกษตร อาทิ ตระกูลแพทยานันท์ กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ของบริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ได้ตั้ง 3 บริษัท คือ บริษัท ทีเอ็มเอวัน จำกัด บริษัท ทีเอ็มเอทู จำกัด และบริษัท ทีเอ็มเอทรี จำกัด เพื่อประกอบกิจการค้า เลี้ยงสัตว์ ทำนา ทำสวน ทำไร่ ทำการเกษตร ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม)

    รวมถึงกลุ่มตระกูลสันติวัฒนา เจ้าของกิจการน้ำมันพืชรายใหญ่ "น้ำมันพืชคิง" ที่ได้ตั้ง บริษัท สันติ ร่วมใจ จำกัด เมื่อเดือนธันวาคม 2561 เพื่อประกอบกิจการให้เช่าที่ดิน ทำสวน ทำไร่

    ขณะที่ตระกูลสัจจาไชยนนท์ ที่เดิมทำกิจการค้าไม้ในชื่อ บริษัท สยามเฮงหมง จำกัด ได้แตกไลน์ธุรกิจออกมาทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เมื่อเดือนธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา ได้ตั้งบริษัท สัจจไพศาล จำกัด เพื่อประกอบกิจการทางด้านการเกษตร ทำนา ทำสวน ทำไร่ ทำการประมง และเพาะปลูกพืชต่าง ๆ และบริษัท สัจจรุ่งโรจน์ จำกัด ประกอบกิจการทางด้านเกษตรกรรม ทำนา ทำสวน ทำไร่ ทำการประมง และเพาะปลูกพืชผลต่าง ๆ

    ส่วนนายเจริญพร สุจินตะบัณฑิต กรรมการและผู้บริหาร สภาหอการค้า ไทย-จีน เจ้าของบริษัท พรชัย อิควิปเมนท์ จำกัด เมื่อเดือนธันวาคม 2561 ได้ตั้งบริษัท วิโปซาโต จำกัด ประกอบกิจการทำนา ทำสวน ทำไร่เช่นกัน

    นักธุรกิจ ตจว.โมเดลเดียวกัน

    นอกจากนี้พบว่า นักธุรกิจและเจ้าของแลนด์ลอร์ดในหลาย ๆ จังหวัด อาทิ นครราชสีมา เชียงใหม่ สมุทรสาคร นนทบุรี กาญจนบุรี ได้ทยอยตั้งบริษัทขึ้นมา โดยระบุวัตถุประสงค์ว่า ประกอบกิจการให้เช่าที่ดินเพื่อทำตลาดทุกประเภท, ให้เช่าที่ดินสำหรับทำตลาดนัด-ตลาดสด, ให้เช่าที่ดินว่างเปล่า, ให้เช่าที่ดินเพื่อการเกษตร, ให้เช่า-พื้นที่สำหรับตากแห้ง ลานข้าวเปลือก ข้าว ข้าวโพด มัน มันสำปะหลัง และมีหลายบริษัทที่ระบุในวัตถุประสงค์การตั้งบริษัทว่าเพื่อประกอบกิจการทำนา ทำสวน ทำไร่

    อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปจะพบว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2560 ก็มีตระกูลดัง จำนวนหนึ่งที่ทยอยตั้งบริษัทเพื่อดำเนินกิจการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมา อาทิ ตระกูลกรรณสูต โดยนายไกรสีห์ (อดีตผู้ว่าการ กฟผ.) นางผ่องจิตต์ กรรณสูต และนางชญานี เกริกกฤตยา ที่ตั้งบริษัทชื่อ "มีสุขแลนด์" ขึ้นมามากกว่า 10 บริษัท

    จัดพอร์ต "ลดภาระ" ภาษีที่ดิน

    นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอยู่ระหว่างรอให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเริ่มมีการจัดเก็บภาษีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังจัดทำกฎหมายลูกร่วม 10 ฉบับ

    สำหรับกรณีที่มีเอกชนแห่ไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเพื่อทำธุรกิจให้เช่าที่ดินเป็นหลักนั้นเข้าใจว่า น่าจะเป็นการปรับตัวรับมือกับภาษีที่ดิน เนื่องจากหากปล่อยไว้เป็นที่รกร้างว่างเปล่าจะต้องเสียภาษี และปรับเพิ่มขึ้นทุก ๆ 3 ปี

    "ในปีแรก ๆ อัตราภาษีระหว่างการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ กับที่รกร้างว่างเปล่า ยังเสียอัตราเท่ากัน แต่หากผ่านไปทุก 3 ปี ยังปล่อยเป็นที่รกร้างว่างเปล่าอยู่ ยังไม่ทำประโยชน์ ก็จะถูกปรับอัตราภาษีเพิ่มอีก 0.3% ซึ่งการที่เห็นไปจดทะเบียนตั้งบริษัทให้เช่าที่ดินกันก็คงเป็นการปรับตัว เป็นการบริหารจัดการทรัพย์สินของแต่ละคน โดยหลักการของภาษีที่ดินฯก็คือ อะไรที่ทำประโยชน์ก็จะเสียภาษีถูกกว่าอะไรที่ไม่ทำประโยชน์" นายพรชัยกล่าว

