ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. Cutie Kung

    Cutie Kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +1,283
    หนาวจัดในละตินอเมริกาตายแล้วหลายสิบคน


    .:
    เนชั่น


    ลมหนาวจากขั้วโลกใต้ได้แผ่ปกคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างทั่วละตินอเม ริกาที่กำลังอยู่ในช่วงฤดูหนาว ทำให้อาร์เจนตินามีอุณหภูมิลดลงถึงขนาดติดลบ 14 องศาเซลเซียส และมีผู้เสียชีวิต 33 คน โดยส่วนใหญ่เป็นคนเร่ร่อนที่นอนหนาวตายข้างถนนในกรุงบัวโนสไอเรส นอกจากนี้ในโบลิเวีย มีผู้เสียชีวิต 18 คน และเมืองซานตา ครูซา เดลา เซียร์รา วัดอุณหภูมิได้ 3 องศาเซลเซียสซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 29 ปี แต่อีกหลายเมืองมีอุณหภูมิติดลบ ทั้งที่โดยปกติแล้วบางแห่งมีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีไม่ต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส
    และที่ปารากวัย มีผู้เสียชีวิต 9 คนจากอากาศหนาวจัด และอีก 3 คนตายเพราะสูดควันพิษจากเตาผิง รวมทั้งมีปศุสัตว์ล้มตาย 1,000 ตัว และสำนักงานอุตุนิยมวิทยาเตือนว่าจะยังมีอากาศหนาวและฝนตกต่อเนื่องไปตลอด สัปดาห์นี้ ส่วนที่กรุงซานติอาโก้ของชิลี มีคนไร้บ้านหนาวตาย 1 คนทำให้มีการเปิดสนามกีฬาให้คนเร่ร่อนหลายร้อยคนเข้าไปหลบลมหนาว
    นอกจากนี้เปรู บราซิล ปารากวัย และอุรุกวัย ก็ประสบกับสภาพอากาศหนาวรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเหมือนกัน โดยเฉพาะในเมืองอาเรกุยปาของเปรูในแถบเทือกเขาแอนดิส มีอุณหภูมิต่ำถึง ลบ 17 องศาเซลเซียส ทำให้ฝูงสัตว์อัลปากา ซึ่งมีลักษณะคล้ายแกะ ล้มตายจำนวนหนึ่งส่วนเมืองเปอร์โต มัลโดนาโด ของเปรู ที่อยู่ในแถบป่าอเมซอน ก็มีอุณหภูมิ 9 องศาเซลเซียสจากที่ปกติพื้นที่แถบนี้มีอุณหภูมิแค่กว่า 20 องศาเซลเซียส

    ******

    ตอนนี้ มีผู้คนตายจาก ความร้อน และ ความหนาว อากาศยังแปรปรวนหนัก
     
  2. Cutie Kung

    Cutie Kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +1,283
    ภาคใต้ลาวสวนผักขนาดใหญ่ ส่งเลี้ยงดูคนไทยถึงกรุงเทพฯ


    .:
    ASTV


    [​IMG]
    ผักปลอดสารพิษจากแขวงภาคใต้ของลาว ขายดีขึ้นทุกปี ส่งผ่านด่านช่องเม็ก ปัจจุบันส่งจำหน่ายถึงตลาดสี่มุมเมืองชานกรุงเทพฯ ความสัมพันธ์การค้าขายแบบเกษตรพันธสัญญาระหว่างไทยกับลาว ได้สร้างงานให้กับเกษตรกรลาวกว่า 500 ครอบครัว
    เจ้าหน้าที่ลาว กล่าวเรื่องนี้ในงาน THAIFEX World of Food Asia 2010 ที่ผ่านมา
    พืชผักปลอดสารพิษจากลาวได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อุบลราชธานี และ ศรีสะเกษ จนถึง ขอนแก่น-นครราชสีมา ปัจจุบันส่งถึงตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งใน 6 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่ารวมประมาณ 9 ล้านดอลลาร์
    รายได้ส่วนนี้ได้ช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรลาวนับพันๆ คน ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นางอินแปง ซามุนตี แห่งบริษัทปากซองพัฒนา เมืองปากซอง แขวงจำปาสัก กล่าวกับ “ผู้จัดการ360องศารายสัปดาห์”
    “คิดเป็นตัน วันหนึ่งที่ส่งเข้ามาจำหน่ายเฉลี่ย 300 ตันเฉพาะผัก พืชตระกูลถั่วเฉลี่ยวันละ 100 ตัน กล้วยชนิดต่างเฉลี่ยวันละ 50 ตัน” นางอินแปง กล่าว

    เกษตรกรลาวได้รวมตัวกันอย่างเป็นระบบในการติดต่อค้าขายกับฝ่ายไทย ซึ่งมีปีนี้มี 20 บริษัทเซ็นความตกลงแบบเกษตรพันธสัญญา (Contract-Farming) กับฝ่ายลาว

    บริษัท ปากซองพัฒนา มีสมาชิกในเครือข่าย 545 ครอบครัว ครอบคลุมเขตที่ราบสูงบอละเวน คือ ปากซองกับเมืองบาเจียงจะเลินสุก แขวงจำปาสัก เมืองเหล่างาม แขวงสะละวัน และเมืองท่าแตง แขวงเซกอง เป็นเนื้อที่รวมกันราว7,500 เฮกตาร์ (กว่า 46,000 ไร่)

    โชคดีมากปีนี้พืชผักต่างๆ จำหน่ายได้ราคาดี เนื่องจากภัยแห้งแล้ง ซึ่งทำให้เกษตรกรลาวมีรายได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกะหล่ำปลีกและผักกาดขาวปลอดสารพิษ ที่เคยจำหน่ายได้ 50 สตางค์ ต่อกิโลกรัมปีที่แล้ว ตั้งแต่ต้นมาปีมานี้ บริษัทคู่สัญญารับซื้อที่ด่านช่องเม็กราคา 14-15 บาทต่อ กก.นางอินแปง กล่าว

    “ต้องขอขอบคุณรัฐบาลไทยและประชาชนไทยที่ให้โอกาสเกษตรกรลาวพวกเรา ให้นำเข้าผลผลิตการเกษตรของเราได้โดยไม่เสียภาษี แม้ว่าบางรายการ เช่น กะหล่ำกับผักกาดเกษตรกรไทยจะสามารถผลิตได้เองก็ตาม”
    การเกษตรพันธะสัญญาเกิดขึ้นภายใต้ความตกลง ในกรอบกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง หรือ ACMECs ที่พม่า ไทย ลาว กัมพูชาและ เวียดนาม ร่วมเป็นภาคี

    ไทยได้ยกเว้นภาษีให้กับสินค้าการเกษตรของลาวเกือบ 200 รายการมาตั้งแต่ปี 2547 เช่นเดียวกับสินค้าการเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ รัฐบาลไทยยังอนุญาตให้ลาวส่งออกสินค้าเกษตรผ่านไทยได้โดยไม่ต้องเสียภาษี เช่นกัน

    กลุ่ม ACMECS เห็นพ้องกันว่า เกษตรพันธสัญญา จะช่วยสร้างงานที่ต้นทาง ลดการเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย

    ผักปลอดสารพิษจากลาวได้รับประกาศนียบัตรรับรองฮาลาล จากสมาฮาลาลแห่งประเทศไทย และรอประกาศนียบัตรรับรองพื้นที่เกษตรอินทรีย์ แสดงต้นกำเนิดสินค้าจากรัฐบาลลาว ซึ่งจะทำให้สามารถส่งจำหน่ายตลาดตะวันออกกลางและยุโรปได้

    ปัจจุบันบริษัท ปากซองพัฒนา ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้ขยายการทดลองเพาะปลูกไปยังแขวงหลวงพระบาง กับแขวงไซยะบูลี ในภาคเหนือ เพื่อหาทางเพิ่มผลผลิตเกษตรอินทรีย์ สำหรับส่งอีกในอนาคต นางอินแปง กล่าว
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    แสดงการใช้"พลังจิต"หักเหการเดินทางของแสงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
    โดยคุณ Nakamura

    [​IMG]

    เคยเห็นอาจารย์ักัญจีรา กาญจนเกตุ ยืดพระอาทิตย์ให้ดูกันแล้ว คราวนี้มาดูผม(Nakamura) ยืดดวงจันทร์กันบ้าง (ถ่ายเมื่อคืน แบบนิ่งๆ)

    ** ใ้ห้ดูเพื่อศึกษาพลังงานของดวงจันทร์เท่านั้น อย่าคาดหวังอะไรมาก เพราะผมยังอ่อนหัดกว่าอาจารย์ท่าน(ดร.กัญจีรา กาญจนเกตุ) นัก **

    Nakamura<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1045068", true); </SCRIPT> สมาชิกเว็บพลังจิต
    25-03-2008, 08:55 AM

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]


    </FIELDSET>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2010
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    น้ำทะเลเป็นกรด!กระทบฝูงปลาพิกลพิการ

    [​IMG]

    นักชีววิทยาพบระหว่างการศึกษาความเป็นกรดของน้ำในมหาสมุทรว่า เป็นพิษทำให้บรรดาปลาต่างๆ พากันพิการ ไม่อาจรู้กลิ่นว่าใครเป็นศัตรูหรือเป็นมิตรได้ออก

    พวกเขาได้พบว่า ปลาที่อายุยังอ่อนที่เลี้ยงไว้ในน้ำที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ผสมอยู่จัด จะเริ่มพิการ ไม่รู้กลิ่นว่ากลิ่นไหนเป็นของศัตรู และกลิ่นไหนเป็นของมิตร

    ในรายงานที่จะเสนอต่อที่ประชุมเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศกับปลา ที่นครเบลฟาสต์ ตอนปลายเดือนนี้ ได้แจ้งว่าลูกปลาที่ยังเป็นตัวอ่อนในธรรมชาติ จะเสี่ยงอันตรายเป็นพิเศษ เมื่อว่ายออกมาจากที่หลบซ่อน โดยไม่ได้ กลิ่นของศัตรู ถูกจับกินเสียเป็นอันมาก จนเป็นที่น่าหวั่นว่า จะไม่เหลือลูกปลาที่จะอยู่เติบโตเต็มที่ ไม่พอที่จะทดแทนปริมาณในทะเลพอ หากว่าน้ำทะเลเริ่มมีความเป็นกรดสูงขึ้น

    นักวิทยาศาสตร์คาดไว้แล้วว่า มหาสมุทรแห่งต่างๆ จะต้องมีน้ำเป็นกรดหนักยิ่งขึ้น เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ไปตกละลายในทะเลมากขึ้น

    ไทยรัฐออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2553

    ที่มา http://www.thairath.co.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 639.jpg
      639.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.1 KB
      เปิดดู:
      1,638
  5. ธีรยุทธ

    ธีรยุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +750
    สรรพคุณเหนือกาลเวลา ภูมิปัญญา “ยาหอมไทย”

    [​IMG]

    โลกยุคปัจจุบัน สิ่งต่างๆ รอบตัวล้วนทันสมัย นวัตกรรมใหม่ๆ ถูกคิดค้นขึ้น โดยเฉพาะด้านการแพทย์และยารักษาโรค ทำให้ทุกวันนี้การแพทย์ยุคปัจจุบันก้าวไกล แทบทั่วทุกหัวระแหงมีร้านขายยาแผนปัจจุบัน ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้ง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่ที่หลายๆ คนหลงลืมไปคือ มนุษย์เข้าถึงยาแผนปัจจุบันง่ายเกินไปจนแทบจะลืมภูมิปัญญาพื้นฐานที่สั่งสมและสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล


    รอยทางแห่ง “ยาหอม”

