เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 มกราคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ปกติแล้วมีหลายเรื่องที่พูดคุยกับพวกเรา แต่ว่าเวลาจำกัด ก็คงจะว่าไปเท่าที่จะคุยได้

    วันนี้พวกเราได้ทำบุญถวายกุศลให้แก่พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ (สว่าง จนฺทวํโส) อดีตเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี อดีตเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ ซึ่งเป็นสหธรรมิกของกระผม/อาตมภาพเอง ท่านโดนผู้ก่อการร้ายยิงมรณภาพเมื่อปี ๒๕๖๒

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าช่วงนั้นเป็นเรื่องที่ฮือฮาใหญ่โตกันระดับประเทศ แต่ผ่านมาแค่ ๕ ปี แทบจะไม่มีใครรู้จักท่านแล้ว นี่คือเรื่องปกติของมนุษย์ทุกรูปทุกนาม ดังนั้น..ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่พระธรรมพุทธิมงคล (สะอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี ได้กล่าวเอาไว้ว่า "ทำเพื่อตัวเองอยู่แค่สิ้นลม ทำเพื่อสังคมอยู่คู่ฟ้าดิน" เนื่องเพราะว่าการที่เราทำเพื่อคนอื่น บุคคลอื่นจะช่วยกันจดจำในสิ่งที่เราทำเอาไว้ ยิ่งทำมากเท่าไร สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็ยิ่งปรากฏเป็นที่จดจำกว้างขวางเท่านั้น

    พวกท่านจะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระองค์ท่านนำความเจริญต่าง ๆ มาสู่สยามประเทศในยุคนั้น ต้องบอกว่าแทบจะเป็นการปฏิวัติประเทศใหม่เลย ขนาดเป็นประเทศแรกในทวีปเอเชียที่มีรถไฟ พระองค์ท่านแม้ว่าจะสวรรคตไปเนิ่นนานแล้ว คนไทยก็ยังคงกำหนดจดจำกันอยู่ตลอดมา

    หรือว่าที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงดำเนินโครงการพระราชดำริ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน ตลอด ๗๐ ปีของรัชสมัย ทรงดำเนินไป ๔,๐๐๐ กว่าโครงการ ไม่เพียงแต่เป็นที่จดจำของประชาชนในประเทศเท่านั้น แม้แต่ต่างประเทศก็ยกย่องให้เป็น King of The Kings ประมาณว่าเป็นราชาเหนือราชันย์ทำนองนั้น

    ที่กล่าวเรื่องทั้งหลายเหล่านี้มา เพื่อจะบอกกับท่านทั้งหลายว่า การที่เราทำความดีเป็นร้อยครั้ง ยากที่คนจะจดจำสักครั้งหนึ่ง แต่ถ้าเราทำความชั่วเพียงครั้งเดียว เขาอาจจะจดจำและยกเป็นตัวอย่างไปอีกนานแสนนนาน โดยเฉพาะในวงการสงฆ์ของเรา เราก็จะได้ยินชื่อท่านอาจารย์นิกร ท่านอาจารย์ยันตระ หลวงพ่อภาวนาพุทโธ ตลอดจนกระทั่งสมีเจี๊ยบ เหล่านี้เป็นต้น ก็ยังคงเป็นตัวอย่างที่เขายกให้กับผู้อื่นฟังไปตลอดกาล