    ตั้งบริษัทจัดการง่ายกว่า

    ขณะที่แหล่งข่าวจากกรมสรรพากรกล่าวว่า กรณีที่มีการแห่ไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท โดยระบุวัตถุประสงค์ทำธุรกิจให้เช่าที่ดิน หรือเพื่อการเกษตร น่าจะเป็นเรื่องการลดผลกระทบจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นหลัก อย่างไรก็ดี การประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคลย่อมมีความเสี่ยงทางด้านภาษีที่น้อยกว่าการทำธุรกิจในรูปบุคคลธรรมดา โดยอัตราภาษีเงินได้ที่ต้องชำระก็ต่ำกว่า คือ นิติบุคคลจะเสียอยู่ที่ 20% แต่หากเป็นบุคคลธรรมดาจะเสียอัตราสูงสุดถึง 35% และการทำธุรกิจในรูปนิติบุคคลจะปลอดภัยกว่า เพราะเวลาเจ๊งก็รับผิดไม่เกิน มูลค่าหุ้นที่ลงไป

    เสียภาษีต่างกัน 10-30 เท่า

    แหล่งข่าวจากบริษัทที่ปรึกษากฎหมายภาษีเปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมากลุ่มเศรษฐีที่ดินมีการวางแผนเพื่อรับมือกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากฎหมายจะมีการปรับแก้สาระสำคัญไปมากแล้วก็ตาม แต่ก็ยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มเศรษฐีที่ดินจำนวนมาก โดยหลายตระกูลมีการจัดพอร์ตเพื่อให้สอดรับกับข้อกฎหมายที่ดินใหม่ รวมถึงในส่วนของภาษีมรดกที่ผลบังคับใช้ไป ด้วยการจัดตั้ง เป็นบริษัทเพื่อให้การจัดการเป็นไปได้สะดวก ทั้งเป็นการจัดสรรแบ่งมรดกเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง

    ในส่วนของที่พบว่ามีเศรษฐีที่ดินและตระกูลดังจัดตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อถือครองที่ดิน และระบุว่าเพื่อทำนา ทำสวน ทำไร่ หรือเลี้ยงสัตว์ ก็เพื่อให้เข้าเกณฑ์ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่มีผลบังคับใช้ในปี 2563 เพราะหากปล่อยเป็นที่ดินรกร้างจะต้องเสียภาษี เริ่มต้น 0.3% และปรับเพิ่มขึ้นทุก ๆ 3 ปี เพดานสูงสุด 3% แต่ในกรณีที่ดินเพื่อการเกษตร หากมูลค่า 0-75 ล้านบาท เสียภาษีเพียง 0.01%, มูลค่า 75-100 ล้านบาท เสีย 0.03% และมูลค่า 100-500 ล้านบาท เสียภาษี 0.05%

    แหล่งข่าวกล่าวว่า หากกรณีที่ดินมูลค่า 75 ล้านบาท หากทำการเกษตรจะเสียภาษี 7,500 บาท แต่หากเป็นที่ดินรกร้าง ไม่ได้ทำประโยชน์ จะเสียภาษี 225,000 บาท เรียกว่าแตกต่างกัน ถึง 30 เท่า และถ้าที่ดินมูลค่า 100 ล้านบาท ทำการเกษตรเสียภาษี 30,000 บาท ถ้าเป็นที่ดินไม่ได้ทำประโยชน์จะเสียภาษี 300,000 บาท หรือต่างกัน 10 เท่า ดังนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่เจ้าของที่ดินทั้งหลายต้องมีการจัดการเพื่อให้เสียภาษีน้อยที่สุด

    ที่ดินรกร้างภาษีสูงสุด 3%

    ทั้งนี้ สำหรับ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษีสำหรับที่ดินที่ใช้ประโยชน์ด้านพาณิชยกรรม เพดานสูงสุดอยู่ที่ 1.2% แต่จะจัดเก็บตามมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแบบขั้นบันได มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท อัตราภาษี 0.3%, มูลค่า 50-200 ล้านบาท อัตราภาษี 0.4%, มูลค่า 200-1,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.5% มูลค่า 1,000-5,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.6% และมูลค่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไป อัตราภาษี 0.7%

    ส่วนที่รกร้างไม่ได้ทำประโยชน์ อัตราภาษีจะเหมือนกับที่ดินที่ใช้ประโยชน์ด้านพาณิชยกรรมประเภทอื่น ๆ แต่จะเพิ่มอัตราภาษี 0.3% ทุก 3 ปี แต่อัตราภาษีรวมไม่เกิน 3%

