อดีตที่ผ่านพ้น ตอนที่ ๒๒ : พระบรมสารีริกธาตุอันตรธาน ในอันตรธานปริวรรตแห่งปฐมสมโพธิกถา กล่าวถึงการสิ้นสุดของพระพุทธศาสนาว่า ประกอบด้วยการเสื่อมสูญ ๕ อย่างคือ... ๑. ปริยัติอันตรธาน เสื่อมสูญจากการศึกษาธรรม ๒. ปฏิบัติอันตรธาน เสื่อมสูญจากการปฏิบัติธรรม ๓. ปฏิเวธอันตรธาน เสื่อมสูญจากผลของการศีกษา และปฏิบัติธรรม ๔. ลิงคอันตรธาน เสื่อมสูญจากเพศของภิกษุ ๕. ธาตุอันตรธาน เสื่อมสูญจากพระบรมสารีริกธาตุ การเสื่อมสูญแต่ละอย่างนั้นจะทวีมากขึ้นไปตามลำดับ ในท้ายสุดแห่งพระพุทธศาสนา พระบรมสารีริกธาตุทั้งมวลจะมาประชุมรวมกัน เป็นพระรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงพร้อมด้วยฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ... รูปพระพุทธนิมิตทรงเทศนาสั่งสอนสัตว์โลกเป็นครั้งสุดท้าย เป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืนแล้วอันตรธานไป ปล่อยให้ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกให้สะอาดหมดจดดังเดิม (ใช้ผงซักฟอกยี่ห้อไหนจ๊ะ...? จะขอมาฟอกลูกศิษย์บางคนซักกำมือ...!) นั่นเป็นไปตามตำราเขาว่าไว้ อาตมาก็จำขี้ปากเขามาเล่าต่อ จะเท็จจริงประการใด ขอเชิญบรรดาท่านผู้สงสัย อยู่รอดูจนกว่าจะถึงวันนั้น ถึงเวลาก็จะทราบเอง แค่สองพันกว่าปีเท่านั้น นั่งบ้างนอนบ้าง แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว...ฮิ...ฮิ...! หลังจากพระมหากัสสปเถรเจ้า เป็นประธานประชุมเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือ พระบรมสารีริกธาตุน้อยใหญ่จำนวน ๘ ทะนานทอง บรรดากษัตริย์ทั้ง ๗ นครต่างยกทัพมา เพื่อขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปบูชา (ยกทัพมานี่ขอแน่นะ...!) นครกุสินาราถึงจะเป็นเมืองเล็ก แต่ไอ้การทำเป็นนักเลงโต ยกทัพมาเบ่งทำท่าขู่กันแบบนี้ ใหญ่เท่าใหญ่ก็ขอลองซักตั้งเถอะน่า แพ้ชนะค่อยว่ากันทีหลัง… (แหม...ถูกใจ...!) ก็ตั้งป้อมสู้ซิ...แน่จริงเข้ามาเลย...ได้ฟัดกันแหลกราญไปข้าง...! บังเอิญมีบัณฑิตผู้หนึ่งชื่อว่า "โทณพราหมณ์" เห็นว่าการรบกันนั้น ไม่ใช่วิสัยของพุทธศาสนิกชน จึงเข้ามาไกล่เกลี่ยอาสาเป็นผู้แบ่งปันพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ไม่อยากเสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตาย เมื่อมีพระเอกมาห้ามทัพแบบนี้ก็ตกลง... โทณพราหมณ์เห็นว่า พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเป็นของสำคัญ หากมอบให้ผู้ใดผู้หนึ่งไป ผู้อื่นย่อมไม่พอใจ จึงงุบงิบหยิบซ่อนไว้ในมวยผม แต่ว่า...เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือกระดาษยังมีซาละเปา พระอินทร์เจ้าเก่าเอาพานแก้วมณีมารองรับ เท่ากับโทณพราหมณ์หยิบใส่พานให้ ท่านปู่เลยเอาไปบรรจุไว้ ณ จุฬามณีเจดียสถาน ที่ดาวดึงสเทวโลก... ดังนั้น...ในระยะแรก พระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายจึงแยกย้ายกันไปใน ๗ พระนคร ต่อมาผู้ที่ทำการสักการบูชาด้วยความเลื่อมใส พระบรมสารีริกธาตุก็เสด็จไปโปรดท่านผู้นั้น อย่างที่เสด็จมาอยู่กับ "หลวงพ่อ" นับเป็นล้าน ๆ องค์เลยทีเดียว...! พระบรมสารีริกธาตุมีรูปพรรณสัณฐานต่าง ๆ กันคือ เหมือนถั่วแตก หรือข้าวสารหัก ยกเว้นพระบรมธาตุสำคัญที่มีรูปร่างเฉพาะ เช่น พระเขี้ยวแก้ว พระอุณหิส พระรากขวัญ เป็นต้น มีสีขาวเหมือนสีสังข์บ้าง ใสเหมือนเพชรบ้าง สีทองแวววาวบ้าง... เวลาพระบรมสารีริกธาตุเสด็จ จะเป็นดวงแสงสีนวลสว่างจ้า เมื่อหลวงปู่ปานพา "หลวงพ่อ" ทั้งสามไปธุดงค์ พบพระธาตุเสด็จที่พระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และเมื่อไปอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี ก่อนที่สัมพันธมิตรจะมาทิ้งระเบิดที่สะพานพุทธแค่ไม่กี่วัน "หลวงพ่อ" และเพื่อนพระทั้งวัด ตลอดจนชาวบ้านที่ยังไม่ย้ายหนีภัยสงคราม เห็นพระธาตุเสด็จเหนือสะพานพุทธ สว่างจัดมาก ขนาดอยู่ที่วัดประยูรฯ ยังอ่านหนังสือได้เลย...! ในงานฉลองวันเกิด "หลวงพ่อ" ปี ๒๕๒๖ ท่านเมตตาแจกพระบรมสารีริกธาตุให้ลูก ๆ นำไปบูชา ผู้คนแห่กันไปรับแทบจะเหยียบกันตาย บางคนเพิ่งรับมากับมือแท้ ๆ หายวับไปกับตา อาตมานั่งนวดเท้าให้หลวงปู่มหาอำพันอยู่ เห็นพระธาตุมาตกที่ข้างหน้าหลวงปู่มากมาย เก็บได้เป็นกำ ๆ เลย...! คืนหนึ่งอาตมาเห็นพระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเหมือนเม็ดข้าวสารเต็มเม็ดเสด็จมา สว่างไปทั้งท้องฟ้า พุ่งตรงมาที่หิ้งพระในห้องนอน ด้วยความดีใจรีบไปเปิดตลับดู ไม่เห็นมีท่านอยู่ พอไปเปิดตลับของพี่ประสิทธิ์ดู เสด็จมาอยู่ที่นี่เอง...! ตอนที่อาตมาปิดฝาตลับนั่นเอง เกิดพลาดทำตลับตกพื้น พระบรมสารีริกธาตุกระจายไปทั้งห้อง และแสดงปาฏิหาริย์หายวับไปซึ่ง ๆ หน้า พื้นเป็นคอนกรีตขัดมันแท้ ๆ จะหาร่องหารูที่ไหนก็ไม่มี แต่ท่านมุดดินหายไปเฉย ๆ...! ต่อมาอาตมาได้พระบรมสารีริกธาตุมาอีก ๒-๓ พันองค์ แบ่งถวายหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการามไปจนหมด พอได้มาอีกเมื่อไร ถูกญาติโยมขอหมดทุกที ยังไม่ทันสิ้นศาสนาเลย หายหมดเกลี้ยงซะแล้ว...! ๒ มีนาคม ๒๕๓๓ พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ที่มา www.watthakhanun.com ภาพประกอบโดย สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี #๖๐ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม