เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 กุมภาพันธ์ 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,849
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,417
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,849
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,417
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตอนเช้ามืดกระผม/อาตมภาพไปร่วมทำวัตรเช้ากับผู้เข้ารับการอบรมบาลีก่อนสอบที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ซึ่งมีพระเดชพระคุณพระราชวชิรโมลี (สมชาย พุทฺธญาโณ ป.ธ.๗) รองเจ้าคณะภาค ๑๔ เป็นผู้นำในการทำวัตรเช้า ซึ่งการทำวัตรเช้าของทางวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) นั้น จะเป็นการเจริญพระพุทธมนต์ประมาณ ๑ ชั่วโมง ปรากฏว่ามีผู้เข้ารับการอบรมบางรายมาช้าจนถึงช้ามาก..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าประการแรก ท่านไม่เห็นความสำคัญของการสวดมนต์ทำวัตรเลย ประการที่สอง กำลังใจขาดความมุ่งมั่นในการที่จะต่อสู้กับกิเลส คือความง่วงเหงาหาวนอน จึงปล่อยให้หลับตามสบายของตนเอง กว่าที่จะตื่นมาจัดการธุระส่วนตัว แล้วมาทำวัตรได้ ก็เกือบจะหมดเวลาแล้ว..!

    ความจริงแล้วนักเรียนบาลีนั้น ท่านยังขาดความรู้ความเข้าใจในแนวทางการปฏิบัติแบบนี้อยู่มาก การที่เราจะต้องลุกขึ้นมาทำวัตร หรือเจริญกรรมฐานทุกวันนั้น ก็คือการที่เราฝึกตนให้มีศีล เนื่องเพราะว่ากฎระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นข้อห้าม ข้อบังคับ หรือข้อให้กระทำ ก็คือศีลนั่นเอง ถ้าเราเป็นผู้ที่ยินดีปฏิบัติตามข้อบังคับเหล่านั้น ก็แปลว่า เราเป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติตามศีลได้ทุกข้อ เมื่อท่านทั้งหลายมีศีลเป็นพื้นฐานแล้ว ความที่ท่านตั้งสติ ระมัดระวัง ไม่ให้ละเมิดกฎระเบียบ หรือว่าไม่ให้ละเมิดศีลนั้น ย่อมสร้างสมาธิให้เกิดขึ้นเอง

    ส่วนการที่ท่านมาสวดมนต์ทำวัตรนั้น เป็นการสร้างสมาธิโดยตรง ก็คือถ้าหากว่าเราขาดสติ สมาธิบกพร่อง ก็จะสวดผิดสวดพลาด ซึ่งวันนี้ก็มีอยู่หลายราย แถมบางรายยังส่งเสียงออกไมโครโฟนอีกต่างหาก เมื่อเสียงดังแล้วสวดผิดพลาด ก็อาจจะพาคนอื่นเขา "ล่ม" ไปด้วย ยังดีที่ว่า หลวงพ่อรองเจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านสวดแม่น จึงไม่ทำให้มีอาการสะดุด หรือว่า "ร่วง" ตามกันไป

    ประการที่สอง การสวดมนต์นั้น ทำให้เราสามารถทรงฌานได้ หลายท่านอาจจะสงสัยว่าการทรงฌานนั้น เราจำเป็นต้องนั่งภาวนา จับลมหายใจเข้าออก จึงสามารถทำให้เกิดอัปปนาสมาธิ คือทรงฌานได้ไม่ใช่หรือ ?

    กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า การสวดมนต์ทำวัตรนั่นแหละ เป็นการทรงฌานที่ดีที่สุด เพราะว่าเราใช้คำสวดทุกคำแทนการภาวนา แค่กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกตามไปด้วยเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าท่านสามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมกับการสวดมนต์ทำวัตรได้ ไม่ว่าเป็นการสวดมนต์ทำวัตรที่ใช้ระยะเวลายาวสั้นแค่ไหน ก็แปลว่าท่านสามารถที่จะทรงฌานได้ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานเท่านั้น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,849
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,417
    แล้วขณะเดียวกัน ก็เป็นการทรงฌานในขณะที่เราเองกำลังทำหน้าที่ตามปกติ ไม่ใช่การนั่งนิ่ง ๆ เฉย ๆ ซึ่งการนั่งแบบนั้น กระผม/อาตมภาพเคยเรียกแบบประชดว่า "ทรงฌานแบบหัวหลักหัวตอ..!" เนื่องเพราะว่าไม่สามารถที่จะไปทำอะไรได้เลย