    สำหรับที่ดินเกษตรกรรม จะมีเพดานสูงสุดที่ 0.15% โดยจะเริ่มจัดเก็บเป็นขั้นบันไดเช่นเดียวกัน คือ มูลค่าไม่เกิน 75 ล้านบาท อัตราภาษี 0.01% มูลค่า 75-100 ล้านบาท อัตราภาษี 0.03% มูลค่า 100-500 ล้านบาท อัตราภาษี 0.05% มูลค่า 500-1,000 ล้านบาท อัตราภาษี 0.07% และมูลค่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป อัตราภาษี 0.1% โดยในส่วนของบุคคลธรรมที่ไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี

    Source: ประชาชาติธุรกิจ
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    VfLwtJXRhztKDYwP3hRu9Jajo-j6Ci-aG5HEqNIfyOxynXflyx1O6XAxJtO0Q-spxEbnPSsA&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png

    (Feb 7) ห่วง'หนี้ครัวเรือน'ปะทุ-'สหกรณ์'สะสมความเสี่ยง กนง.ส่งสัญญาณ'ขึ้นดอกเบี้ย' : กนง.เสียงแตก"คง"ดอกเบี้ย 4 ต่อ 2 เสียง ส่งสัญญาณเข้มข้นถึง แนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นได้ในระยะ ข้างหน้า ย้ำห่วงเสถียรภาพการเงิน หลังพบ สัญญาณหนี้ครัวเรือนส่อพุ่ง ขณะ"สหกรณ์- อสังหาฯ" ยังน่ากังวล พร้อมระบุ"บาทแข็ง" สอดคล้องสกุลเงินอื่นในตลาดเกิดใหม่ ด้าน กกร.เตรียมบุกหารือหากบาทแข็ง หลุด 31 ต่อดอลลาร์

    การประชุมคณะกรรมการนโยบาย การเงิน(กนง.) วานนี้(6 ก.พ.) ซึ่งเป็นนัดแรก ของปี 2562 ที่ประชุมมีมติ 4 ต่อ 2 เสียง ให้ "คง" ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ซึ่ง กนง. ได้สะท้อนความเป็นห่วงที่มีต่อเสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงอนาคตดอกเบี้ยนโยบายที่มีโอกาสปรับขึ้น ได้อีกในระยะข้างหน้า โดยที่มีกรรมการ 1 ท่านลาประชุม

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมการที่ลาประชุม ในรอบนี้ คือนายคณิศ แสงสุพรรณ เนื่องจากติดภารกิจเดือนทางไปโรดโชว์ ที่ประเทศญี่ปุ่นกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)

    นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วย ผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคาร แห่งประเทศไทย(ธปท.) ในฐาจะเลขานุการ กนง. กล่าวว่า ปัจจัยหลักๆที่คณะกรรมการส่วนใหญ่ ให้คงอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง และเป็นการขยายตัวตามศักยภาพ จากแรงส่งของอุปสงค์ในประเทศ แต่มีหลายปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงและมีความเปราะบาง มากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินที่เพิ่มขึ้นมาก ถือเป็นสิ่งที่คณะกรรมการให้ความสำคัญและติดตามอย่างใกล้ชิด

    ห่วงเสถียรภาพระบบการเงิน

    สำหรับความเสี่ยงที่อาจสร้างความเปราะบางต่อเสถียรภาพระบบการเงิน เช่น หนี้ครัวเรือน ที่มีสัญญาณการก่อหนี้เพิ่มขึ้นในสินเชื่อบางประเภท อาจเป็นปัจจัยที่ ทำให้หนี้ครัวเรือนปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้ หากเทียบกับไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ที่หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 77.8% โดยเฉพาะหนี้จากระบบสถาบันการเงินที่เห็นทิศทางเพิ่มขึ้น เช่นหนี้ในกลุ่มสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับยอดการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นในช่วง ปีที่ผ่านมา

    นอกจากนี้ ยังเห็นความเสี่ยงด้านอื่นๆ ที่ต้องติดตามใกล้ชิด เช่น ความเสี่ยงจากสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมถึงต้องติดตามการก่อหนี้ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่อาจมีการประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร รวมถึงต้องติดตามความเสี่ยง และพัฒนาการของตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นเหล่านี้ จึงเป็นความเสี่ยงที่กนง. ให้ความสำคัญและให้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด

    จับตาปัจจัยเสี่ยงต่างประเทศ

    ขณะเดียวกัน ยังมีอีกหลายปัจจัย ที่ต้องติดตามและเป็นความเสี่ยงด้านต่ำ มากขึ้น เช่นการติดตามพัฒนาการของ การขยายตัวเศรษฐกิจ ที่แม้จะเห็นการขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่ก็ต้องเผชิญ ความเสี่ยงมากขึ้น เช่นความไม่แน่นอนจาก ปัจจัยต่างประเทศ ทั้งจากประเด็นสงครามการค้า Brexit หรือการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นความเสี่ยงและมีผลต่อ ภาพเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปด้วย

