เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 มกราคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เมื่อครู่นี้ ท่านอ๊อด (พระพีระวิทย์ ชิตมาโร) มารายงานเกี่ยวกับระบบกันขโมย ท่านทั้งหลายอาจจะความรู้สึกช้าหรือว่าตายด้าน..! แต่วันก่อนที่ช่างติดอยู่ข้างใน พอเดินผ่านแล้วสัญญาณกันขโมยดัง กลายเป็นว่ากระผม/อาตมภาพมาถึงก่อนเป็นคนแรก ขณะที่พระเวรไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ? ก็คือพวกเราไปทำตัวเคยชินกับเสียงสัญญาณภัย เกิดอะไรขึ้นไม่ได้คิดที่จะมาดูมาแลกันเลย นี่เป็นจุดบอดประการแรก

    ประการต่อไปก็คือ กระผม/อาตมภาพเคยบอกแล้วว่า ต่อให้เป็นพระใหม่ ก็อย่าเพิ่งไปไว้ใจให้ดูแลงานพวกนี้ แต่เมื่อครู่ท่านอ๊อดบอกว่า แม้แต่สามเณรภาคฤดูร้อน พวกเราก็ให้เขาเปิดปิดระบบสัญญาณภัยได้ พอสามเณรสึกหาลาเพศไป ก็ไปบอกไปกล่าวกันว่ารหัส
    การปิดเปิดคืออะไร จนกลายเป็นจุดบอดที่เราต้องมาปรับปรุงใหม่กันอยู่ทุกบ่อย

    เพราะฉะนั้น..ขอย้ำตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปว่า พระที่รับผิดชอบ อย่างน้อยต้องมีตำแหน่งหลัก โดยเฉพาะเวลาปิดเปิดสัญญาณเพื่อที่จะทำความสะอาด จะเป็นเวลาบกพร่องที่ร้ายแรงที่สุด เพราะว่าถ้ามิจฉาชีพฉวยโอกาสตอนนั้น เขาจะทำอะไรก็ได้ กระผม/อาตมภาพถึงได้บอกว่า ถึงเวลาแล้วให้พวกเราล็อคประตูก่อน แล้วค่อยทำความสะอาดศาลา ปรากฏว่าทำกันได้ไม่ถึงสามวัน เสร็จแล้วก็ปล่อยเหมือนเดิม ก็คือเปิดโล่งเอาไว้ตลอด..!

    การที่พวกเราไม่มีจิตคิดร้าย และเชื่อว่าคนอื่นคิดเหมือนกับตนเอง อาจจะสร้างความเสียหายมากกว่าที่คิด เนื่องเพราะว่ามิจฉาชีพก็จะคอยจ้องอยู่ ต่อให้เราระวังขนาดไหน โอกาสพลาดก็มี แล้วเรายังไปเปิดโอกาสให้เขาเสียมากมาย ต้องไปนึกถึงภาษิตจีนที่บอกว่า "จิตใจทำร้ายคนไม่พึงมี แต่จิตใจระวังคน ไม่อาจจะละเลย" ไม่ใช่ว่าอยู่ร่วมกันสองวันสามวัน เห็นเขาทำงานดีก็มอบหมายหน้าที่ให้แล้ว โดยลืมในสิ่งที่กระผม/อาตมภาพสั่งไป เรื่องทุกอย่างที่สั่งไปนั้น เกิดจากประสบการณ์ของกระผม/อาตมภาพเองทั้งสิ้น

    สมัยที่อยู่วัดท่าซุง ถึงเวลาพระจะออกบิณฑบาต สายที่อยู่ใกล้ที่สุดออกมาประมาณตี ๕ ครึ่ง ก็สับสวิตช์ไฟรอบวัดลง ก็คือคิดว่าสว่างแล้วประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็คือช่วยประหยัดไฟ เพราะว่ารอบวัดติดไฟไว้เยอะมาก เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านทราบ ตอนประชุมสงฆ์ลงปาฏิโมกข์ ท่านก็เตือนว่า "เราจะดับไฟก็ต่อเมื่อมองเห็นคนแล้วจำได้ว่าเป็นใคร ไม่อย่างนั้นแล้วมิจฉาชีพก็จะฉวยโอกาสได้ เนื่องเพราะว่ามิจฉาชีพจะกลัวอยู่สองอย่าง ก็คือเสียงดังกับแสงสว่าง" แต่พวกเราก็ประมาท กระผม/อาตมภาพไม่อยากเสียเวลามาปรับปรุงระบบสัญญาณภัยของเราทีหนึ่งสองสามแสนบาท เพราะความมักง่ายแค่ไม่กี่ครั้งของพวกเรา..!

    ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใครที่เป็นตัวหลัก รู้รหัสในการปิดเปิด ไม่ใช่เที่ยวไปบอกคนอื่น แต่หน้าที่ของเราก็คือคอยเปิด
    ปิด ต่อให้ไม่ใช่เวรของตัวเอง ถึงเวลาก็ต้องมาเปิดปิดให้เขา อย่าไปมักง่ายเที่ยวมอบให้กับคนโน้น คนนี้ คนนั้น เพราะว่าเป็นการสร้างโอกาสให้กับมิจฉาชีพที่จะเข้ามา ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาจะมาทำอะไรบ้าง..!?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    สมัยที่อยู่วัดท่าซุง พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนให้พวกกระผม/อาตมภาพล็อคประตูทุกครั้งที่ออกจากที่พัก จนกระทั่งมีการล็อคขังเพื่อนกันมาแล้ว เพราะว่าเข้าไปแล้วก็มัวแต่เข้าห้องน้ำอยู่ แต่ก็จำเป็นต้องทำ ท่านบอกว่า "ถ้าไม่มีโอกาสคนเราจะไม่ลักขโมย แต่ถ้าเราไปเปิดโอกาสให้ แล้วเขาระงับยับยั้งใจไม่ได้ ศีลธรรม มโนธรรม หักห้ามความโลภในใจไม่ได้ เขามีโอกาสก็จะก่ออาชญกรรม"

    แปลว่าสิ่งที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนก็คือให้ "ป้องกัน" ซึ่งถ้าหากว่าภาษาของตำรวจก็คือ "ป้องปราม" ไม่ให้เหตุเกิดขึ้น ไม่ใช่ไป "ปราบปราม" หลังจากที่เหตุเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งมักจะเป็นเรื่องใหญ่อยู่เสมอ ถ้าจะว่าไปแล้วก็ตรงกับหลัก "ความไม่ประมาท" ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราเอามาปรับใช้กันไม่เป็น ก็คือไว้ใจคนอื่นว่าคิดเหมือนเรา ถ้าทำลักษณะอย่างนั้น โอกาสที่จะพลาดก็มีสูงมาก

    ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอให้เป็นไปตามที่กระผม/อาตมภาพบอกตลอดไป ไม่ใช่ทำสามวันเหมือนเดิม โดยเฉพาะในส่วนที่สั่งไว้แล้วว่า ก่อนที่จะปิดล็อคศาลา ให้ขึ้นไปตรวจตราดูว่า ในพิพิธภัณฑ์มีคนหลงเหลืออยู่หรือเปล่า ? มีการเปิดประตูหน้าต่างทิ้งอยู่หรือเปล่า ? พวกเราก็ทำแค่ไม่กี่ครั้ง แล้วท้ายที่สุด ก็ปล่อยคนอยู่ข้างในถึง ๖ คนอย่างที่ผ่านมา..!

    อย่าลืมว่า ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย เนื่องเพราะว่ามิจฉาชีพถ้าจะเอาตัวรอด บางทีเขาก็ต้องทำร้ายเรา แล้วถ้าหากว่าลงมือหนักก็ถึงตาย..! แล้วอย่าไปหวังว่ามิจฉาชีพจะรู้บาปบุญคุณโทษ ในเมื่อตั้งใจประกอบมิจฉาชีพ แปลว่าศีลธรรมโดนเขาโยนทิ้งไปแล้ว จึงเป็นเรื่องที่พวกเราต้องสังวรเอาไว้ด้วยว่า
    การปรับปรุงระบบป้องกันภัยแต่ละครั้ง กระผม/อาตมภาพจ่ายทีละหลายแสน แล้วพวกเราก็ทำเจ๊งภายในไม่กี่วัน..! เพราะความมักง่าย