    “ยาหอม คือ สัญลักษณ์หนึ่งของแพทย์แผนไทย ถ้ายาหอมอยู่ได้ แพทย์แผนไทยก็อยู่ได้ มีหลักฐานว่า ประเทศไทยมีบันทึกถึงการมีอยู่ของยาหอมตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช ในสมัยอยุธยา จนกระทั่งปัจจุบัน เราหันไปให้ความสำคัญกับยาแผนปัจจุบันและแทบจะลืมของเก่าแก่ของเรา แต่มันก็ยังอยู่มาได้ แม้จะไม่ค่อยได้มีการส่งเสริมเรื่องของยาหอม แต่มันก็อยู่ยงผ่านกาลเวลามาตั้งแต่อยุธยาจนถึงทุกวันนี้ได้โดยไม่สูญหายไปไหน แสดงว่าสรรพคุณของมันต้องมีดีในตัวเอง”

    ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวเรือหลักด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทย จากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี เปิดประเด็นถึงยาตำรับเก่าแก่ที่อยู่คู่คนไทยมานานนักหนาอย่าง “ยาหอม” ภายในงาน “หอมกรุ่นทั่วไทย หอมไกลทั่วโลก” ในโครงการ “ยาหอมไทย มรดกไทย มรดกโลก” ก่อนจะกล่าวต่อไปอีกว่า แต่โบราณมา เครื่องหอม ของหอม หรือแม้กระทั่งพืชหอม ถูกเชื่อกันว่าเป็น “ของสูง” และแม้จะพบบันทึกว่ามียาหอมในประเทศไทยตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แต่โดยส่วนตัว ก็ยังเชื่อว่า ยาหอมเกิดขึ้น และถูกใช้ในภูมิภาคเอเชียมาก่อนหน้านั้นแล้ว
    [​IMG]

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500><TBODY><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สมุนไพรหายากราคาแพงที่บางตำรับนำมาผสมเป็นยาหอม</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>“ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่มีการสร้างอโรคศาลา ก็พบหลักฐานการบำบวงบูชาเทพไภสัชคุรุด้วยตำรับเครื่องหอมหลายชนิดที่ดูส่วนประกอบแล้วคล้ายคลึงกับตำหรับยาหอม และหากคุณเดินป่าหาสมุนไพรกับหมอยาแผนโบราณ จะเห็นได้ว่า ท่านจะไม่ข้ามพวกพืชหอม ว่านหอม เพราะเชื่อว่าเป็นของสูง มีเทวดารักษา ถ้าจะตัดต้องขออนุญาตก่อน หากเป็นพืชหอมที่ปลูกในบ้าน จะไม่ปลูกกับพื้น จะยกสูงเหนือพื้นขึ้นมา”

    ยาหอมในสังคมไทย

    ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ให้ความรู้ต่อไปอีกว่า ยาหอมไม่ใช่ยาที่เกิดจากส่วนประกอบของสมุนไพรตัวใดตัวหนึ่ง แต่ต้องใช้หลายชนิดผสมผสานกัน เพื่อใช้ประโยชน์จากสรรพคุณหลักๆ ของแต่ละตัว ยาหอมบางตำรับใช้สมุนไพรถึง 40-50 ชนิดก็มี ดังนั้น ความยุ่งยากและคุณภาพอันหลากหลายจากสรรพคุณสมุนไพรหลายสิบตัวเช่นนี้ ทำให้ในสมัยโบราณ การใช้ยาหอมจะอยู่ในแวดวงราชสำนัก ถือเป็นยาขนานเอกของหมอหลวงเลยทีเดียว แต่ภายหลังก็แพร่หลายลงมาสู่คนธรรมดาทุกครัวเรือน

    และนอกจากนี้ การเปิดประเทศค้าขายกับต่างประเทศตั้งแต่ครั้งโบราณ ก็มีการถ่ายทอดถ่ายเท และแบ่งรับปรับใช้พืชหอมใหม่ๆ จากต่างประเทศ ที่มาพร้อมเรือสำเภาบรรทุกสินค้า เช่น โกศชนิดต่างๆ ที่เข้ามาพร้อมเรือสินค้าจากดินแดนมังกร

    “ปัจจุบันมีการจดบันทึกตำรับยาหอมถึงกว่า 400 ตำรับ ส่วนตัวเองก็พยายามตามหา และจดจากภูมิปัญญาหมอพื้นฐานได้อีกกว่า 100 ตำรับ รวมกันตอนนี้ประเทศไทยมีตำรับยาหอมมากถึง 500 ยังไม่นับที่แต่ละท้องถิ่นและชุมชนต่างๆ สืบทอดกันมาแต่ดั้งเดิม เชื่อว่า แต่ละพื้นที่มีสูตรตำรับยาหอมที่แตกต่างกันออกไป ปัจจัยสำคัญ คือ พืชหอมมในแต่ละท้องถิ่นที่ต่างกัน นั่นทำให้เรามีภูมิปัญหายาหอมมากมาย ขณะนี้เรากำลังผนึกกำลังกันหลายฝ่าย สืบเสาะหาตำรับยาหอมต่างๆ มาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ว่า อันนี้แหละภูมิปัญญาไทย ของไทย ซึ่งเรากำลังเร่งมือทำ อยากทำให้เสร็จภายใน 1 ปี”

    [​IMG]

    ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ทิ้งท้ายด้วยว่า อยากฝากไปถึงชุนชนต่างๆ ที่มีตำรับยาหอมที่สืบทอดกันมา วอนให้มาร่วมเป็นจิ๊กซอว์ในการต่อแผ่นภาพแห่งภูมิปัญญาไทยด้วยกัน ในการรวบรวมตำรับยาหอมไทยเพื่อจะนำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกให้ได้ ก่อนที่ภูมิปัญญาไทยจะถูกแย่งไปขึ้นทะเบียนโดยต่างประเทศ ดังที่เคยมีปรากฎมาแล้ว



    เภสัชวิทยาและยาหอม
    อ่านถึงตรงนี้ บรรดาเยาวชนคนรุ่นใหม่ ไปจนถึงหนุ่มสาววัยทำงาน ที่อาจจะมีประสบการณ์กับ “ยาหอม” น้อยไปสักหน่อย ไม่เท่าคุณตาคุณยายที่บ้านที่มักจะมีติดตู้ยาไว้เสมอๆ อาจจะกำลังสงสัยถึงสรรพคุณของเจ้ายาหอมเหล่านี้ ว่า มีสรรพคุณตรงตามจริงอย่างที่จาระไนไว้ข้างฉลากที่เขียนไว้เสียยาวเหยียดหรือไม่ โดยส่วนใหญ่หลายๆ ยี่ห้อมักจะมีสรรพคุณทางยาคล้ายๆ กัน ที่มักจะระบุว่า แก้วิงเวียน คลื่นไส้ บำรุงหัวใจ แก้ลม แก้จุกเสียด ฯลฯ ที่ทำเอาเกิดคำถามว่า...เอ๊ะ มันช่วยได้เยอะขนาดนั้น จริงหรือ???

    งานนี้ ผู้ที่จะมาไขข้อข้องใจ ก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ตรงจากการทดลองสรรพคุณของยาหอมอย่าง “รศ.ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์” เสาหลักอีกต้นหนึ่งแห่งวงการสมุนไพรไทย จากคณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล และ “รศ.ดร.วิสุดา สุวิทยาวัฒน์” อ.ประจำภาคสรีระวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล เช่นกัน
    [​IMG]
    รศ.ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์​
    รศ.ดร.นพมาศ ย้อนความให้ฟังว่า การทดลองถึงสรรพคุณทางยา เป็นเรื่องที่ทำมานานแล้ว เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และการผนึกกำลังด้านความรู้และการวิจัยจากม.มหิดล มศว ม.ขอนแก่น และจุฬาฯ โดยเริ่มวิจัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 สำหรับตำรับยาหอมที่นำมาวิจัยนั้นใช้ยาหอมตำรับกระทรวงสาธารณสุข 2 ตำรับ ได้แก่ ยาหอมนวโกฐ ยาหอมอินทรจักร และยาหอมตำรับ ข.ซึ่งเป็นตำรับของเอกชน โดยทั้ง 3 ตำรับนี้วิจัยโดยใช้สารละลาย Haxane,แอลกอฮอล์และน้ำร้อน และนอกจากนี้ ยังได้วิจัยเพิ่มอีก 1 ตำรับ คือยาตำรับ ก.ของเอกชน ที่วิจัยด้วยการทำละลายโดยน้ำร้อน

    รศ.ดร.วิสุดา อธิบายขั้นตอนการวิจัยดังกล่าว ว่า ในการทดสอบฤทธิ์ ใช้การทดสอบตามระบบต่างๆ ของร่างกายที่ถูกเขียนเป็นสรรพคุณทางยาของยาหอม ซึ่งแบ่งได้เป็นระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาทส่วนกลาง ความถึงวิจัยในมิติของความเป็นพิษในยาหอมด้วย

    [​IMG]
    ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
    ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยารายนี้สรุปผลการทดลองให้ฟังอย่างเข้าใจง่ายๆ ว่า ยาหอมทุกตำรับที่นำมาวิจัยนั้น มีฤทธิ์ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เพิ่มอัตราไหวเวียนเลือดเฉพาะที่ และเมื่อทดลองกับหัวใจหนูที่แยกออกนอกตัว และนำไปเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ พบว่า ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น การทำงานของหัวใจเพิ่มขึ้น การหดตัวของหลอดเลือดแดงใหญ่เพิ่มขึ้น การหดตัวของหลอดเลือดแดงเล็กเพิ่มขึ้น การไหลเวียนเลือดที่อวัยวะส่วนปลายเพิ่มขึ้น ซึ่งปฏิกิริยาเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด อ่อนเพลีย และช่วยบำรุงหัวใจได้ตามที่โฆษณาสรรพคุณข้างขวดจริง​

    ส่วนในระบบทางเดินอาหาร รศ.ดร.วิสุดา สรุปว่า ยาหอมตำรับที่วิจัย ช่วยให้การหลั่งกรดในกระเพาะลดลง การหลั่งเมือกเพื่อปกป้องกระเพาะอาหารจากกรดมากขึ้น สามารถป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ การเคลื่อนไหวของลำไส้และการอาเจียนลดลง และในการวิจัยผลการออกฤทธิ์ของยาหอมต่อระบบประสาทส่วนกลาง พบว่า ยาหอมไม่ออกฤทธิ์ทำให้ตื่นตัว หรือง่วง แต่เมื่อใช้ยาหอมกับยานอนหลับ ทำให้หลับได้ดีและยาวนานขึ้น​

    “ผลการวิจัยพิสูจน์ชัดว่ายาหอมตำรับที่นำมาวิจัย ออกฤทธิ์ตรงตามสรรพคุณที่ระบุจริง ในส่วนของพิษวิทยา เราไม่พบทั้งพิษเฉียบพลันและพิษระยะยาวจากการตรวจสอบทั้งตับและไตของหนูทดลอง และโดยส่วนตัวชอบในการออกฤทธิ์ของยาหอม คือ ทุกระบบที่ยาหอมออกฤทธิ์ จะไม่ออกฤทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จะออกฤทธิ์เพียงครึ่งเดียว เช่น ฤทธิ์ของการลดการหลั่งกรดในกระเพาะก็จะลดครึ่งเดียวหากเทียบกับยาแผนปัจจุบัน เพราะการยับยั้งไม่ให้ร่างกายไม่หลั่งกรดเลย ก็ไม่ดีต่อร่างกายเช่นกัน ดังนั้น การออกฤทธิ์แบบพอเหมาะ จะปลอดภัยและทำให้ร่างกายสมดุลกว่า” รศ.ดร.วิสุดา ทิ้งท้าย