    เช่นเดียวกันเงินเฟ้อ ที่มีแนวโน้ม ด้านต่ำมากขึ้น ซึ่งได้รับแรงกดดันจาก ราคาพลังงานที่ปรับตัวลดลง ดังนั้น ประเด็นเหล่านี้ จึงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลต่อภาพการขยายตัวเศรษฐกิจรวมถึงมีผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินให้มีความเหมาะสม ในระยะถัดไปด้วย

    "การที่กนง.ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยนั้น เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังมี ความไม่แน่นอน และหลายจุดยังมีความเปราะบาง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน ที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น หากเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่หลักการพิจารณาของกนง. รอบนี้ยังใช้หลัก Data Dependent อยู่" นายทิตนันทิ์กล่าว

    ส่วนอีก 2 เสียงที่ให้ขึ้นดอกเบี้ยนั้น เนื่องจากมองว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจขยายตัวได้ตามศักยภาพ แม้ดอกเบี้ยจะขึ้น 0.25 % ก็เชื่อว่าภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ใน ระดับที่ผ่อนคลาย และสนับสนุนเศรษฐกิจอยู่ และช่วยลดความเสี่ยงเสถียรภาพ ระบบการเงิน อีกทั้งยังเป็นการสะสม Policy space ไว้ใช้ในระยะข้างหน้าด้วย

    ชี้ดอลลาร์อ่อนกดดันบาทแข็ง

    นายทิตนันทิ์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับ ค่าเงินบาท หากดูตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น พบว่าเป็นไปตามทิศทางเดียวกันกับประเทศ เกิดใหม่ จากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์เป็นหลัก ซึ่งก็พบว่าไทยไม่ได้เป็น ประเทศที่แข็งค่าที่สุด ยังมีอีกหลายประเทศที่ค่าเงินแข็งค่ากว่าไทย โดยไทยแข็งค่าเป็นอันดับที่ 5 หรือราว 4.1 %ขณะที่ดูความผันผวนพบว่าอยู่ในระดับกลางๆ โดยมีค่าความผันผวนอยู่เพียง 4.3%

    "การแข็งค่าของค่าเงิน ไม่ได้มาจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทย เพราะหาก ดูจาก การเข้าไปลงทุนในตลาดพันธบัตร และตลาดหุ้น พบว่าตั้งแต่ปลายปีจนถึงปัจจุบัน เป็นเงินไหลออกด้วยซ้ำรวมแล้ว 5.6พันล้านบาท โดยไหลออกในตลาดบอนด์ 1.2 หมื่นล้านบาท แต่ก็ต้องติดตามค่าเงิน ใกล้ชิด และหากพบว่าค่าเงินเคลื่อนไหวรุนแรง ผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับ ปัจจัยพื้นฐาน ก็จะมีเครื่องมือพร้อม ในการเข้าไปดูแล แต่ก็ยอมรับว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าก็มีผลกรอบเป้าหมายของธปท.โดยเฉพาะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ" นายทิตนันทิ์กล่าว

    บาทแข็งหลังกนง.ส่งสัญญาณขึ้นดบ.

    ด้านกลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มติกนง.เป็นไปตามที่ตลาดไว้ ด้วย คะแนนเสียง 4 ต่อ 2 ส่งผลให้เงินบาท แข็งค่าและซื้อขายแถวระดับ 31.25 ต่อดอลลาร์ นับตั้งแต่ต้นปีเงินบาท แข็งค่า 4% ด้วยแรงหนุนจากแนวโน้ม การชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในสหรัฐ และเงินบาทยังเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค ทั้งนี้ คณะกรรมการ กนง.มองว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลเงินในภูมิภาค แต่ทางการมีความพร้อมที่จะเข้าดูแลหากเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากเกินไป

    สำหรับการประชุมรอบถัดไปในวันที่ 20 มี.ค. คาดเดาได้ว่าอาจเป็นไปได้ทั้ง 5-2 หรือ 4-3 เนื่องจากกรรมการ 1 ท่านไม่มา ประชุม และดูเหมือนมีเหตุผลมากขึ้น ที่สนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย ดังนั้นยังคงมีมุมมองว่า ทางการน่าจะปรับขึ้น ดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงครึ่งแรกของ ปี 2562 ก่อนที่จะหยุดการปรับดอกเบี้ยตลอดปีนี้

    กกร.คาด"จีดีพี"ปีนี้โต 4.1%

    นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ได้หารือทิศทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่า จีดีพี ปี 2561 จะขยายตัว 4.1% โดยเป็นผลมาจาก ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 4 ที่ถูกกระทบจากเรื่องส่งออกและการลงทุนภาครัฐ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนเอกชนรักษาระดับการเติบโตไว้ได้ดี และคาดว่าจะเป็นแรงหนุนเศรษฐกิจปี 2562 ให้ขยายตัว 4-4.3%