    เนื่องเพราะว่าพระภิกษุสามเณรของเราเป็นปูชนียบุคคล เป็นที่พึ่งทางใจของชาวบ้านเขา ถ้าสิ่งที่เราทำเป็นความดี เขาถือว่าเป็นหน้าที่ซึ่งท่านทั้งหลายต้องทำอยู่แล้ว แต่ถ้าสิ่งที่เราทำเป็นเรื่องไม่ดี ก็แปลว่าโดนเหยียบจมธรณีอยู่ตรงนั้นเอง..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    พรุ่งนี้กระผม/อาตมภาพต้องไปทำการบวงสรวงที่สำนักสงฆ์ถ้ำโป่งช้าง ให้กับเลขาฯ บอส (พระสมุห์ณัฐพสิษฐ์ ปญฺญาคโม) ที่จะไปรับตำแหน่งเจ้าสำนักอย่างเป็นทางการ จึงอยากจะบอกกล่าวกับท่านทั้งหลายว่า สิ่งที่พูดไปเมื่อครู่นั้น ส่วนหนึ่งก็คือหลักการบริหารสำนัก ไม่ว่าจะเป็นที่พักสงฆ์ สำนักสงฆ์ หรือว่าวัดวาอาราม ก็คือ ต้องอดกลั้นอดทน เพียรทำความดีเรื่อยไป

    ไม่ว่าจะเป็นวัด หรือว่าสำนักสงฆ์ ที่พักสงฆ์ที่ใดก็ตาม ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสเก่าสิ้นไป หรือว่าพ้นตำแหน่งไป บุคคลที่มาใหม่ ถ้าความสามารถไม่เท่ากับเจ้าอาวาสเก่า ญาติโยมที่ตั้งแง่อยู่แล้วก็จะไม่สนใจเราเลย ต่อให้มีฝีมือเทียบเท่า หรือว่ามากกว่าเจ้าอาวาสเก่า เขาก็ยังคงคิดถึงแต่คนเก่า เพราะว่าเขาอยู่ด้วยกันมานาน เจ้าสำนักใหม่หรือเจ้าอาวาสใหม่ จึงต้องทนทำความดีสู้ไปเรื่อย กว่าจะเป็นที่ยอมรับ ก็มักจะเป็นวาระท้าย ๆ ของชีวิต..! แล้วทันทีที่มรณภาพหรือเสียชีวิตไป คนใหม่ที่มาก็จะตกอยู่ในวงจรอุบาทว์เหล่านี้อีก..!

    ดังนั้น..เรื่องของการบริหารวัดวาอาราม จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องทุ่มเทยังไม่พอ ยังต้องอดทน อดกลั้นต่อสิ่งต่าง ๆ ที่บรรดาญาติโยม หรือว่าพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ฆราวาสในวัดเรียกร้องต่อเราอีกต่างหาก เราบอกให้เขาทำดีอะไร บางทีเขาไม่คิดจะทำเลย แต่กลับมาเรียกร้องจากเราว่าวัดต้องดี สำนักสงฆ์ต้องดี ฟังดูแล้วน่า "โบก" ให้หัวหลุด..!

    ดังนั้น..สิ่งหนึ่งที่เป็นหลักเลยก็คือ ไม่ว่าจะเป็นวัด เป็นสำนักสงฆ์ หรือว่า องค์กร ชมรม ใหญ่ ๆ เล็ก ๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ต้องรีบแก้ไขให้เร็วที่สุด อย่าไปปล่อยให้เป็น "ดินพอกหางหมู" เพราะว่ายิ่งปล่อยนานไป มีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับองค์กรนั้น ๆ ก็แปลว่าผู้นำต้องมีความเด็ดขาดด้วย ถ้าไปเอาพระคุณอย่างเดียว โดยไม่มีพระเดชเลย ก็ไม่มีใครเกรงใจท่านหรอก..!