    แต่ถ้าเราซักซ้อมทรงฌานในขณะที่อยู่ในอิริยาบถต่าง ๆ โดยเฉพาะการสวดมนต์ไหว้พระ เมื่อมีการซักซ้อมคล่องตัวแล้ว ไม่ว่าเราจะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ก็สามารถที่จะทรงฌานได้ เป็นการทรงฌานทรงสมาบัติแบบที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านใช้คำว่า "ฌานใช้งาน"

    นอกจากนั้นแล้ว ถ้าหากว่าท่านต้องการที่จะได้อะไรมากไปกว่านี้ ก็ใช้วิธีอย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยฝึกฝนมา ก็คือกำหนดใจนึกถึงคำสวดขึ้นมาตรงหน้า ทีละคำ ทีละคำ ถ้าเรานึกตามไปได้พร้อมกับภาวนา ยิ่งเห็นได้ชัดเจนเท่าไร เราก็สามารถปรับไปเป็นการเห็นผี เห็นเทวดาได้ชัดเจนเท่านั้น ก็คือเป็นการฝึกทิพจักขุญาณดี ๆ นี่เอง..!

    เพียงแต่แทนที่เราจะไปจับกองกสิณต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาโลกกสิณ เตโชกสิณ หรือโอทาตกสิณ เราก็มาจับกสิณคำสวดมนต์ไหว้พระของเราแทน ก็คือนึกถึงตัวอักษรลอยขึ้นมาตรงหน้าของเรา ทีละคำ ทีละประโยค ซักซ้อมไปเรื่อย ๆ ยิ่งมีความชัดเจนเท่าไร ถึงเวลาเราแค่ปรับไปรับรู้เรื่องของผี เรื่องของเทวดา ก็จะมีความชัดเจนเท่านั้น แปลว่า
    การสวดมนต์ไหว้พระ เราก็สามารถที่จะสร้างทิพจักขุญาณขึ้นมาได้

    หรือถ้าจะเอาให้มากกว่านั้น ท่านก็กำหนดใจเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบมากที่สุด ตั้งใจว่านั่นคือพระพุทธนิมิต แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดเลย นอกจากพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่าน คือเราอยู่ใกล้พระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้พระองค์ท่าน คือเราอยู่บนพระนิพพาน แล้วตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระไป ถ้าเราสามารถทำแบบนี้ได้ ตลอดระยะเวลาที่เราสวดมนต์ไหว้พระ ไม่ว่าจะยาวนานเท่าไรก็ตาม เท่ากับว่าเราเอาจิตเกาะพระนิพพานได้ยาวนานเท่านั้น

