โต้เท่าไรก็ไม่พ้นทุกขํ

อย่างมองดูหลอดไฟเราก็พิจารณาแยกรูปแยกนาม..แยกเวทนา สังขาร วิญญาณไปจนถึงนิพพาน

หลอดไฟหลอดเดียวนั้นล่ะมีครบหมด...จากรูปไปจนถึงนิพพาน

 

ยกตัวอย่างการพิจารณา..

หลอดไฟเป็นรูป แสงเป็นนาม แสงที่มากระทบตาจะยาวบ้างสั้นบ้างหดเข้ายาวออก...นั่นก็เป็นเวทนา สังขาร

ความสว่างนั้นเป็นนิพพาน...

พิจารณาจดจ่ออยู่เรื่องเดียวนั้นแหละกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นเดี๋ยวจิตจะรวมลงเอง..

 

ฮันแน่ ไอ้เราก็นึกว่าจะเอาตัวรอดยังไง "สรุปก็ไม่พ้นเลื่อนเรปลงมา" สรุปจะดิ้นด้วยวิธีเดิมเรอะฮ้าฟ คนอื่นเขาหลงกลคุณไปถกกับคุณด้วย

"แต่ผมไม่หลงกลคุณหรอกนะฮับ" เอ้าลองดิ้นดูใหม่ฮับ ฮ่าฮ่าฮ่า(หัวเราะแบบตัวร้าย)

 

สเตปการโพสท์ของโง่ปะคือ
1.แถด้วยคำพูดหล่อ/ไร้สาระ
2.เอาคำสอนคนอื่นมาแปะ/คำสอนตนเองแต่ตนเองโดนแดก
3.เรียกเพื่อนมาช่วยเลื่อนเรป(โพสท์)
4.เอาภาพหลวงปู่หลวงตามาก๊อปวาง(ห้องภัย)


ซึ่งการถกธรรมกับโง่ปะนั้นไร้ประโยชน์เพราะไม่มีธรรมในตนเอาความจำได้อย่างเดียวเพราะธรรมของมันโดนมโนแดก

ส่วนการด่าเล่นขำๆนั้นได้ประโยชน์เพราะได้ความสุขแถมได้กุศลปราบโจรที่เก่งกว่าธรรมกายเพราะยิ่งมีคนไปค้าน(แบบผมก่อนจะรู้แกว)มันจะก๊อปคำพูดของคุณไปใช้ทำให้ "เนียน" ยิ่งกว่าคึกและธัมมี่ซะอีก

ดังนั้นหากยูสเซอร์ต่างๆไม่ช่วยกันแก้ ก็มีทางเดียวคือปล่อยให้โง่ปะโพสท์ไร้สาระทำลาย "พุทธศาสนา" ที่มันเอาไปหากินต่อไปนะฮับ

หรือจะหวังพึ่ง mod ก็ต้องดูว่า mod จะทำอะไรหรือไม่เพราะห้องนี้ไม่ใช่ห้องภัยพิบัติแต่เป็นห้องอภิญญาที่แต่ละคนเอาไว้ถกวิธีการปฏิบัติ(ที่โง่ปะทำไม่ได้พอมีคนค้านก็จะเลื่อนเรป)

"นี่คือวินิจฉัยการแก้ไขเหตุการณ์"

สำนักข่าวพุทธะนิวส์วันนี้

 

ผมยังมองเห็นประโยชน์อยู่ครับ

 

มันอยู่ที่คนมอง55555

เสาสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ถ้ามองจากคนละทิศนั้นย่อมไม่เหมือนกัน

 

มีหรือไม่เราเท่านั้นที่รู้...ส่วนผู้เดินจิตถึงแล้วเขาเข้าใจสิ่งที่เราพูด..

เขาไม่ไปชี้คนนั้นคนนี้ทำลายหลอก...เขามีปัญญาพิจารณาได้

ส่วนเราชาตินี้พ้นอบายภูมิทั้ง4เรียบร้อยแล้ว..