    ด้านการส่งออกปี 2562 คาดว่าจะขยายตัว 5-7% ซึ่งชะลอตัวจากปีที่ผ่านมาที่ขยายตัว 6.7% โดยเป็นผลมาจากสงครามทางการค้า และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้ม ชะลอตัว โดย กกร.กังวลค่าเงินบาท ที่มีแนวโน้มแข็งค่ามากในครึ่งปีแรกนี้ และแข็งค่าอย่างต่อเนื่องจะกระทบ การส่งออกปีนี้

    โดยนับตั้งแต่เดือน ม.ค.-1 ก.พ.ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้น 3.4% แข็งค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาครองจากค่าเงิน รูเปี๊ยะห์ของอินโดนีเซียที่แข็งค่าขึ้น 3.7% ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทเป็นผลจาก เงินดอลลาร์อ่อนค่า เพราะขาดแรงหนุนหลังธนาคารกลางสหรัฐ ส่งสัญญาณถึงโอกาสขึ้นดอกเบี้ยที่ลดทอนลง

    กกร.ให้เวลา2เดือนดูแลค่าเงิน "กกร.ยังไม่สรุปว่าจะเข้าพบรัฐบาล หรือธปท.เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา ค่าเงิน แต่ในช่วง 2 เดือนนี้ หรือก่อน การเลือกตั้ง หากรัฐบาลไม่มีแนวทางอย่างหนึ่ง อย่างใด หรือเงินบาทแข็งค่าไปถึง 31 บาท แล้ว กกร.จะเข้าพบ เพื่อขอรับการช่วยเหลืออย่างแน่นอน"

    นายสุพันธุ์ กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่ากระทบกับเอสเอ็มอีที่ส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงการประกันความเสี่ยงค่าเงินและกระทบกลุ่มส่งออกสินค้าที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ส่วนผู้ส่งออกรายใหญ่จะประกันความเสี่ยงไว้ และบางส่วนได้รับประโยชน์จากการนำเข้าวัตถุดิบที่มีต้นทุนถูกลง

    "ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนการค้าชายแดนใช้เงินบาท เพราะเป็นรายได้หลักของประเทศ ส่วนการค้าในภูมิภาคอื่น เป็นหน้าที่รัฐบาล และ ธปท.ต้องดูแล ซึ่งต้องยอมรับว่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่วนหนึ่งมาจากที่ไทยได้ดุลการค้า ดังนั้นรัฐต้อง ดูด้วยว่า จะช่วยเหลือเอกชนอย่างไร เพื่อให้แข่งขันด้านราคากับคู่แข่งได้"

    นายสุพันธุ์ กล่าวว่า ส.อ.ท.เห็นว่า ภาครัฐไม่ควรจะมีนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดปี 2562 เพราะจะส่งผลให้เงินทุนนอก ไหลเข้ามา

    นอกจากนี้ด้านการท่องเที่ยวปี 2562 จะเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ที่ 7.5% ตามการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวในตลาดสำคัญ รวมทั้งนักท่องเที่ยวจีน ที่จะทยอยฟื้นตัวขึ้น โดยการประชุม กกร.ครั้งต่อไปจะติดตามสถานการณ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่นการเลือกตั้ง การตั้งรัฐบาลใหม่ สงครามการค้า ความ ไม่แน่นอนของเบร็กซิท ค่าเงินบาท เพื่อประเมินผลต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด

    แบงก์หนุนเอสเอ็มอีประกันค่าเงิน

    นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาการซื้อ ประกันความเสี่ยงค่าเงินบาทของ ผู้ประกอบการ ต้องวางเงินค้ำประกัน บางส่วน ซึ่งทำให้เอสเอ็มอีไม่สามารถทำได้ ดังนั้นสมาคมธนาคารไทยมีโครงการ ซื้อคูปองเฮดจ์ฟันด์ เพื่อลดความเสี่ยงโดยไม่ต้องวางเงินค้ำประกันให้เอสเอ็มอี แต่ต้องเข้ารับการอบรมและสมัครร่วมโครงการก่อน

    "สมาคมธนาคารไทยมีโครงการนี้นานแล้ว แต่มีผู้เข้าร่วมน้อย ส่วนหนึ่งเพราะ ผู้ประกอบการยังไม่พร้อม รอความเหมาะสม แต่ในขณะนี้น่าจะเป็นทางออกที่ลด ความเสี่ยงโดยรวมได้"

    นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มสินค้าเกษตรจะได้รับผลกระทบ จากค่าเงินบาท กรณีที่ผู้ส่งออกส่งสินค้าได้น้อย การซื้อสินค้าจากเกษตรกร ก็น้อยตามและจะเป็นผลต่อราคาปรับ ลดลงด้วย