    เมื่อกระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสใหม่ ๆ ก็ได้ออกระเบียบวัดมา ๒๕ ข้อ ซึ่งหลายท่านก็คงจะอ่านและจำขึ้นใจแล้ว แต่พอนำไปเสนอพระเดชพระคุณพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ ป.ธ. ๔) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านบอกว่า "อาจารย์เล็ก..ถ้าเข้มงวดแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้อยู่คนเดียว..!" แต่กระผม/อาตมภาพไม่เห็นด้วย เนื่องเพราะว่าวัดวาอารามจำนวนมาก กลายเป็นแหล่งซ่องสุมคนชั่ว หรือแม้แต่พระภิกษุสามเณรที่ประพฤติปฏิบัตินอกลู่นอกทาง นอกธรรมวินัย บางแห่งก็ติดยาบ้ากันทั้งวัดเลย..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,853
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,573
    ค่าพลัง:
    +26,418
    ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราเด็ดขาด จัดการไปทันทีทันใด ไม่ต้องไปเสียดายคน คิดเสียว่าเรายอมอยู่คนเดียว ดีกว่าอยู่ร่วมกับคนชั่ว เนื่องเพราะว่าถ้าอยู่ร่วมกันคนชั่ว ก็อยู่ในลักษณะ "ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง" จึงไม่ต้องไปกังวลว่าจะไม่มีใครอยู่ร่วมกับท่าน ถ้าหากว่าสร้างเวรสร้างกรรมมา เดี๋ยวผู้ที่จะอยู่ร่วมกับเราก็มาเอง

    แล้วก็อย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็น วัดท่าขนุนที่หลวงพ่ออดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีเป็นห่วง ว่ากระผม/อาตมภาพอาจจะต้องอยู่คนเดียว แล้วปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่กัน ๕๐ กว่ารูป/คน ถ้าเอาสาขาเข้ามารวมกัน ก็พอดีไม่มีที่ให้นอน..!

    ในเรื่องของการใช้พระเดชพระคุณในการปกครองนั้น เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ก็คือถ้าความผิดเบา ก็ต้องมีการตำหนิโทษ อย่าลืมว่าถึงเป็นการตำหนิโทษ ก็เป็นการลงโทษ อย่าไปงุบงิบ พูดคุยกันอยู่แค่สองคน เพราะว่าอันดับแรก..ผู้ที่มีส่วนได้เสีย ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เราจัดการไปแล้ว อันดับที่สองก็คือ ถ้าหากว่าเราจัดการโดยเด็ดขาดและเปิดเผย คนที่คิดจะทำความชั่วในลักษณะนั้นอีก ก็จะไม่กล้าทำอีก

    ใช้หลักสัมมุขาวินัย ในอธิกรณสมถะ ๗ ในการระงับเรื่องราวจะเหมาะสมที่สุด แต่ต้องดูความหนักเบา ว่าจะเป็นการตำหนิโทษ การภาคทัณฑ์ การให้ออก การไล่ออก ก็ว่ากันไปตามโทษานุโทษหนักเบานั้น ๆ

    ถ้าไปปล่อยให้เรื้อรัง คาราคาซัง ก็จะเหมือนกับ "สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน" ท้ายสุดก็กัดกร่อนจนกระทั่งองค์กรนั้นผุพัง หาความเจริญก้าวหน้าไม่ได้ แล้วในขณะเดียวกัน ถ้าเป็นองค์กรอย่างเช่นคณะสงฆ์ ก็จะทำให้ผู้อื่นเสื่อมศรัทธา ขอให้ยึดหลักง่าย ๆ ว่า ถ้าเราบริหารวัด หรือว่าสำนักสงฆ์ เอาแค่หลักการว่า "พระเณรบวชเข้ามาแล้ว ให้ชาวบ้านไหว้ได้เต็มมือก็พอ..!"

    เรื่องพวกนี้จะช้าจะเร็ว เราท่านทั้งหลายก็จะต้องได้พบ แล้วท้ายที่สุด ก็อาจจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่นั้นเอง กระผม/อาตมภาพจึงได้บอกกล่าวกับพวกเราเอาไว้ เผื่อจะได้เป็นประสบการณ์และเข้าใจถึงวิธีการ ตลอดจนแนวทางในการปฏิบัติ เมื่อไปเจอปัญหาด้วยตนเอง จะได้ไม่เสียเวลารับมือกันนาน
    ขอให้ยึดหลักยุติธรรม ปราศจากอคติ ถูกต้องตามระเบียบวินัยและกฎหมายบ้านเมือง จะไม่มีใครตำหนิเราได้เลย

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...