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    เห็นว่ารู้สึกกันได้ด้วย

    <table style="border-collapse: collapse;" align="center" border="0" bordercolor="#669933" cellpadding="3" cellspacing="0" width="600"><tbody><tr bgcolor="#669933"><td width="130" nowrap="nowrap">วัน-เวลา</td> <td width="40" nowrap="nowrap">ขนาด</td> <td width="50" nowrap="nowrap">lat</td> <td width="50" nowrap="nowrap">long</td> <td width="120" nowrap="nowrap">บริเวณที่ เกิด</td> <td nowrap="nowrap">ข้อมูลอื่นๆ</td> </tr> <tr bgcolor="#ffffff"> <td valign="top">2553-07-21 19:29:29</td> <td valign="top">3.0</td> <td valign="top">20.38</td> <td valign="top">99.76</td> <td valign="top">ประเทศพม่า</td> <td valign="top"> - ทางทิศตะวันตกของ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ประมาณ 14 กม.</td> </tr> <tr bgcolor="#ccffcc"> <td valign="top">2553-07-21 00:00:15</td> <td valign="top">2.0</td> <td valign="top">19.45</td> <td valign="top">98.51</td> <td valign="top">ต.เวียงเหนือ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน</td> <td valign="top"> - </td></tr></tbody></table>
     
  7. ธีรยุทธ

    ธีรยุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +750
    สราญใจ ไหว้ 4 พระนอนใหญ่ อยุธยา

    [​IMG]
    พระพุทธไสยาสน์ ภายในวัดเสนาสนาราม​

    ปลายเดือนก.ค.ที่ใกล้จะถึงนี้ นับว่าเป็นฤกษ์ดีสำหรับพุทธศาสนิกชนไทยโดยแท้ ที่จะได้ร่วมทำบุญในวันพระใหญ่อย่างวันอาสาฬหบูชาในคืนวันที่26ก.ค.53และต่อเนื่องกับวันเข้าพรรษาที่จะเริ่มนับตั้งแต่วันที่27 ก.ค.53 เป็นเวลาสามเดือน​

    เมื่อมีโอกาสเหมาะสมในการสงบจิตใจให้บริสุทธิ์ด้วยศาสนาแล้ว "ตะลอนเที่ยว" เลยมีวัดดีๆมาฝากกัน ครั้งนี้เป็นวัดในจ.พระนครศรีอยุธยา จังหวัดที่ใครต่อใครนิยมไปไหว้พระ 9 วัดกันเหลือเกิน เพิ่มความพิเศษลงไปสักนิดว่า วัดที่ไปยลในทริปนี้มีจุดเด่นที่เหมือนกันคือมี พระนอนองค์ใหญ่ ให้สักการะบูชากัน​

    [​IMG]
    พระเจดีย์ใหญ่สีทองอร่ามของวัดเสนาสนาราม​

    งานนี้ไม่ต้องถึง 9วัด ก็เที่ยวไหว้กันไม่หวาดไม่ไหว เริ่มหาความสุขสิริสวัสดิ์ให้เกิดความเจริญทางใจที่วัดแรกกันเลยที่ "วัดเสนาสนาราม ราชวรวิหาร" ต.หัวรอ อ. พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร วัดแห่งนี้เดิมชื่อ "วัดเสื่อ" เป็นวัดโบราณ สร้างตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา อยู่ในกำแพงหน้า หลังพระราชวังจันทรเกษม ไม่มีพระสงฆ์ตลอดสมัยอยุธยา และไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างในสมัยใด​

    ต่อมาในสมัยราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งเสวยราชสมบัติได้ทำการปฏิสังขรณ์และสถาปนาใหม่ทั้งพระอาราม เมื่อ พ.ศ. 2406 แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร" เรียกสั้นๆว่า "วันเสนาสน์" คล้อยตามนามเก่าที่ว่า "วัดเสื่อ" สิ้นพระราชทรัพย์ 300 ชั่งเศษ​

    [​IMG]
    พระนอนคู่วัดธรรมิกราช
    ทรงมีพระราชประสงค์จะให้เป็นวัดฝ่ายธรรมยุติกนิกาย จึงอาราธนาพระครูพรหมเทพาจารย์ (บุญรอด พรหมเทโว) ซึ่งเป็นพระนิกายนั้นพร้อมทั้งลูกคณะซึ่งอยู่ ณ วัดขุนญวน อันเป็นวัดที่พระองค์เคยเสด็จประทับในสมัยเมื่อทรงผนวช ให้ย้ายมาอยู่วัดเสนาสนารามแต่นั้นมา นับเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้ขยายเขตวิสุงคามสีมาให้กว้างออกไป และโปรดให้กรมหมื่นพงศาดิศรมหิป เป็นผู้อำนวยการปฏิสังขรณ์พระอุโบสถใหม่​

    ที่นี่มีสิ่งสำคัญหลายอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ภายในพระอุโบสถเหนืออาสนสงฆ์เป็นที่ตั้งซุ้มเรือนแก้วยอดเป็นรูปพระมหามงกุฎประดิษฐานพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 2 ศอก 2 นิ้ว สูงตลอดพระรัศมี 3 ศอก 1 นิ้ว พระนามว่า พระสัมพุทธมนี ภายในซุ้มเรือนแก้ว อาสนสงฆ์ยกพื้นสูงจากพื้นพระอุโบสถ 0.80 เมตร กว้างเต็มพระอุโบสถตรงหน้าพระประธานออกมาประมาณ 3 ห้อง​

    [​IMG]
    วิหารเก้าห้อง วัดธรรมิกราช
    หรือจะเป็นเรื่องของ จิตรกรรมฝาผนัง ที่ภายในพระอุโบสถทั้ง 4 ด้าน เขียนด้วยเทคนิคสีฝุ่นทั้งสิ้น มีรองพื้น มีทัศนียวิสัย เขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เรื่องพระราชพิธี 12 เดือน ซึ่งขณะนี้ภาพบางส่วนที่ได้ลบเลือนไปทางกรมศิลปากรกำลังทำการซ่อมแซมอยู่​

    และสำหรับใครที่กำลังจะขายที่ขายทางอยู่ ที่ พระวิหารพระอินทร์แปลง เป็นที่ประดิษฐาน พระประธานชื่อ "พระอินทร์แปลง" เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 2 ศอกเศษ สูงตลอดพระรัศมี 3 ศอก 3 นิ้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเชิญมาแต่เมืองเวียงจันทน์ เมื่อ พ.ศ. 2401ก่อนสถาปนาวัด 5 ปี ถือกันว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องการบนบานเกี่ยวกับเรื่องขายที่ทาง ว่ากันว่าได้ผลนัก​

    ทั้งยังมี พระเจดีย์ใหญ่ ตั้งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถ สูงประมาณ 13 วาเศษ ฐานก่อเป็นทักษิณ 4 เหลี่ยม เหลี่ยมละ 7 วา 1 ศอก ก่อติดกับมุขหลังพระอุโบสถ กล่าวกันว่าตอนข้างในเป็นพระเจดีย์เก่าครั้งวัดเสื่อ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ก่อใหม่หุ้มองค์เก่าไว้ พระเจดีย์ องค์เล็ก สูง 4 วา ฐานล่างเป็นสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง เหลี่ยมละ 6 ศอก ล้อมรอบทักษิณพระเจดีย์องค์ใหญ่ 3 ด้าน รวม 10 องค์ เสริมความโดดเด่นให้แก่ที่วัดนี้ด้วย​

    [​IMG]
    พระพุทธรูปภายในวัดธรรมิกราช
    แล้วมาถึง ไฮไลต์ของเรา "วิหารพระพุทธไสยาสน์" ที่ภายในเขียนสีฝุ่นรองพื้น อายุและฝีมือเดียวกันกับภาพเขียนในพระอุโบสถ ที่กกหน้าต่างประตูเขียนภาพโต๊ะหมู่บูชา และแจกันดอกบัว พระพุทธไสยาสน์ ในพระวิหาร ยาว 14.12 เมตร เป็นพระพุทธรูปสมัยกรุงศรีอยุธยา ประกอบด้วยศิลาต่อเป็นท่อน ๆ เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ เชิงสะพานป่าถ่าน รัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้​

    เดินเส้นทางบุญต่อเนื่องที่ "วัดธรรมิกราช" อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ที่นี่โดดเด่นหลายอย่างด้วยกันไม่ควรมองข้าม อับดับแรกเลยคือ พระพุทธไสยาสน์ ก่ออิฐถือปูน ขนาดยาวประมาณ 12 เมตร หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ ที่ฝ่าพระบาทปิดทองประดับกระจกทำตามคติมาหปุริสลักษณะ โดยทำเป็นรูปจักรปูนปั้นนูนออกมาจากฝ่าพระบาทตามความงามของคติช่าง น้ำพระพุทธมนต์ในพระวิหารนี้กล่าวกันว่ามี ความศักดิ์สิทธิ์มากมีประชาชนมาอธิษฐาน ขอไปใช้ตามความปรารถนาจำนวนมาก​

    [​IMG]
    บนพระนอนที่วัดสะตือต้องแก่บนด้วยขนมจีนหรือแตรวง
    วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี ประมาณ พ.ศ.1875 สมัยเดียวกับการสร้างวัดพนัญเชิง เดิมชื่อ "วัดมุขราช" พระยาธรรมิกราชผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้าง เมื่อคราวเสียกรุง ครั้งที่ 2 วัดแห่งนี้ถูกข้าศึกทำลายเสียหายจนกลายเป็นวัดร้าง​

    ต่อมาสมัยรัตนโกสินทร์ คุณหญิงแจ่ม ภรรยาของพระยาเพชรพิชัย ร่วมกับชาวบ้านร่วมกันดำเนินการบูรณะขึ้นอีกครั้ง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะมาชมพระเจดีย์สิงห์ล้อม เป็นเจดีย์ทรงลังกาหรือทรงระฆังคว่ำ มีบันไดนาคขึ้นสู่องค์เจดีย์ทั้ง 4 ด้าน ที่โดดเด่นคือมีงานปูนปั้นรูปสิงห์โผล่ออกมารอบฐานพระเจดีย์ แบบเดียวกับเจดีย์ช้างล้อมของสุโขทัย นอกจากนั้นยังมีพระวิหารทรงธรรมตั้งอยู่บนเนินเขาสูง เป็นพระวิหารหลวงขนาดใหญ่ ตามประวัติกล่าวว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดนี้และสร้างวิหารหลวงหลังใหญ่ เพื่อเป็นที่ทรงสดับพระธรรมในวันธรรมสวนะ​

    [​IMG]
    พระนอนแห่งวัดไม้รวกพระนอนแห่งวัดไม้รวก​

    และสำหรับใครที่ชอบเรื่องบนบานศาลกล่าวต้องมาที่ "วัดสะตือ" อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่มีพระพุทธไสยาสน์ นาม "หลวงพ่อโต" องค์พระยาว 52 เมตร สูง 16 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2400 เหตุที่เรียกว่าวัดสะตือ เพราะมีต้นสะตือใหญ่ตั้งอยู่ภายในวัดต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จฯ ไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี ได้เสด็จขึ้นท่าน้ำตำบลนี้ 2 ครั้ง แต่นั้นมาจึงเรียกตำบลนี้ว่า "ท่าหลวง" จากเดิมชื่อตำบลบ้านไก้โจนและเรียกนามวัดนี้ว่า "วัดท่าหลวง" แต่ต่อมาก็กลับไปเรียกวัดสะตือตามเดิม​

    ในการเสด็จประพาสครั้งที่ 2 นั้น ตามจดหมายเหตุรัชกาลที่ 5 ระบุว่าวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2449 ได้เสด็จฯ เสวยพระยาหารที่วัดท่างาม ซึ่งก็คือ วัดสะตือในปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ.5413 ในรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระพุฒาจารย์โต (โต พรหมรังสี) ได้สร้างพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ก่ออิฐถือปูน นับเป็นพระพุทธไสยาสน์ที่องค์ใหญ่องค์หนึ่งในเมืองไทย​

    [​IMG]
    ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ลบเลือนไปมากในวัดไม้รวก​

    พระพุทธไสยาสน์องค์นี้เป็นที่นับถือของชาวบ้านทั้งใกล้และไกลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากมากราบไหว้บูชาแล้วหลายคนยังนิยมมาบนบาน เมื่อสำเร็จดังประสงค์แล้วมักจะมาแก้บนด้วยขนมจีน เพราะเชื่อตามที่เล่ากันมาว่าสมัยที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) สร้างพระนอนองค์นี้มักจะทำขนมจีน เลี้ยงบรรดาคนงาน นอกจากนั้นชาวบ้านนิยมแก้บนด้วยการว่าจ้างขบวนแตรวงแห่ไปรอบองค์พระ​