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,657
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Feb 7) ธุรกิจธนาคาร ดิ้นหารายได้ แทนค่าธรรมเนียม: ภาพรวมธุรกิจธนาคารปี 2562 มีความท้าทายจากความสามารถในการสร้างรายได้ โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมที่มีโอกาสติดลบอยู่ เนื่องจากไตรมาสแรกของปี 2561 ฐานสูง เพราะเป็นช่วงที่ธนาคารยังไม่ได้ยกเลิกค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบนดิจิทัล ดังนั้น รายได้ค่าธรรมเนียมการโอนเงินอาจเห็นการติดลบอยู่ นอกจากนี้ ความท้าทายยังอยู่ที่รายได้ค่าธรรมเนียมการขายผลิตภัณฑ์การลงทุนและประกันที่ธนาคารได้พยายามปรับปรุงกระบวนการให้เป็นไปตาม Market Conduct แล้ว ซึ่งปี 2562 จะสามารถกลับมานำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ภายใต้กระบวนการใหม่ที่ดีขึ้น
    nOgMLRMbWyTA-gE2sFb_7e4upHDKlsaCPsr3aSypg8us5NPf6BIotHovFuDZKyua5A4Q8nDQ&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png
    การเปิดประเด็นที่แนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียม เนื่องจากเป็นจุดหักเหที่สำคัญของภาคธนาคารที่ต้องปรับตัวรับการดิสรัปชั่นจากเทคโนโลยี ที่ทำให้ธนาคารต้องเปลี่ยนวิธีคิดในการทำธุรกิจ รวมทั้งทรานส์ฟอร์มองค์กรครั้งใหญ่ อย่างที่เห็นความเคลื่อนไหวมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปี
    zc7oiXfaY_8LCxYPf-XEJO_k77bKVhblesT-JJnoEELduRdh73QtNHXrCdJOM7h55GpSyEDw&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png
    แน่นอนว่า กระแสที่มาแรงและเกิดผลเป็นวงกว้างมากที่สุดคือ การยกเลิกค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบนช่องทางดิจิทัลตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค. 2561 เป็นต้นมา ซึ่งการตัดสินใจยกเลิกค่าธรรมเนียมเป็น 0 บาท จากที่ธนาคารเคยเรียกเก็บ 35 บาท เป็นการดิสรัปตัวเองครั้งใหญ่ของภาคธนาคาร เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคที่ทำธุรกรรมฟรี ไม่จำกัดครั้ง ไม่จำกัดเวลาอีกต่อไป ทำให้ยอดธุรกรรมการโอนและการชำระเงินบนโมบายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
    EWYiXJsIYQVklNMkNldbbzqWr2j6rwqqvsb3ihR7_OFmQqsDk3547V9LMMNQT_X7T6pqqgqA&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png
    จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่สำรวจปริมาณธุรกรรมโอนเงินผ่านช่องทางต่างๆ พบว่า สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2561 ปริมาณการโอนกว่า 90% อยู่บนโมบายและอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง คิดเป็น 314 ล้านรายการ ขณะที่การโอนที่เครื่องเอทีเอ็มมี 22 ล้านรายการ และการโอนผ่านสาขามี 1.6 ล้านรายการ

    สัดส่วนปริมาณธุรกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการโอนผ่านโมบายและอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ที่ปัจจุบันเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2560 ที่มีเพียง 52 ล้านรายการ ส่วนการโอนผ่านเครื่องเอทีเอ็ม 33 ล้านรายการ และโอนผ่านสาขา 2.4 ล้านรายการ

    พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสามารถทำธุรกรรมได้สะดวกสบายขึ้นและฟรี ส่งผลกระทบทำให้รายได้ในไตรมาส 3 ของปี 2561 ที่ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์หดตัว 12.8% แบ่งเป็นรายได้ค่าธรรมเนียมการโอนเงินหดตัว 8.7% และรายได้ค่านายหน้าหดตัว 4%

    ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมการโอนเงิน อยู่ที่12% ของรายได้ค่าธรรมเนียมรวม ขณะที่รายได้ค่านายหน้ามีสัดส่วน 19% ของค่าธรรมเนียมรวม ซึ่งทั้ง 2 ส่วนรวมกันเป็น 31% ของรายได้ค่าธรรมเนียม

    การปรับตัวของธนาคารพาณิชย์เพื่อยกมาตรฐาน ด้าน Market Conduct หรือมาตรฐานการให้บริการที่เป็นธรรม ซึ่ง ธปท. ได้เริ่มมีแนวทางกำกับดูแลมาตั้งแต่ปี 2560 และเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบการให้บริการในปี 2561 มีส่วนทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมหดตัวลง

    โดยเฉพาะเรื่องการขายและการนำเสนอผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภค เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบังคับขาย หรือให้ข้อมูลไม่ครบ จนเกิดประเด็นบนโลกออนไลน์หลายครั้ง ที่ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงโดยเข้าใจว่าเป็นเงินฝาก การกำชับเรื่องมาตรฐานความเป็นธรรมจึงกระทบกับยอดขายผลิตภัณฑ์ประเภทประกันและกองทุนที่น้อยลงไปด้วย

    ในปี 2561 ธปท. ได้มีการเปรียบเทียบปรับธนาคารใหญ่ 2 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ มีการบังคับให้ลูกค้าทำประกันอัคคีภัย สำหรับหลักประกันของสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับบริษัทประกันภัยบริษัทใดบริษัทหนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจง โดยลูกค้าไม่มีสิทธิที่จะเลือก โดยปรับธนาคารกรุงไทยเป็นจำนวนเงิน 3.54 ล้านบาท และธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 3.21 ล้านบาท

    หลังจากมีการประกาศต่อสาธารณชนและเปรียบเทียบปรับ ทำให้ธนาคารพาณิชย์แห่งอื่น รวมทั้ง 2 ธนาคารดังกล่าว รีบทบทวนกระบวนการทำงานใหม่ โดยเฉพาะการขายและการให้ทางเลือกแก่ลูกค้าอย่างเสรี ของการให้บริการของภาคธนาคาร

    ปล่อยสินเชื่อ ระวังเอ็นพีแอล

    แนวโน้มปี 2562 การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ คาดว่าจะเติบโตขึ้นกว่าปี 2561 เนื่องจากธนาคารจะหันมามุ่งเน้นรายได้ดอกเบี้ยจากการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทดแทนรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังไม่กลับมา สินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง (Hi-Yield Loan) จะเติบโตดี ทั้งรายย่อยและเอสเอ็มอี โดยช่องทางดิจิทัลซึ่งเป็นช่องทางใหม่ในการปล่อยสินเชื่อผ่านการวิเคราะห์ฐานข้อมูลนำเสนอลูกค้าได้ตรงความต้องการมากขึ้น อีกประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือ สินเชื่อที่อยู่อาศัยจะถูกกระทบจากมาตรการ Macro Prudential ที่จะเริ่ม 1 เม.ย. 2562 มากน้อยเพียงใด

    อย่างไรก็ตาม แม้จะมุ่งเน้นการการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่ธนาคารจะยังพิจารณาอย่างระมัดระวัง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในปีที่แล้ว อย่างการส่งออกและท่องเที่ยว มีความเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่ เศรษฐกิจในประเทศ อย่างการบริโภคภาคประชาชนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะเติบโตได้เทียบเท่าหรือมากกว่าจีดีพีหรือยัง เพราะยังมีความกดดันจากหนี้ครัวเรือนยังสูง และรายได้ภาคเกษตรไม่ดีเท่าใดนักจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ด้านการลงทุนภาคเอกชน เติบโตเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับส่งออก ส่วนการลงทุนขยายฐานการผลิตเกิดขึ้นน้อย ซึ่งการที่เศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้นตัวดี ประกอบกับการเข้ามาของเทรนด์การค้าออนไลน์ กระทบกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)

    สินเชื่อรายใหญ่ ปี 2562 น่าจะกลับมาเติบโตได้มากกว่าปีที่แล้ว จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ปรับขึ้น ทำให้ธุรกิจเริ่มหันมาใช้สินเชื่อตามช่วงที่ต้องการ แทนที่จะออกหุ้นกู้แล้วกอดเงินเอาไว้ สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2561 สินเชื่อธุรกิจขยายตัว 5.2% และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโต 0.6% เพราะธุรกิจขนาดใหญ่มีทางเลือกในการระดมทุนผ่านตราสารหนี้และหุ้น

    สินเชื่อเอสเอ็มอี ปี 2562 คาดว่าเติบโตต่อเนื่อง เป็นผลจากการที่ธนาคารมุ่งเน้นช่วยเหลือลูกค้า ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง รวมทั้งมาจากการปรับกลยุทธ์หันมามุ่งเน้นสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งสินเชื่อเอสเอ็มอีเป็นหนึ่งในเป้าหมาย อีกทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการวิเคราะห์ฐานข้อมูลของลูกค้าสอดคล้องกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดทางให้ปล่อยสินเชื่อจากที่เคยดูหลักประกัน (Colleteral-Based Lending) เป็นการพิจารณาจากฐานข้อมูล (Information-Based Lending) มีส่วนช่วยผลักดันสินเชื่อเอสเอ็มอีมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นเซกเตอร์ที่มีความเสี่ยงอยู่ก็ตาม สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2561 สินเชื่อเอสเอ็มอีเติบโต 7.2%