 

ลุงแมวเคยอ่านที่หลวงปู่ดูลย์พูดถึงพระอรหันต์มั๊ยครับว่าอยู่ต่ำกว่าใต้จมูกลงมา ผมขอแปลความหมายของหลวงปู่ตามความเข้าใจนะครับ คือ ต่ำกว่าจมูกมันคิดไม่เป็น สูงกว่านั้นคือความคิด ความสงสัย เราไม่สามารถนำสิ่งที่คิดแม้นกระทั่งปัญญาที่เกิดจากความคิดมาหาว่าพระอรหันต์อยู่ตรงไหน แต่แท้ที่จริงแล้วพระอรหันต์ก็มีจิตติดอยู่กับตัว คิดก็คิดอยู่กับตัว นึกจะทำอะไรก็ทำอยู่กับตัว มีศีล สมาธิ ปัญญา และมรรค ครบ มีธาตุสี่ ขันธ์ห้า ครบ มีทุกอย่างเหมือนที่ลุงแมวมีนั่นแหล่ะครับ แต่ที่ไม่มีคือความยึด ยึดในขันธ์ห้าว่าเป็นตัวเป็นตน อันนี้ไม่มีครับ เมื่อไม่มียึดขันธ์ สิ่งต่างๆที่เป็นกิริยาของขันธ์ จึงเหมือนลมพัดผ่านเท่านั้นครับ เกาะจิตท่านไม่ติด

 

ทำใจแบบกลางๆ ทำใจแบบปรกติ แต่อย่าทำใจต่อต้านตัวบุคคล แล้วอ่านตรงที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง

 

จุดกึ่งกลางริมฝีปากบน....เป็นจุดเล็กๆตรงนั้นเป็นที่ตั้งสติที่เรียกว่ามหาสติหรือสติสัมโพชน์ฌงค์..

ตรงนี้ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้...แต่ไม่เข้าไปอยู่ในลมนั้น..

**นิพพานอยู่แค่ปลายจมูก**

 

ท่านนำเอาสิ่งที่เราบอกไปพิสูจน์รู้ด้วยตนเองนั้นแหละ...

วันข้างหน้าท่านจะเป็นคนเห็นสิ่งที่เราเห็นแล้ว...ท่านจะเป็นคนยืนยันสิ่งที่เราพูด...ท่านจะเห็นนิพพาน

 

อันนี้ก็ถูกแต่มันลึกซึ้งกว่านั้นมาก..

 

ใช่ฮับมันอยู่ที่เรา "เป็น" อะไรในตอนนั้นหากอยู่กับขันธ์เมื่อไหร่เละฮับ ดังนั้นแม่รู้จึงต้องฝึกสติอยู่เนืองๆ

 

เลื่อนเรปอีกแล้ว จุดเล็กๆไม่ใช่สติสัมโพชฌงค์ใดๆฮับ เปิดพระไตรเลยก็ได้เอ้า มันมีทั้ง ปิติ ปัสสาทิ ซึ่งเป็นฌานในโพชฌงค์ มั่วไปเรื่อยอะฮับ แถมตอนแรกบอก "คุณพ้นได้ด้วยการกำหนดภาพมโนแล้วเข้าไปตรงใจกลาง?" ไหงๆไป "ก๊อปคำพูดหลวงปู่หลวงตาอะฮับเป็นผม ผมก็ก๊อปได้นะ" แต่พอพูดเองดันยอกย้อน งงมะฮ้าบ

"นี่มันมารศาสนาจริงๆ"

 

เมื่อมีสติตั้งตรงนี้แล้วต่อไปก็ไม่ต้องระวังสติอีก...เพราะมันกันสิ่งที่จะเข้า_ออก..

มันตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่เผลอสติอีกต่อไป..

 

สิ่งที่ "พระบอก" ไม่ใช่สิ่งที่คุณบอก "นี่กำลังหากินกับศาสนาอีกแล้วนะฮับ" ทำทุกทางให้ไปนรกจิมๆ

 

เอาเถอะฮับ "ใครฟังคุณ" ก็โดนวิบากกรรมไปร่วมด้วยช่วยกันแล้ว กรรมใครกรรมมันฮับ ผมได้แสดง "การแถ" และการ "หากินกับศาสนาไปแล้ว" ใครอยากข้องเกี่ยวก็ตามจะบายฮับ

 

เรามาบอกสิ่งที่เราเห็นแล้ว...ใครจะนำไปพิสูจน์รู้หรือไม่ก็แล้วแต่ท่านทั้งหลายเถิด..

ผู้มีปัญญาจะไม่มองข้ามสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์..

 

นิพพานเกิดที่ใจ ใจอยู่ที่หน้าอก เวลาเกิด รู้ เห็นนิพพาน เกิดตรงนี้ใช่มั๊ย

 

เราไม่ได้มาเรียกร้องอะไรจากใคร...ใครอยากปฏิบัติก็ไปลองพิสูจน์เอง...เราไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วย...เงินแม้สลึงค์นึงเราก็ไม่เคยขอจากพวกท่านนี่นา..