    การเกาะพระนิพพาน ซึ่งเป็นสถานที่หมดกิเลส เป็นสถานที่ละเอียดเกินกว่ากำลังใจของปุถุชนธรรมดาจะเกาะติดได้ ถ้าเราไม่มีงานให้ใจทำ ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิ ก็มักจะเกาะพระนิพพานได้แค่นิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็ "หลุด" ลงมา บางท่านไม่ทราบเหมือนกันว่าตนเอง "หลุด" ลงมาตอนไหน แต่ถ้าหากว่าเราหางานให้ใจทำ ก็คือตั้งใจจะเกาะพระนิพพานตลอดการสวดมนต์ทำวัตรของเรา เมื่อใจมีงานทำแบบนี้ ก็จะไม่ "หลุด" ลงมาได้ง่ายแบบนั้นอีก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,849
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,417
    ถ้าท่านทั้งหลายต้องการจะให้ได้มากกว่านี้ ด้วยความที่เป็นนักเรียนบาลี เมื่อสามารถที่จะแปลบาลีได้แล้ว ส่วนใดที่เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็เอาคำสอนนั้นมาประพฤติปฏิบัติ ก็แปลว่าได้ทั้งพุทธานุสติ และธัมมานุสติด้วย ถ้าท่านสามารถปฏิบัติ กาย วาจา ใจ ของตน ให้ละกิเลสลดน้อยถอยลงไปเรื่อย จนสามารถที่จะชำระใจให้ผ่องใสถึงที่สุด เราก็สามารถที่จะหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นคุณใหญ่ในการที่เราสวดมนต์ไหว้พระ ระดับทั่ว ๆ ไปก็แค่สร้างสมาธิให้เกิด ในระดับกลาง เมื่อมีศีลแล้ว มีสมาธิแล้ว ในเรื่องของปัญญาทางโลก ๆ เช่นการเรียนบาลีนั้นก็กลายเป็นเรื่องง่าย เพราะว่าสมาธิของเราทรงตัว ไม่ท้อถอยง่าย ๆ มีความอดทน มีความพากเพียรมากกว่าคนที่ขาดสมาธิ การเรียนบาลีของเราก็จะประสบความสำเร็จได้ง่าย

    ท้ายสุดถ้าหากท่านพินิจพิจารณาว่า ขนาดเราเป็นนักบวช มาศึกษาพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังประกอบด้วยความทุกข์ขนาดนี้ ขึ้นชื่อว่าบุคคลอื่นที่จะไม่ทุกข์นั้นไม่มี ดังนั้น..การเกิดมาทุกข์เช่นนี้ เราไม่ปรารถนาอีกแล้ว เราขอไปอยู่ที่พระนิพพานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเดียวเท่านั้น

    หลังจากนั้นท่านก็เอากำลังใจเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ รักษากำลังใจว่า พระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่าน คือเราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน เราอยู่ใกล้กับพระองค์ท่าน คือเราอยู่บนพระนิพพาน แล้วก็สวดมนต์ไหว้พระของเราไปเรื่อย จนกว่าจะจบลงตามที่กำหนดเอาไว้แต่ละวัด ว่าจะทำวัตรกันยาวสั้นเพียงไร

    ถ้ามีการซักซ้อมแบบนี้บ่อย ๆ กำลังใจของเราก็จะสะอาดจากกิเลสมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนมีดวงปัญญาเห็นทุกข์เห็นโทษจากการเกิดมามีร่างกายนี้ เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาในโลกนี้ เราก็จะค่อย ๆ ลด ค่อย ๆ ละ การยึดการเกาะในร่างกายนี้ และการยึดการเกาะในโลกนี้ เมื่อถอนความปรารถนาในการเกิด ถอนความยินดีในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงลงไปได้ ท่านทั้งหลายก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

    เป็นที่น่าเสียดายว่าท่านทั้งหลายอยู่ในส่วนที่ดีที่สุดแล้ว แต่ว่าไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติ หรือว่าหยิบฉวยเอาสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมาก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองได้ ต้องบอกว่า "ใกล้เกลือกินด่าง" ยกเว้นว่าท่านที่มีโอกาสได้ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้ แล้วเพียรพยายามในการต่อสู้กับกิเลส ต่อสู้กับความง่วงเหงาหาวนอน ลุกขึ้นมาสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน

    เมื่อกำลังของศีลและสมาธิของท่านมากขึ้น สิ่งที่เราทำก็จะง่ายขึ้นไปเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวเรา ไม่สามารถที่จะขาดลงไปได้ เหมือนกับต้องฉันอาหารทุกวัน ต้องดื่มน้ำทุกวัน หรือท้ายที่สุดก็คือ ต้องหายใจทุกวัน..!

    ถ้าอย่างนั้นท่านก็จะมีโอกาสสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับตนได้
    ไม่เสียทีที่เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสบรรพชาอุปสมบท แล้วก็สามารถทำตนให้ได้รับวิมุติรสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เสียชาติที่เกิดมา ถ้าสามารถตัดละหนทางการเวียนว่ายตายเกิดลงไปได้ ก็ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ ๑ รวดเดียว ๖๐ ล้านบาทเสียอีก..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...