    สินเชื่อรายย่อย ปี 2562 จะยังขยายตัวอยู่ แต่อาจจะลดลงหรือเท่ากับปี 2561 โดยมี 2 ปัจจัย ได้แก่ สินเชื่อรถยนต์ที่เคยนำโด่งในปีที่แล้ว โดย 9 เดือน เติบโตถึง 12.5% เป็นผลจากทั้งรถคันแรกหมดอายุและกำลังซื้อของคนชั้นกลางถึงบนยังดีอยู่ สินเชื่อรถยนต์น่าจะถึงจุดพีกไปแล้ว ทำให้ปีนี้อาจจย่อตัวลงมาบ้าง และสินเชื่อที่อยู่อาศัยอาจถูกกระทบจากมาตรการ Macro Prudential ที่จะเริ่ม 1 เม.ย. 2562 ทำให้ผู้ที่จะซื้อบ้านบางกลุ่มต้องมีเงินดาวน์เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายบ้านและการขอสินเชื่อไม่ได้เติบโตเร็วอย่างช่วงที่ผ่านมา

    อย่างไรก็ตาม สินเชื่ออุปโภคบริโภค อย่างบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล จะยังขยายตัวดี จากบริการดิจิทัลเลนดิ้งที่พัฒนาขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสมัครจนอนุมัติไม่ผ่านบุคคลเลย หรือการใช้เอไอนำเสนอสินเชื่อให้ลูกค้าโดยตรงโดยลูกค้าไม่ต้องขอ เป็นช่องทางที่ช่วยขยายสินเชื่อที่ผลตอบแทนสูงและขยายฐานลูกค้าด้วย ซึ่ง 9 เดือนแรกปี 2561 สินเชื่อบัตรเครดิตโต 8.2% และสินเชื่อบุคคลโต 8.8%

    ส่วนทิศทางหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะชะล่าใจไม่ได้ เพราะความสามารถของลูกหนี้ยังไม่มีความแน่นอน โดยข้อมูลอย่างเป็นทางการของ ธปท. สิ้นไตรมาส 3 ปี 2561 เอ็นพีแอลอยู่ที่ 2.94% ปรับเพิ่มขึ้นอยู่ แต่เป็นการขึ้นที่ชะลอตัวลง เอ็นพีแอล มีแนวโน้มไม่ปรับลดลงได้ง่ายนัก จากภาวะเศรษฐกิจโลกไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่ทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยวแผ่วลง เศรษฐกิจในประเทศยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ ธนาคารอาจต้องประคับประคองลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีต่อไป และป้องกันไม่ให้เกิดเอ็นพีแอลใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นภาระในการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ โดยเฉพาะในปี 2562 เป็นปีแห่งการเตรียมความพร้อมในการตุนสำรองเพื่อรองรับมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับใหม่ (IFRS9) ที่ประเทศไทยจะใช้อย่างเป็นทางการในปี 2563

    จับตาเหตุการณ์สำคัญปี 2562

    ปัจจัยที่มีผลต่อธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่สำคัญหนีไม่พ้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยต้องจับตาว่า ในปี 2562 ภาคธนาคารจะมีการปรับดอกเบี้ยพื้นฐาน (บอร์ดเรต) ทั้งดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ และดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มต่างๆ หรือไม่ ซึ่งจุดชี้ชะตา คาดว่าต้องติดตามการตัดสินใจของ กนง. หากมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง อาจจะเห็นธนาคารพาณิชย์เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ขา ทั้งเงินฝากและเงินกู้อย่างเป็นวงกว้าง

    ทั้งนี้ การปรับดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี และเป็นการปรับขึ้นในรอบ 7 ปี เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2561 ในอัตรา 0.25% และมีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 2 แห่งปรับขึ้นตามแล้ว คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย ได้ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำเป็นการทั่วไป (Board Rate) ในอัตรา 0.25% และยังคงดอกเบี้ยเงินกู้ไว้เท่าเดิม มีผลวันที่ 4 และ 5 ม.ค. 2562 ที่ผ่านมา

    อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ติดตามต่อเนื่องในปี 2562 คือ ดีลการควบรวมธนาคาร ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตตั้งแต่ที่ รมว.คลัง เสนอ ครม. อนุมัติมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการควบรวมกิจการของธนาคารพาณิชย์ไทย เมื่อเดือน เม.ย. 2561 น่าจะมีแผนการควบรวมธนาคารอยู่ในมือ จากนั้นก็มีกระแสข่าวลือเป็นระลอกจนกลายเป็นข่าวจริงว่า กำลังเกิดดีลการควบรวมธนาคารธนชาตและธนาคารทหารไทย ที่เริ่มมีการเจรจากันจริงและอยู่ระหว่างการพูดคุยเงื่อนไข หาข้อสรุปร่วมกัน ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2562 นี้

    โดย ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์
    Source: Posttoday
     

แชร์หน้านี้

Loading...