    [​IMG]
    พระสาทิสลักษณ์พระราชทานจากรัชกาลที่5
    วัดสุดท้ายที่ไม่อยากให้คนที่มาอยุธยามองข้ามคือ "วัดไม้รวก" อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เดิมบริเวณวัดนี้มีต้นไม้รวกขึ้นอยู่มาก ชาวบ้านจึงเรียกวัดตามลักษณะสภาพแวดล้อม สักการะพระพุทธไสยาสน์ซึ่งประดิษฐานอยู่ในเขตกำแพงแก้ว องค์พระมีขนาดยาวประมาณ 7 เมตร ภายในวิหารมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างสมัยรัชการที่ 3 แม้ภาพลบเลือนไปมากแล้วแต่ก็ยังคงความงดงามอยู่มาก พุทธศาสนิกชนที่ต้องการความสงบเงียบไม่วุ่นวาย เหมือนวัดใหญ่ๆ แต่มีความน่าสนใจมากมาย ลองมองวัดเล็กพริกขี้หนูแบบนี้แล้วอาจจะชอบใจ.​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. ธีรยุทธ

    ธีรยุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +750
    วิธีตัดพิษเมื่อกิน "บอน"
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>20 กรกฎาคม 2553 13:29 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    อันว่าน้ำใจหญิงเหมือนดั่งน้ำกลิ้งบนใบบอน หมายถึงใจโลเลไปมา คำกล่าวนี้จะจริงเท็จอย่างไร "108เคล็ดกิน" ไม่รู้ได้ แต่ที่รู้แน่ๆก็เรื่องของ "บอน"

    บอน หรือ ต้นบอน เป็นพืชชนิดหัว อยู่ในตระกูลของเผือก มีทั้งบอนหวานและบอนคัน ขึ้นในที่ลุ่มตามห้วย หนอง คลอง บึง ชาวบ้านนิยมนำมาทำเป็นอาหาร ส่วนบอนคัน มี Calcium oxalate ทำให้คัน ใบแก่มีมากกว่าใบอ่อน ก่อนการปรุงเป็นอาหารจึงต้องต้มเคี่ยวและคั้นน้ำทิ้งก่อน 2-3 ครั้ง หรือใช้วิธีเผาก่อน แล้วจึงต้มน้ำและคั้นน้ำออก

    เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร มักใส่พืชที่มีรสเปรี้ยวลงไปด้วย เพื่อช่วยตัดพิษคันของบอน เช่น ส้มป่อย ยอดมะขาม น้ำมะกรูด เป็นต้น ชาวบ้านทางเหนือมีวิธีสังเกตบอนหวานและบอนคัน คือ ที่ใบและต้นของบอนหวานจะมีสีเขียวสดหรือเขียวคล้ำ ไม่มีนวล ส่วนใบของบอนคันจะมีสีเขียวนวลและมีนวลเกาะอยู่ตามก้านใบ และดอกของบอนหวานจะมีแมลงตอม แต่บอนคันไม่มี

    "รากบอน" มีสรรพคุณทางยาโดยให้นำรากบอนมาต้มน้ำดื่ม แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ ใครไม่เคยลิ้มรสบอนก็ลองหามาปลูกมากินดู
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. kumpeang

    kumpeang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    546
    ค่าพลัง:
    +1,984
    มะกัน เปิดตัว "Vivos บังเกอร์หรู" ...ทางรอดของมนุษย์ฺในวันสิ้นโลกหรือ? (อ่าน 88 ครั้ง) <FORM style="MARGIN: 0px" id=quickModForm accept-charset=UTF-8 onsubmit="return oQuickModify.bInEditMode ? oQuickModify.modifySave('972b751d5b604235a043b6c2b28db898', 'dcfac478627') : false" method=post name=quickModForm action=http://www.roisara.com/board/index.php?PHPSESSID=f89494500158f6e2b121b114205cb99b&action=quickmod2;topic=1069.0>
    [​IMG] nanny

    • Newbie
    • [​IMG]
    • กระทู้: 44
      • [​IMG]
    [​IMG]
    มะกัน เปิดตัว "Vivos บังเกอร์หรู" ...ทางรอดของมนุษย์ฺในวันสิ้นโลกหรือ?

    « เมื่อ: มิถุนายน 30, 2010, 08:17:57 AM »



    [​IMG]


    อเมริกาเปิดตัว “วีโวส” บังเกอร์สุดหรูใต้ดินมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ที่มีความแข็งแกร่งทนทานสามารถต้านทานภัย พิบัติร้ายแรงทั้งที่เกิดจากธรรมชาติและน้ำมือมนุษย์ แต่ละบังเกอร์รองรับประชาชนได้มากสุดถึง 200 คน ภายในมีอาหาร ยา ข้าวของเครื่องใช้ สิ่งอำนวยความสะดวก และอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตอย่างครบครัน จึงช่วยให้ผู้ที่อยู่ภายในสามารถใช้ชีวิตแบบสบายๆ ได้นานถึง 1 ปีโดยไม่ต้องออกจากบังเกอร์

    [​IMG]

    [​IMG]


    หากคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าภาพยนตร์เรื่อง “2012 วันสิ้นโลก” และ “The Da y A fter Tomorrow” (วิกฤติวันสิ้นโลก) นำเสนอภาพภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นกับโลกมนุษย์แบบโหดร้ายเกินจริง อาจรู้สึกว่าแนวคิดในการก่อสร้างบังเกอร์ “วีโวส”ของบริษัท Vivos ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นแค่จินตนาการและเรื่องเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นไปได้ (ในเชิงพาณิชย์)



    แต่สำหรับคนบางกลุ่มที่เชื่อเรื่องวันโลกา วินาศอย่างจริงจังและต้องการเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติร้ายแรง… บังเกอร์ใต้ดิน “วีโวส” ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ ที่ไม่ประมาท (หรือแม้แต่ภาครัฐบาล) เตรียมตัวรับสถานการณ์ร้ายแรงทุกรูปแบบที่อาจเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ได้อย่าง มั่นใจ
    ที่ผ่านมา แนวทางหนึ่งที่มักถูกหยิบยกมากล่าวถึงในกรณีที่เกิดภัยพิบัติก็คือ “การหาที่กำบังใต้ดิน” เพราะบริเวณใต้พื้นโลกสามารถต้านทานหายนะส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นบนผิวโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนขั้วแกนหมุนของโลก เหตุการณ์ภูเขาไฟใต้น้ำระเบิดครั้งร้ายแรงหรือซูเปอร์โวลคาโน (ครบกำหนด 7.4 หมื่นปีที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเองในปี 2012) การระเบิดหรือลุกจ้าของดวงอาทิตย์ (solar flares) เหตุแผ่นดินไหวร้ายแรง สึนามิ และมหันตภัยจากกลุ่มดาวเคราะห์น้อยพุ่งเข้าชนโลก

    [​IMG]

    ภาพจำลองการระเบิดหรือ ลุกจ้าของดวงอาทิตย์ (solar flares)


    รวมทั้งภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ เช่น ระเบิดนิวเคลียร์ สงครามชีวภาพ สงครามเคมี ตลอดจนการกลับมาอีกครั้งของ Planet X หรือที่รู้จักกันในนาม “ดาวนิบิรุ” ซึ่งมีแรงดึงดูดมหาศาล อันจะส่งผลให้เกิดการรบกวนระบบสุริยะ (วงโคจรของดาวที่ว่าจะมาถึงในปี 2012)

    และด้วยเหตุผลดังกล่าว บริษัทวีโวส จึงมีแนวคิดในการออกแบบบังเกอร์หรูสไตล์คอมเพล็กซ์ที่อยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน ภายใต้ระบบอากาศแบบปิด (ไม่ให้มีอากาศเข้า-ออก) โดยออกแบบให้เป็นที่อยู่อาศัยแบบพึ่งพาตนเอง สามารถต้านทานภัยพิบัติร้ายแรงทุกชนิดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น (รวมทั้งช่วยให้หลีกหนีจาก สังคมอนาธิปไตย ที่มีเหตุการณ์จราจล ประชาชนไม่เคารพกฏหมายและกติกาบ้านเมือง) เพื่อให้ผู้ที่อยู่ภายในไม่เพียง “รอดชีวิต” แต่ยังสามารถ “ดำรงชีวิต” อยู่ได้เป็นอย่างดี และมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายหลังเกิดภัยพิบัติร้ายแรงอีกด้วย

    “วีโวส” เป็นสถานที่กำบังที่สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยได้ทั้งสิ้นราว 172-200 คน ทุกคนสามารถดำรงชีวิตแบบสบายๆ ภายในบังเกอร์ได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้องเตรียมตัวหรือวางแผนใดๆ สิ่งที่ต้องทำมีเพียงอย่างเดียวก็คือ เดินทางมาถึง “วีโวส” ให้ทันตามกำหนดเวลา ก่อนที่ระบบจะปิดล็อกเพื่อดำเนินมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัย

    ระบบกำบังของ “วีโวส” มีความแข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษ ได้รับการออกแบบให้สามารถต้านทานแรงระเบิดขนาด 50 เมกะตัน (เท่ากับระเบิดทีเอ็นที 50 ล้านตัน) ภายในประกอบด้วยส่วนของที่พักอาศัย (ในบริเวณที่มีลักษณะคล้ายท่อ) จำนวน 10 จุดที่อยู่รายรอบและเชื่อมต่อกับโถงกลางรูปทรงกลมหรือโดม 2 ชั้นขนาด 60 ฟุต ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่อยู่กลาง
    ที่พักอาศัยแต่ละโซน จะมีระบบผลิตพลังงาน ธนาคารแบตเตอรี่สำรอง บ่อกักเก็บน้ำ ระบบกรองอากาศ (สามารถป้องกันและกำจัดการปนเปื้อนของเชื้อโรค สารเคมี และรังสีชนิดต่างๆ) ระบบบำบัดน้ำเสีย ตลอดจน คลังเก็บเสบียง เสื้อผ้า ยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในกรณีฉุกเฉิน (รวมทั้งรถยนต์ออฟโรด) เป็นของตัวเองอีกด้วย



    ผู้ที่อาศัยอยู่ใน “วีโวส” จะมีพื้นที่ใช้สอยส่วนตัวคนละ 100 ตารางฟุต ( 9 ตารางเมตร) ในขณะที่กาชาดสากลระบุว่าที่กำบังหรือสถานที่หลบภัยใต้ดินจะต้องมีพื้นที่ ใช้สอยอย่างน้อยคนละ 40 ตารางฟุต (เกือบ 4 ตารางเมตร) ส่วนหน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยของสหรัฐอเมริกา หรือ FEM A ระบุว่า สถานที่หลบภัยใต้ดินจะต้องมีพื้นที่ใช้สอยอย่างน้อยคนละ 50 ตารางฟุต (เกือบ 5 ตารางเมตร)

    ช่วงที่ยังไม่มีการใช้งาน ทางบริษัทฯ จะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ ตรวจสอบ บำรุงรักษา ซ่อมแซม และรักษาความปลอดภัยบังเกอร์หลบภัยใต้ดินให้เจ้าของร่วม (ลูกค้า) อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา

    ปัจจุบัน บริษัท “วีโวส” กำลังเตรียมก่อสร้างสถานที่หลบภัยใต้ดิน 20 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เป็นบ้านของประชาชนราว 4 พันคน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ประมาทและเชื่อในคำนายเกี่ยวกับวันสิ้นโลกได้เข้า ร่วมลงทุนและจับจองพื้นที่ เพื่อเตรียมตั้งรับภัยพิภัติร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์ทั้งในอนาคต อันใกล้หรืออีกหลาย 10 ปีข้างหน้า โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา ซึ่งในเบื้องต้นมีรายงานว่า ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างบังเกอร์แต่ละแห่งมีมูลค่าราว 10 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 300 ล้านบาทเลยทีเดียว

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    ขอบคุณ : terravivos และ bsnnews




    [​IMG] บันทึกการเข้า



    </FORM>
     
  10. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>หวัดใหญ่พันธุ์ใหม่ คร่าสาวท้อง ลูกสาว3ขวบรอด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>หญิงตั้งครรภ์ 4 เดือน ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และเสียชีวิตพร้อมลูกในท้อง ส่วนลูกสาว 3 ขวบ แพทย์ช่วยรักษาทัน ขณะที่จังหวัดตรังตั้งวอร์รูม เพื่อหามาตรการป้องกันในเรื่องนี้แล้ว ส่วนยอดผู้ป่วยสะสม 12 มิ.ย.52-21 ก.ค.53 รวม 423 ราย เสียชีวิต 3 ราย...