    เรื่องพวกนี้ความจริงไม่จำเป็นที่จะต้องมาพูดก็ได้ ถ้าใช้สามัญสำนึกธรรมดาก็รู้อยู่ แต่ก็อย่างว่า..พวกเราอยู่วัดนานเกินไป จนกระทั่งลืมไปแล้วว่าโลกภายนอกร้ายกาจแค่ไหน ทุกวันนี้บรรดาผู้ติดยาเสพติดมีมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าในพื้นที่ของเราจะไม่มี แต่ที่มาจากนอกพื้นที่มีอยู่เป็นปกติ พวกนี้เอาทุกอย่างที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้
    จะเห็นว่าหลายวัดต้องใจร้ายใจดำ ก็คือเมื่อคนมาขอพัก แล้วไม่ให้พัก เพราะได้รับบทเรียนว่าบางคนเป็นมิจฉาชีพ ตั้งใจมาขโมยโดยเฉพาะ งัดตู้บริจาคบ้าง ยกไปทั้งตู้เลยบ้าง หรือไม่ได้อะไร กระถางธูป เชิงเทียนทองเหลืองก็กวาดไปขายหมด..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ที่ร้ายกาจกว่านั้นก็คือ เป็นมิจฉาชีพที่มาเพื่อขู่กรรโชกโดยเฉพาะ ตัวอย่างที่ผ่านมาก็คือวัดแห่งหนึ่ง อนุญาตให้รถขายของเข้ามาพัก ปรากฏว่าช่วงที่เขามาพักก็คือเวลาค่ำ เมื่อถึงเวลาตัวภรรยาก็เอาพวกปานะมาถวายหลวงพ่อ ในลักษณะว่าเมตตาให้ที่พัก พอหลวงพ่อเปิดกุฏิออกมารับ เขาก็ผลักล้มและโดดขึ้นคร่อมเลย..! ส่วนผู้ชายโผล่ออกมาถ่ายรูปไว้ แล้วก็ข่มขู่พระ ว่าต้องให้เงินเท่านั้นเท่านี้ ไม่อย่างนั้นจะแจ้งความข่มขืนภรรยาเขา เมื่อเรื่องดังขึ้นในวงการสงฆ์ ก็เลยทำให้การอนุญาตให้เข้าพักในวัดยากขึ้นไปเรื่อย ๆ

    วัดเราแค่ขอสำเนาบัตรประชาชนไว้ หลายคนยังรู้สึกว่าได้รับความลำบาก ทำไมเป็นพระเป็นเจ้าแล้วไม่เมตตา ? ก็เพราะว่าพอเมตตาเกินประมาณ แล้วก็จะเจอบรรดาบุคคลที่แสบ ๆ เข้ามาทำความเสียหายให้กับวัด
    หลายรายก็เอาน้ำเอาอะไรไปถวายพระ พอฉันเข้าไปก็หลับสนิท สลบไสลข้ามวันข้ามคืน เขาขนของหมดกุฏิก็ไม่รู้ตัว..! โดยเฉพาะวัดในกรุงเทพฯ ที่อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน

    ดังนั้น..พวกเราต้องตื่นตัวกันมากกว่านี้ อย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกเอาไว้ว่า เห็นคนแปลกหน้าให้เดินเข้าไปถามเลยว่ามาทำอะไร ถ้าเป็นมิจฉาชีพ เจอคนมองหน้าหรือว่าเข้าใกล้ เขาจะไม่กล้าทำมิจฉาชีพของเขาอีก เพราะกลัวว่าคนจะจำได้ ขณะเดียวกันในเรื่องของเวรยาม ก็อย่าไปซุ่มอยู่เป็นจุด บอกแล้วว่าให้เดินให้คนเขาเห็น ก็คือ "ป้องปราม" ไว้ว่ามีคนอยู่ ไม่ใช่ไปนั่งเข้ากรรมฐานจนครบ ๒ ชั่วโมง แล้วกูก็ออกเวร ไม่รู้เขาเผาวัดทิ้งไปซีกหนึ่งแล้วหรือยัง..!?

    ดังนั้น..เรื่องนี้จึงขอฝากเอาไว้ด้วย เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเองก็ไม่ค่อยได้อยู่วัด ถ้าการดูแลของพวกเราหละหลวมในลักษณะอย่างนี้ ต่อไปเหตุร้ายเกิดขึ้นก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าในศาลาของเรา สิ่งมีค่ารวมแล้วหลายร้อยล้านบาท ถ้าแข็งแรงขนาดกระผม/อาตมภาพ ยกหลวงพ่อทองคำไปสักองค์ก็จบแล้ว..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...