    เมื่อเวลา 15.00 น. 21 ก.ค. นายเกรียงเดช เข็มทอง รองผวจ.ตรัง เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติงาน

    ประกอบด้วยสาธารณสุขจังหวัด ปศุสัตว์จังหวัด ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เจ้าหน้าที่รพ.ตรัง และอบต.แหลมสอม อ.ปะเหลียน เพื่อวางมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โดยสั่งการตั้งวอร์รูมศูนย์ปฏิบัติการแก้ปัญหาทันที หลังพบว่ามีหญิงท้องอายุครรภ์ 4 เดือน ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.ที่ผ่านมา

    สำหรับผู้ป่วยรายดังกล่าวทราบชื่อคือ นางพัชรี นวลนาค อายุ 30 ปี ชาวบ้าน ต.แหลมสอม พร้อมลูกสาวอายุ 3 ขวบ

    โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า สองแม่ลูกรวมทั้งเด็กในครรภ์ ได้เข้ารักษาอาการป่วยจากแพทย์ รพ.ย่านตาขาว ซึ่งได้ทำการรักษาในเบื้องต้น แล้วส่งตัวมารักษาต่อที่รพ.ตรัง ซึ่งลูกสาวอายุ 3 ขวบ แพทย์ได้ทำการรักษาจนหายเป็นปกติแล้ว แต่แม่ยังมีอาการโคม่า และมีไข้ขึ้นสูงประมาณ 39-40 องศาเซลเซียส จนกระทั่งทีมแพทย์ได้ตัดสินใจช่วยกันนำเด็กในครรภ์ออก เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นอันตรายทั้งแม่และลูก โดยแพทย์ได้ดูแลอาการป่วยอย่างใกล้ชิด ส่วนกลุ่มเสี่ยงทั้งที่บ้านและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านหนองเจ็ดบาท ต.แหลมสอม อ.ปะเหลียน ที่เด็กสาวอายุ 3 ขวบเรียนอยู่นั้น แพทย์ได้ทำการเฝ้าระวังเป็นพิเศษแล้ว

    ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนจะมีการประชุมด่วนเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อตั้งวอร์รูม ปรากฎว่าหญิงท้องคนดังกล่าวได้เสียชีวิตลง

    ทางญาติได้นำศพกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาในพื้นที่ ม.2 บ้านหาดเลา ต.แหลมสอม แล้ว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของรพ.ตรังพยายามปกปิดข้อมูล และห้ามผู้สื่อข่าวทำการบันทึกภาพอย่างเด็ดขาด สำหรับสถานการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในพื้นที่จ.ตรัง ตั้งแต่เริ่มพบผู้ป่วยเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.-30 ธ.ค.52 พบผู้ป่วยยืนยันเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สะสมจำนวน 490 ราย โดยเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในจ.ตรัง จำนวน 413 ราย มีรายงานผู้เสียชีวิต 1 ราย เป็นเพศหญิง อายุ 45 ปี ชาวอ.ห้วยยอด จ.ตรัง พบสาเหตุมีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง เป็นผู้พิการทางการเคลื่อนไหว เข้ารับการรักษาที่รพ.ห้วยยอด แต่มาเสียชีวิตที่ รพ.ตรัง เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา

    ส่วนในปี 2553 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 ก.ค. จ.ตรังมีผู้ป่วยยืนยันสะสม 10 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย เป็นเด็กหญิงอายุ 1 ปี ชาวอ.นาโยง

    มีโรคประจำตัวพิการทางสมอง พัฒนาการทางร่างกายล่าช้า เข้ารับการรักษาที่รพ.เมื่อวันที่ 14 มี.ค.53 และเสียชีวิตในวันที่ 20 มี.ค.53 และรายล่าสุดเป็นหญิงท้องอายุครรภ์ 4 เดือน ดังนั้นยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย.52-21 ก.ค.53 รวมจำนวน 423 ราย และเสียชีวิต 3 ราย


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>อีสานมีฝนมากสุด ภาคอื่นตกประปราย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>พยากรณ์อากาศ 22 ก.ค. ปริมาณฝนทั่วประเทศลดลงพอสมควร มีตกหนักที่อีสาน ร้อยละ 60 ของพื้นที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ฝนน้อย...


    เมื่อเวลา 04.00 น. 22 ก.ค. พายุโซนร้อน “ จันทู” (Chanthu) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่นแล้ว

    มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 220 กิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน คาดว่าพายุนี้จะเคลื่อนขึ้นฝั่งที่มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน ในช่วงบ่ายวันนี้ จากนั้นจะอ่อนกำลังลงเป็นลำดับ สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และอ่าวไทย เริ่มจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย และมีฝนตกหนักบางแห่ง จึงขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักในระยะนี้ไว้ด้วย


    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย ตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้


    ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี อุณหภูมิต่ำสุด 22 องศา สูงสุด 36 องศา ลมตะวันตก เฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

    ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ส่วนมาก บริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำ สุด 25 องศา สูงสุด 36 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

    ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดจันทบุรี และตราด อุณหภูมิ ต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 36 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมาก บริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี อุณหภูมิ ต่ำสุด 26 องศา สูงสุด 35 องศา
    ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมาก บริเวณจังหวัด ระนอง พังงา และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

    กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำ สุด 27 องศา สูงสุด 36 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ธรณีพิโรธ'อิหร่าน' 5.8 ริคเตอร์ ดับแล้ว1ราย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>แผ่นดินไหวอิหร่าน 5.8 ริคเตอร์ เมื่อเวลาประมาณ 02.38 น. ตามเวลาประเทศไทย มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 30 ราย...

    สำนักข่าวต่างประเทศายงานเมื่อวันที่ 22 ก.ค. ว่า เหตุแผ่นดินไหว วัดระดับความรุนแรงได้ 5.8 ริคเตอร์ ทางตอนใต้ของประเทศอิหร่านส่งผลให้อาคารบ้านเรือนพังเสียหาย ล่าสุดพบผู้เสียชีวิตแล้ว 1 คน ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 30 ราย

    สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นระบุว่า เกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีก 11 ครั้งช่วงเวลากลางดึก ราว 00.30น. ตามเวลาท้องถิ่น

    ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ พังเสียหาย ในพื้นที่ 4 หมู่บ้าน ใกล้พรมแดนทางตอนใต้ของเขตฟาร์ส และ ฮอร์มูซกัน และหนึ่งในบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บ มีหญิงชราวัย 80 ปีรวมอยู่ด้วย สำหรับผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิงเช่นกัน เนื่องจากเสียเลือดมากขณะรักษาตัวที่โรงพยาบาล

    ด้านสำนักธรณีวิทยาสหรัฐฯ ประกาศลดระดับความรุนแรงของแผ่นดินไหวจาก 5.8 ริคเตอร์ เป็น 5.1 ริคเตอร์ ในเวลาต่อมา

    สำหรับแผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 02.38 น. ของวันที่ 22 ก.ค. ตามเวลาประเทศไทย ห่างจากเมืองจาห์โรม ไปทางตอนใต้ราว 160 กิโลเมตร หรือทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเตหะรานราว 975 กิโลเมตร จุดศูนย์กลางอยู่ลึกลงไปใต้ดินเพียง 10 กิโลเมตร.


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    [​IMG] ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับข่าว


    22 กค.53 รายงานข่าวอ้างจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก หลังมีรายงานที่อ้างผลวิเคราะห์ในบทความหนึ่งของนิตยสารเจนส์ อินเทลลิเจนซ์ รีวิว ของอังกฤษ ที่นำข้อกล่าวหาต่างๆ ของ พันตรีจาย เต็ง วิน ทหารพม่าแปรพักตร์ ออกเผยแพร่เมื่อวันพุธ ที่ว่า
    ตอนนี้รัฐบาลทหารพม่ากำลังพัฒนาโครงการนิวเคลียร์อยู่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีการยืนยันจากภาพถ่ายดาวเทียมเชิงพาณิชย์ ที่แสดงให้เห็นภาพอาคารกับรั้วรักษาความปลอดภัย ใกล้กับกรุงเนย์ปิดอว์ เมืองหลวงใหม่ของพม่า คาดว่าน่าจะเป็นโรงงานเครื่องมือและเครื่องจักรกับสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
    โดยโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของพม่านั้นยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ซึ่งภาพถ่ายที่นำมาแสดง ก็เห็นเพียงแต่ด้านนอกของอาคารเท่านั้น
    ขณะที่นักวิเคราะห์ต่างๆ ของนิตยสารเจนส์ ต่างก็ให้ความเห็นเกี่ยวกับบทความดังกล่าวว่า โครงการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ของรัฐบาลทหารพม่าเป็นความทะเยอทะยานที่สูง เกินกว่าทักษะความรู้ที่มีอยู่อย่างจำกัด
    ซึ่งพม่าไม่สามารถผลิตระเบิดนิวเคลียร์ได้ด้วยเทคโนโลยีและขีดความสามารถด้านข่าวกรองที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่การมีทั้งสองสิ่งพม่าสามารถนำไปสู่ช่องทางที่จะมีระเบิดนิวเคลียร์ได้มากกว่า

    เรียบเรียงข่าวโดย MthaiNews..
    <LI class=news_src_item>[​IMG]<LI class=news_src_item>
     
  12. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    เห็นท้องฟ้าแล้วจะบอกว่า ระวังน้ำท่วมกันหน่อยก็ดีนะ
    ของที่คิดว่าขนไปไว้ชั้นบนได้ ก็ควรจะขนไปไว้ก่อน
    ท่อระบายน้ำของใครตัน ก็ทำความสะอาดซะ

    มันมาดำมาก เห็นท่วมที่จีนแล้วน่ากลัวจัง
     
  13. prakobna

    prakobna Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +59
    เรื่องการทำนาย

    koymoo;33900]ที่ก้อยเคยอ่านในเว็บอื่นน่ะค่ะ เค้าบอกว่ามีพระรูปหนึ่งซึ่งเป็นรูปเดียวกับที่ทำนายสึนามิในภาคใต้ท่านบอกว่า จะเกิดอุบัติภัยในทุกภาคของประเทศเลยในเดือนมีนาคม แล้วก้อยว่าผู้ที่มีญาณพิเศษในเว็บนี้ก็คงทำนายได้เหมือนๆกันใช่ไหมคะ แล้วอย่างนี้ผู้ที่จะตายในเหตุการณ์นั้นเค้าเป็นคนชั่วด้วยหรือเปล่า เหมือนแบบเบื้องบนกวาดล้างคนเลวอะไรทำนองนั้น แล้วเราจะเตรียมรับมือได้ยังไงคะ ผู้มีถือศีล มีความดี จะตายในอุบัติภัยครั้งนั้นหรือไม่ ท่านผู้รู้ช่วยตอบคำถามให้กระจ่างด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ //ก็เคยได้อ่านมาบ้างเป๊นส้ิ่งที่น่าคิด เมื่อตรองดูแล้ว ว่าจะเป๊นจริงหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นการสอนให้คนไม่ประมาท และให้รู้จักเตรียมตัวตายอย่างมีสติ สำหรับผมก็เป็นคนเลวคนหนึ่งตามคำกล่าวข้างบน เพราะไปถูกเขากวาดล้างที่ราชประสงค์ แต่ผมก็ไปพึ่ง คุณพระพุทธ คุณพระ ธรรม คุณพระสงฆ์ ใแวัดประทุน โดยหลวงพ่อท่านให้กำลังใจอละคุ้มตรองตลอดคืน หรือเหตุการณ์นีั้ครั้งนี้ก็ถูกจัดอยู่ในคำทำนายนั้นด้วย ที่ท่านกล่าวถึง
     
  14. chermelot

    chermelot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2009
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +464
    แผ่นดินไหวที่อิหร่าน ตรงกับไบเบิ้ลโคดที่ทำนายไว้เลย
    เคยอ่านเจอในบอร์ดนี้ พอเห็นข่าวขนลุกเลย แม่นมากๆ
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เห็นด้วยครับ

    ตอนนี้เข้าสู่สเตจของ"น้ำมา" สำหรับในประเทศไทยแล้วครับ

    กรุงเทพเองพายุแรงมาก

    ผ่านพ้นช่วง"แล้งจัด"ไปได้
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>คาดกระแสน้ำเย็นผิดปกติ ต้นตอ “เพนกวิน” ครึ่งพันตายเกลื่อนหาดบราซิล</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>22 กรกฎาคม 2553 19:08 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    เพนกวิน นอนตายเกลื่อนชายหาดของบราซิล

    ซีเอ็นเอ็น - นักชีววิทยา สงสัยว่า กระแสน้ำเย็นผิดปกตินอกชายฝั่งบราซิล อาจเป็นสาเหตุการตายของเพนกวินกว่า 550 ตัว ถูกคลื่นซัดขึ้นมาตายเกลื่อนบนชายหาดในช่วง 10 วันที่ผ่านมา

    นับตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม มีเพนกวิน 556 ตัว ตายเกลื่อนบนชายหาดของบราซิล และเจ้าหน้าที่ เปิดเผยว่า ณ ชายหาดไปรอา กรันเด ตามชายฝั่งเซา เปาโล เพียงแห่งเดียว พบเพนกวินถูกซัดมาเกยตื้นมากกว่า 170 ตัว

    อิสเบลเล นูเนส นักชีววิทยา ระบุว่า ปกติแล้วการพบเห็นเพนกวินตามชายฝั่งบราซิล ระหว่างฤดูกาลอพยพ ก็ถือว่าแปลกอยู่แล้ว แต่คราวนี้นับเป็นเหตุการณ์ที่ประหลาดอย่างมาก

    การชันสูตรพบว่า นกเพนกวินหลายตัว ไม่มีอาหารอยู่ในท้อง ทำให้นักชีววิทยา ระบุว่า พวกมันอาจอดอาหารตาย ติอาร์โก โด นาสซิเมนโต นักชีววิทยาอีกคนบอก พร้อมระบุว่า สภาพอากาศที่หนาวจัดอาจเป็นต้นเหตุการตายของมัน

    ขณะที่ นูเนส ให้ความเห็นเสริมว่า มีความเป็นได้ที่กระแสน้ำเย็นซึ่งถูกซัดพามาโดยแนวปะทะอากาศเย็นกำลังเล่นงานภูมิภาคนี้ ทำให้ฝูงปลาซึ่งเป็นอาหารของเพนกวิน อพยพหลบหลบหนีไปยังน่านน้ำอื่น อันเป็นผลให้เพนกวิน ต้องว่ายน้ำไปหาอาหารไกลกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม นูเนส บอกว่า กำลังดำเนินการทดสอบเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

    ในปีนี้ บริเวณชายฝั่งของบราซิลมักพบเห็นนกเพนกวินอพยพมาจากอาร์เจนตินา ชิลี และหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ เพื่อหาอาหารในน้ำที่อุ่นกว่า

    ที่มา http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9530000101331

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เมื่อสหรัฐฯ เปี๊ยนไป๋.. การ์ตูนสนุกๆ จี้ใจใครต่อใคร </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>22 กรกฎาคม 2553 17:08 น</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    ลมเริ่มเปลี่ยนทิศ นโยบายเปลี่ยนไป ถึงเวลาต้องทบทวนและหันเปลี่ยนเพื่อเดินไปให้ถูกทาง

    ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สคราวาร์ตูนของ “อึง บุนเฮียง” การ์ตูนนิสต์ชาวกัมพูชาในต่างแดน ได้สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ของสหรัฐฯ ในอนุภูมิภาคนี้ได้อย่างลึกซึ้ง ขณะที่บรรดารัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและหุ้นส่วน เริ่มการประชุมความมั่นคงปลอดภัยของภูมิภาคในกรุงฮานอย

    การ์ตูนแผ่นใหม่ล่าสุดเป็นภาพ นางฮิลลารี คลินตัน กำลังกอดคอบรรดาผู้นำหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมี นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุนเซน ถูกรัดคอด้วยแขนซ้าย และ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เหวียนเตี๋ยนยวุ๋ง เป็น “มือขวา” ผู้นำลาว พม่า และ อินโดนีเซีย อยู่ถัดออกไป​

    ทั้งหมดล้วนเป็นประเทศที่สหรัฐฯ เคยกล่าวหาว่า มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างสูง แต่การ์ตูนได้สะท้อนให้เห็นนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ที่ต้องการเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศแถบนี้มากยิ่งขึ้น​

    ประธานาธิบดี โอบามา ประกาศจะไปเยือนอินโดนีเซียปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า และในเดือนนี้ รองนายกฯ กับรัฐมนตรีต่างประเทศลาว ทองลุน สีสุลิด เพิ่งไปเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี ไม่ต่างกับพม่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงและวุฒิสมาชิกจากสหรัฐฯ ได้เดินทางไปเยือนประเทศนี้มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว​

    ปัจจุบันสหรัฐฯ กำลังร่วมกับทหารจากกว่า 20 ประเทศทำการฝึกซ้อมรบภายใต้รหัส “Angkor Sentinel” อยู่ในกัมพูชา การฝึกซ้อมทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศนี้ จะดำเนินไปจนถึงสิ้นเดือน ก.ค.​

    กัมพูชา และพม่า มีแหล่งพลังงานใหญ่โตที่ค้นพบใหม่ ในลาวอุดมไปด้วยแร่ธาตุล้ำค่าเป็นที่ต้องการของตลาดโลก และเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ ขณะที่จีนกำลังคืบคลานเข้าลงทุนเพื่อนำทรัพยากรขึ้นมาใช้

    ทั้ง อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นด่านสำคัญสำหรับสหรัฐฯ ในการสกัดกั้นการก่อการร้ายข้ามชาติ ที่มีความเชื่อทางศาสนาเป็นแรงผลักดัน​

    สำหรับ เวียดนาม-สหรัฐฯ สองประเทศกำลังฉลองครบรอบปีที่ 15 การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตในระดับสูง และทุนจากสหรัฐฯ กำลังไหลเข้าไป นอกจากนั้น เวียดนามยังเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากร 87 ล้านคน ซึ่งสหรัฐฯ ไม่อาจจะเมินเฉยต่อไปได้​

    มองในแง่ยุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัย สหรัฐฯ มองว่า เวียดนามเป็นปราการสำคัญในการต่อต้านอิทธิพลของจีน ที่กำลังคืบเข้าสู่ประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ สองฝ่ายเคยทำสงครามกันยาวนาน 20 ปี แต่ในปัจจุบันเวียดนามกลายเป็นพันธมิตรที่สหรัฐฯ จะขาดมิได้​

    อึง บุนเฮียง เป็นการ์ตูนนิสต์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในยุคสงครามเย็น เคยเป็นมือการ์ตูนของนิตยสารฟาร์อีสเทิร์นอีโคโนมิค รีวีว และมีผลงานในนิตยสารข่าวอีกหลายฉบับหลังจากนั้น การ์ตูนของเขาหลายชิ้นเป็นพิษเป็นภัยต่อรัฐบาลประเทศต่างๆ แถบนี้​

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "ปราสาทพระวิหาร" น่าจะมี ๒ ผู้ยิ่งใหญ่ "จีน-สหรัฐ" เข้าไปเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย

    [​IMG]

    บทความเรื่อง ไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา โดยคุณ เปลวสีเงิน

    กินข้าวกันมื้อเดียวแล้วจบ อย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่มีศักดิ์ศรีบ้านเมืองเป็นเดิมพันน่ะซีครับ ฉะนั้น การประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อวานนี้ที่สระแก้ว เป็นแค่เบิกฤกษ์เท่านั้น เรื่องทหารกับทหารเป็นเรื่องหนึ่ง ปัญหาเขตแดนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งทางการเมือง ใจเย็นกันมาแล้วครึ่งศตวรรษ ก็เย็นต่ออีกซักครึ่งศตวรรษจะเป็นไรไป

    ผมดูตามโปรแกรม การประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สระแก้ววานนี้ (๒๑ กค.๕๑) แค่ช่วงเช้า กินข้าวเที่ยงด้วยกัน บ่ายก็จบแล้ว พลเอกเตีย บัณห์ รมว.กลาโหมกัมพูชา ยกคณะกลับพนมเปญ พลเอกบุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส.ฝ่ายไทย ยกคณะกลับกรุงเทพฯ นำผลไปรายงานรัฐบาลใคร รัฐบาลมัน

    แต่เอาเข้าจริง "ไม่จบครับ" เช้าก็แล้ว บ่ายก็แล้ว เห็นนักข่าวบอกว่า "ประชุมเครียด" ทั้งนอกรอบและในรอบ คงเย็นโน่นแหละจึงจบ ที่จบน่ะ จบแค่การประชุม ไม่ใช่เรื่องจบ! สาระหลักที่ได้จากการประชุมจริงๆ ทั้ง ๒ ฝ่ายคงไม่บอก แต่ที่เอามาแถลงร่วมกัน น่าจะเป็นการแต่งภาพให้เห็นเนียนๆ ในบรรยากาศมิตรภาพ และสันติภาพกันไปเท่านั้น

    แถลงกันว่าอย่างไร ท่านคงทราบแล้วนะครับ ผมรอฟังถึง ๖ โมงกว่า ก็ได้ฟังการแถลงที่เรียกได้ว่า "ไม่มีผลจากการแถลง" ฉะนั้น ก็คุยต่อจากที่ค้างไว้แต่วานก็แล้วกัน ถึงเบื้องหลังเรื่อง "ปราสาทพระวิหาร" น่าจะมี ๒ ผู้ยิ่งใหญ่ "จีน-สหรัฐ" เข้าไปเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย

    ผมจับแพะ-ชนแกะเอาเองน่ะครับ ด้วยไม่นึกว่าสหรัฐจะหันมาสนใจเรื่องโบราณ สถาน และศิลปวัฒนธรรม ถึงขั้นช่วยประคบประหงมกัมพูชา จนคณะกรรมการมรดกโลกอีก ๒๐ ประเทศ ทิ้งกฎเกณฑ์ในการตัดสินที่ตั้งไว้ จดทะเบียนให้ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นมรดกโลก ทั้งที่ผ่านเกณฑ์เพียงข้อเดียวในจำนวน ๓ ข้อ! และนี่..สหรัฐยังเข้าข้างจน "ออกหน้า-ออกตา" ในขณะที่กัมพูชาส่งทหารประจันหน้าไทยที่เขาพระวิหาร ลำพัง ฝรั่งเศส-จีน ไปเสริมบารมีให้เขมรในคราบ "คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ" ก็พอจะเข้าใจได้

    กัมพูชาคือเมืองขึ้นเก่าของฝรั่งเศส และไม่เพราะเหตุนี้ดอกหรือ ไทยจึงถูกเอารัด-เอาเปรียบด้านดินแดนมาตลอดกับ "ทุกประเทศ" ในย่านนี้ ที่ฝรั่งเศสเคยปกครองมาก่อนจนถึงทุกวันนี้? แต่สำหรับจีน ท่านก็คงทราบ หลังจากโลกเหลือขั้วเดียว สหรัฐจ้าวโลกก็แผ่อิทธิพลครอบคลุมไปทั่วทุกภูมิภาค แล้วมีหรือที่ "จีน" จะยอม? นั่นคือ จีนแผ่อิทธิพล เข้าพม่า เข้าลาว เข้าเวียดนาม และกัมพูชาก็เหมือนกัน ตอนนี้ฝ่ายจีนเอาอก-เอาใจเป็นพิเศษ การลงทุนจากจีนเกือบยึดเขมรได้พอๆ กับในพม่า ในลาวแล้ว

    นี่ยังไม่นับที่จีนไปจับมือกับรัสเซีย กับตะวันออกกลาง และประเทศแถบละติน อเมริกาอย่างที่เห็นจากข่าวกันบ่อยๆ และถ้าสังเกตจะเห็น แต่ละประเทศล้วนเป็นแหล่งพลังงานน้ำมัน-ก๊าซทั้งนั้น! ดังนั้น ผมจึงไม่แปลกใจที่จีน "ตีคู่สหรัฐ" แสดงท่าทีสนับสนุนกัมพูชา "ทุกเรื่อง" คือทั้งเรื่องหนุนให้จดทะเบียนปราสาทพระวิหารแต่แรกเริ่ม และเรื่องล่าสุดนี่ คือการแสดงบทบาท "เลือกข้าง"

    รับเชิญรัฐบาลกัมพูชานั่ง ฮ.มาดูพื้นที่ทหารไทย-กัมพูชา ประจันหน้ากัน คล้ายเป็นสักขีพยานบนการรับรู้ข้อมูลจากฝ่ายเดียวว่า..ไทยรุกเขมรนะ ไม่ใช่ เขมรรุกไทย! การที่ทั้งจีน ทั้งสหรัฐ ปรากฏตัวเคียงข้างกัมพูชา แทนการวางตัวเป็นกลาง จะพูดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่า นี่คือการ "ส่งสัญญาณ" ในการเลือกข้างให้ประชาคมโลกรับรู้

    ถ้าเราทบทวนดูก็จะเห็นว่า สหรัฐถอยตัว-ถอยอิทธิพลไปจากอินโดจีน จากอาเซียนไปนานแล้ว นับแต่พ่ายสงครามเวียดนาม แต่จู่ๆ ก็หันกลับเข้ามาใหม่ด้วยการใช้ "เศรษฐกิจ-องค์กรโลก" แทนสงครามอาวุธ มันก็มีเหตุผลเดียวที่เห็น คือ ทั้งสหรัฐ ทั้งจีน กำลังแย่งชิง "แหล่งทรัพยากรพลังงาน" บรรดามีในโลกไปไว้ในกำมือ ใครมีพลังงาน คนนั้นเป็น "จ้าวครองโลก" ในศตวรรษนี้!

    สหรัฐ "บุกอิรัก" ก็เพราะน้ำมัน จะเข้ายึดครองในพม่า ก็ติดจีน และตอนนี้ กำลังหาเหตุ "บุกอิหร่าน" ท่านคงได้ยินข่าว ๒-๓ วันนี้ ที่ออกมาขู่จะยึด "ช่องแคบฮอร์มุซ" หลังจากเห็นอิหร่านทดลองอาวุธ เรื่องช่องแคบฮอร์มุซมีความสำคัญอย่างไร เคยคุยกันไปแล้ว อยู่บริเวณชายฝั่งอิหร่าน เชื่อมอ่าวเปอร์เชียกับทะเลอาหรับ สู่มหาสมุทรอินเดีย ถ้าใครยึดช่องแคบนี้ได้ เท่ากับยึดโลกไปได้ครึ่งใบทีเดียว!

    สหรัฐก็กลัว เพราะนี่คือเส้นทางขนส่งสินค้า โดยเฉพาะน้ำมันจากประเทศ ขอบอ่าวทั้งหมดไปสู่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐ โดยเฉพาะสหรัฐกลัวนัก ถ้าอิหร่านหรือใครปิดช่องแคบฮอร์มุซนี้ เท่ากับถูกตัดเส้นเลือด ฉะนั้น จะเห็นว่าสหรัฐส่งเรือรบไปคุมเชิงอยู่ทุกวินาที

    มันก็ลามมาถึงช่องแคบมะละกาด้วย เพราะจากช่องแคบฮอร์มุซ ตรงเข้าทะเลอันดามัน จะไม่ต้องอ้อมโลก ก็ตัดเข้าช่องแคบมะละกา เป็นการลัดจากมหาสมุทรอินเดีย ไปโผล่อ่าวไทย ออกทะเลจีนใต้ เข้ามหาสมุทรแปซิฟิก อันทั้งจีน ทั้งสหรัฐมีผลประโยชน์ร่วม โดยตรงโน่น

    นั่นก็คือ "อ่าวไทย" เวลานี้ นอกจากแหล่งพลังงานน้ำมัน และก๊าซ ที่เป็นแม่เหล็กดูดให้มหาอำนาจอย่าง "จีน-สหรัฐ" ต้องเข้ามาป้วนเปี้ยนแล้วการ "กันท่า" ซึ่งกันและกัน เพื่อมิให้ใครมีอิทธิพลเหนือช่องแคบทั้งสอง

    ทั้งจีน และสหรัฐ ก็กำลังชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบด้วย "กำลังภายใน" กันอย่างสุดฤทธิ์มาตลอด!วานซืนนี้ (๒๐ กค.) จีนขู่ฟ่อ เพราะบริษัทน้ำมันสหรัฐดอดเข้ามาตีท้ายครัว โดยไปจับมือกับรัฐบาลเวียดนามสำรวจเพื่อขุดเจาะน้ำมันในทะเลจีนใต้ โดยจีนอ้างเหมือนที่ไทยกับเขมรอ้างอยู่ตอนนี้แหละ คืออ้างว่า บริเวณนอกชายฝั่งเวียดนามทางตอนใต้ที่สหรัฐจะมาสำรวจนี้ เป็นพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ของเขา!?

    เรียกว่าในภูมิภาคนี้ ใครแหยมเข้ามาขุดเจาะน้ำมัน เป็นต้องเจอกำแพงจีน! ครับ..ก็ร่ายยาวมาตั้งนาน ท่านอาจสงสัยตะหงิด "แล้วมันเกี่ยวกะเรื่องปราสาทพระวิหารได้ไง?" นี่แหละครับ มันก็จะเกี่ยวกันตรงนี้แหละ ถ้าไม่ปูพื้นเรื่อง ก็อาจหลับตาวาด ภาพตามไม่เห็น หลายสัปดาห์ก่อน มีท่านหนึ่งโทร.มาถามผมว่า

    "เขาว่า ถ้าเราเสียพื้นที่ปราสาทพระวิหารให้เขมร จะไม่เสียเพียงเท่านี้ ทำให้ต้องเสียพื้นที่ที่เป็นแหล่งน้ำมันกับก๊าซในทะเลด้วยหรือ?"

    ผมก็ไม่ได้ตอบอะไร เพราะไม่มีอะไรจะตอบ แต่พอไล่เรียงดู เห็นสหรัฐ+ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันทางเศรษฐกิจและการเมืองโลก และจีน เข้ามามีบทบาทนัวเนียอยู่กับกัมพูชา ทั้งเรื่องปราสาทพระวิหาร และทั้งเรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ก็รู้สึกตะหงิดๆ บางอย่างในใจ พลันก็นึกไปถึงโครงการ GMS หรือ Greater Mekong Sub-region อย่างที่เรียกไปว่า "กลุ่มอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง" ขึ้นมาได้ ก็เลยไปรื้อๆ ดู เมื่อนำมาประมวลเป็นภาพ ก็เห็นเค้าลางขึ้นมาทันที

    "แผน ๔ เหลี่ยมเศรษฐกิจ" ที่เรียกกันว่า "ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง" อันประกอบด้วย ไทย-ลาว-เวียดนาม-กัมพูชา-พม่า-จีน ที่ฝ่ายไทย ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณเดินเครื่องเต็มสูบตั้งแต่ปลายปี ๒๕๔๔ นั่นแหละ โครงการนี้ไม่มีอะไรที่ว่าไม่ดี เป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจ เพราะเป็นการเชื่อม ๖ ประเทศถึงกันด้วยระบบโลจิสติกส์ผ่านถนน ๓ สายหลัก ดูแค่นี้ก็ไม่น่าตื่นเต้น ถ้าบอกว่า GMS เป็นโครงการที่เจาะฝั่งทะเลอันดามัน-มหาสมุทรอินเดีย ผนึกเข้ากับอ่าวไทย-ทะเลจีนใต้-แปซิฟิก คือเชื่อมทะเลฝั่งตะวันตกเข้ากับทะเลฝั่งตะวันออกเข้าเป็นผืนเดียวกัน อย่างนี้ไม่ตื่นเต้นหรือ?

    ถ้าท่านไม่ตื่น ผมว่าสหรัฐตื่นแน่ เพราะรายการนี้สหรัฐไม่มีเอี่ยวครับ "จีน" เป็นลูกพี่ใหญ่แต่ผู้เดียว และเป็นผู้ได้รับประโยชน์ "ยุทธศาสตร์ทางทะเล" ไปเต็มๆ ผ่านทางออกทะเลทั้งฝั่งตะวันตก และฝั่งตะวันออก ที่เวียดนาม ที่พม่า ที่ไทย และที่กัมพูชา ตอนนี้เราคุ้นหูกับชื่อ "เกาะกง" ของกัมพูชาใช่ไหมครับ? เกาะกงที่ทางเขมรจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณเช่า ๙๙ ปี เนรมิตเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษนั่นแหละ และที่เกาะกงนี้มีท่าเรื่อกัมปงโสม หรือที่รู้จักกันว่า "สีหนุวิลล์" ตั้งอยู่

    ท่าเรือนี้ก็ยังไม่น่าสนใจเท่า ท่านอ่านเรื่อง "การเจรจาปัญหาการอ้างเขตไหล่ทวีปทับซ้อนในอ่าวไทยของประเทศไทยกับเพื่อนบ้าน" ของพลเรือเอกถนอม เจริญลาภ ที่ตีพิมพ์ในไทยโพสต์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อนหรือเปล่าครับ? ถ้าไม่อ่านจะเสียดายแย่ พื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยระหว่างไทย-กัมพูชาแถวๆ เกาะกงที่ติดกับเกาะกูด จังหวัดตราด ของเรานั่นแหละครับ ตกลงกันไม่ได้มาตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ โน่นแล้ว

    ผมเอง ตอนไปทำข่าวอยู่ในพนมเปญก่อนแตก ยังเคยถูกท่านทูตไทยในพนมเปญ ฝากคำถามประเด็นนี้ไปหยั่งท่าทีกับรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาในรัฐบาลนายพล ลอนนอล นั่นด้วยซ้ำ จนป่านนี้ก็ยังตกลงกันไม่ได้ว่า ของใครจะอยู่ตรงไหน-แค่ไหน ยิ่งตอนหลังมีการสำรวจพบว่า พื้นที่บริเวณนี้เป็นแหล่งน้ำมัน และก๊าซมหาศาล หลังสุด พ.ต.ท.ทักษิณเคยเปรยว่าตกลงกันได้แล้ว ไม่แยกเขตทับซ้อน แต่จะแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน โดยจะสำรวจและขุดเจาะเอาก๊าซ-น้ำมันขึ้นมาขายแบ่งกำไรกัน แต่ยังติดเรื่องเปอร์เซ็นต์ที่แบ่ง คือทำเหมือนแหล่งก๊าซ "ไทย-มาเลย์" ตอนนี้

    ครับ..สรุปให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า แหล่งก๊าซ-น้ำมัน แถวๆ เกาะกงที่พูดกันตอนนี้ เขมรไม่ใช่เจ้าของที่จะเที่ยวเอาสัมปทานไปขายให้กับใครได้ แต่ด้วยโครงการ GMS ที่มีจีนเข้ามาเป็นพี่เบิ้มนี้ สหรัฐจะนอนตาหลับได้อย่างไร เพราะไม่เพียงจีนขยายอิทธิพลเข้าอันดามัน-มหาสมุทรอินเดียได้แล้วเท่า นั้น จีนยังเข้าใกล้แหล่งน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อน "ไทย-กัมพูชา" อีกด้วย แล้วอย่างนี้ สหรัฐจะไม่เอาใจกัมพูชาชนิด "ออกหน้า-ออกตา" ได้อย่างไร?!

    เปลวสีเงิน 22 กรกฏาคม พ.ศ.2551

    ที่มา http://politics.spiceday.com/redirect.php?tid=3402&goto=lastpost
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1214291177.jpg
      1214291177.jpg
      ขนาดไฟล์:
      107.3 KB
      เปิดดู:
      2,941
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ไต้ฝุ่น "จันทู" เข้าจีน! ซ้ำเติมเหตุน้ำท่วม

    [​IMG]

    แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ นับเป็นไต้ฝุ่นลูกที่ 2 ในรอบเดือนต่อจาก "โกนเซิน" ที่เพิ่งสลายตัวไปไม่นาน...

    เมื่อ 22 ก.ค. รัฐบาลจีนสั่งเจ้าหน้าที่รับมือพายุโซนร้อน "จันทู" ที่เพิ่มระดับความรุนแรงเป็นไต้ฝุ่น มีความเร็วลมกว่า 126 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังพัดขึ้นฝั่งที่มณฑลกวางตุ้ง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ใกล้เมืองเล่ยโจวและวู่ฉวน ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักฉับพลันลมพัดแรง แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ นับเป็นไต้ฝุ่นลูกที่ 2 ในรอบเดือนต่อจาก "โกนเซิน" ที่เพิ่งสลายตัวไปไม่นาน

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยา ระบุไต้ฝุ่นจะเคลื่อนตัวอย่างช้าๆไปทางทิศตะวันตก เข้าไปในภาคกลางและภาคใต้ของประเทศ ผ่านมณฑลกวางตุ้งและกว่างซี รวมถึงบริเวณเกาะไหหลำในช่วง 3 วันข้างหน้า 

สำหรับความเสียหายเบื้องต้นนั้นมีรายงานอาคารบ้านเรือนพังทลาย บางพื้นที่ชาวบ้านไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปาใช้ สายการบินต่างๆรวมถึงบริการคมนาคมของรัฐต้องงดให้บริการชั่วคราว

    อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าอยู่ในช่วงน่าวิตก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ไต้ฝุ่นอาจจะพัดผ่านนั้น กำลังได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี น้ำในแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำสายเล็กกว่า 230 สาย ล้นตลิ่งเนื่องจากฝนตกหนัก มีชาวบ้านเสียชีวิตและสูญหายแล้วเกือบ 500 ราย ภายในเวลา 1 เดือน ส่วนจำนวนผู้อพยพออกจากพื้นที่อยู่อาศัยมีมากกว่า 3 ล้านคน ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนด้วยว่าหลังจากเดือนนี้เป็นต้นไป อาจเกิดไต้ฝุ่นขึ้นในทะเลอีกประมาณ 6-8 ลูก

    ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2553

    โสมแดงจวกมะกันซ้อมรบ คุกคามสันติภาพโลก

    [​IMG]

    เกาหลีเหนือประณามการซ้อมรบทางทะเลระหว่างสหรัฐฯกับเกาหลีใต้ว่าเป็นภัย คุกคามต่อสันติภาพโลกขณะที่"ฮิลลารี"ถึงเวียดนามร่วมประชุมอาเซียนฯ....

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อ 22 ก.ค.ว่า นายรี ตอง อิล โฆษกผู้แทนของเกาหลีเหนือ แถลงนอกรอบการประชุมเออาร์เอฟ ระบุการซ้อมรบที่จะเริ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ ไม่เพียงแต่คุกคามสันติภาพและความมั่นคงในคาบสมุทรเกาหลีเท่านั้นแต่ยัง คุกคามสันติภาพและความมั่นคงโลกด้วยและว่ามาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศ ละเมิดแถลงการณ์สหประชาชาติ(ยูเอ็น)ที่แสดงความวิตกต่อเหตุการณ์แต่ไม่ได้ ประณามเกาหลีเหนือ

    นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ เผยกับผู้สื่อข่าวเดินทางมาพร้อมกันว่าการคว่ำบาตรที่ประกาศในเกาหลีใต้ เมื่อวันพุธ มุ่งเป้าที่กลุ่มผู้นำ ไม่ใช่ชาวเกาหลีเหนือทั่วไป

    ส่วนเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า คลินตัน จะร้องขอจีนเพิ่มการกดดันต่อเกาหลีเหนือระหว่างหารือกับ นาย หยาง เจียฉี รมว.ต่างประเทศ ของจีนช่วงค่ำวันพฤหัส เพื่อให้ยุตินโยบายที่บั่นทอนเสถียรภาพ ผิดกฎหมายและยั่วยุ แต่บางกระแสข่าวระบุการหารือดังกล่าวจะมีขึ้นในเวทีเออาร์เอฟในวันศุกร์

    ด้านรัฐบาลจีน แถลงเตือนสหรัฐฯกับเกาหลีใต้ไม่อยากให้มีการซ้อมรบ อันจะเป็นการเพิ่มความตรึงเครียดในภูมิภาค แม้สองฝ่ายแรกจะยืนยันการซ้อมรบเป็นไปเพื่อการป้องกัน ไม่ได้มุ่งรุกรานเกาหลีเหนือ

    ด้านร่างแถลงการณ์ของเออาร์เอฟ แสดงความวิตกอย่างยิ่งต่อเหตุจมเรือรบโชนันและสนับสนุนแถลงการณ์ยูเอ็น เมื่อ 9 ก.ค.ซึ่งไม่ได้ทั้งประณามเกาหลีเหนือและยอมรับผลการสอบสวนที่ชี้ว่า เกาหลีเหนือเป็นฝ่ายก่อเหตุ ร่างแถลงการณ์เออาร์เอฟ ยังเรียกร้องฟื้นคืนการเจรจา 6 ฝ่ายระงับข้อพิพาทนิวเคลียร์เกาหลีเหนือด้วย แต่เหล่านักวิเคราะห์คาดหวังผลคืบหน้าไม่มากในเวทีเออาร์เอฟครั้งนี้

    ส่วนภารกิจเมื่อวันพฤหัส นางคลินตัน เข้าร่วมพิธีฉลองครบรอบ15ปี ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-เวียดนาม โดยเรียกร้องเวียดนามยกระดับปัญหาสิทธิมนุษยชนและให้คำมั่นร่วมมือยิ่งขึ้น ช่วยขจัดผลกระทบจาก “ฝนเหลือง” สารพิษที่ถูกสหรัฐฯโปรยถล่มเล่นงานสมัยสงครามเวียดนาม นอกจากนี้เธอยังให้คำมั่นกับเหล่า รมว.ต่างประเทศชาติอาเซียนว่าสหรัฐฯจะเป็น หุ้นส่วนที่กระตือรือร้นกับอาเซียนทั้งมวล

    ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2553

    เชื่อปลายปีทองแตะ 2 หมื่น แนะนักลงทุนช้อนซื้อ

    [​IMG]

    ปธ.กลุ่มบริษัท "แม่ทองสุก" เชื่อปลายปีทองไทยพุ่งแตะบาทละ 2 หมื่น แนะนักลงทุนทองแท่งช้อนซื้อ ส่วนโกลด์ฟิวเจอร์ รอดูความชัดเจนตลาด...

    เมื่อวันที่ 23 ก.ค. น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด เปิดเผยกับ "ไทยรัฐออนไลน์" ถึงกรณีการปรับตัวลดลงของราคาทองคำในขณะนี้ว่า มาจากปัจจัยทางเทคนิค เพราะขณะนี้การลงทุนในทองคำจะเป็นเรื่องของเฮดจ์ฟันด์และการลงทุน เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะดูอันดับแรกคือเรื่องของปัจจัยทางด้านเทคนิคซึ่งส่งผลกับตลาดถึง 90% ส่วนอีก 10% มาจากปัจจัยทางด้านพื้นฐาน โดยในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำไม่สามารถเคลื่อนไหวขึ้นไปทำนิวไฮใหม่ได้ ราคาทองคำจึงปรับตัวลดลง จาก 1,245 ดอลลาร์สหรัฐ ลดมาที่ระดับ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งทางเทคนิคจะเรียกการปรับฐานในระยะสั้น คาดว่าไม่น่าจะเกิน 15 วัน

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาคือการปรับตัวลดลงครั้งนี้จะลดลงขนาดไหน โดยทางเทคนิคได้ประเมินแนวรับแรกไว้ที่ 1,180 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ และแนวรับที่2 คือ 1,170 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งขณะนี้ใกล้เคียงราคาทองคำอยู่ที่ 1,183 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ซึ่งใกล้แนวรับแรกแล้ว ทั้งนี้ หากราคาทองคำปรับตัวลดลงต่ำกว่า2แนวรับที่ให้ไว้ จะต้องมีการวิเคราะห์ใหม่อีกครั้ง

    "แต่ ในช่วงปลายปีราคาทองมีโอกาสแตะบาทละ 22,000 บาท ซึ่งมาจากปัจจัยทางเทคนิคที่จะทำให้ราคาทองโลกไปแตะที่บาทละ 1,325 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ โดยราคาทองที่จะแตะบาทละ 20,000 บาทได้นั้น ราคาทองโลกก็จะต้องแตะที่ออนซ์ละ 1,310 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป ซึ่งปัจจัยทางเทคนิคหากลากกราฟขึ้นไปประมาณ 1 เดือน จะพบว่าในอีก 4 เดือนข้างหน้าหรือช่วงไตรมาส 4 ราคาจะตกอยู่ที่ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์แต่มีเงื่อนไขว่า 2 สัปดาห์นี้ราคาทองจะต้องไม่ต่ำกว่า 1,170 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์แต่หากหลุดจะต้องมาดูกันอีกครั้ง" นพ.กฤชรัตน์ กล่าว

    ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก ยังได้แนะนำนักลงทุนระยะสั้นที่เล่นในโกลด์ฟิวเจอร์ ควรจะหนีออกนอกตลาดก่อนเพื่อดูความชัดเจน เพราะการลงทุนระยะสั้นจะเน้นการเข้าเร็วและออกเร็ว ส่วนนักลงทุนระยะยาวที่ลงทุนในทองคำแท่ง แนะนำให้ช้อนซื้อในจังหวะอ่อนตัว

    ไทยรัฐออนไลน์ วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2553

    ที่มา http://www.thairath.co.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 420.jpg
      420.jpg
      ขนาดไฟล์:
      32.2 KB
      เปิดดู:
      1,327
    • 421.jpg
      421.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.7 KB
      เปิดดู:
      1,388
    • 422.jpg
      422.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.3 KB
      เปิดดู:
      1,378
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2010
  19. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791
    พระ มรณภาพ ท่านั่งสมาธิ แห่กราบไหว้<!-- google_ad_section_end -->

    [​IMG]

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start -->[​IMG]



    เจ้าอาวาสวัดพระชราแห่งชาติ จ.สุรินทร์ มรณภาพ อย่างสงบท่านั่งสมาธิ ชาวบ้านที่เลื่อมใส ทราบข่าวมากราบไหว้จำนวนมาก ตรวจพบมรณภาพจากหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน...

    วันที่ 22 ก.ค. 2553 เวลา 08.45 น. ร.ต.อ.ประเวศ พลอยพันธ์ ร้อยเวร สภ.ปราสาท อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ได้รับแจ้งเหตุพระสงฆ์วัดพระชราแห่งชาติ บ.ตาลวก ต.กังแอน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์มรณภาพ จึงพร้อมด้วยแพทย์เวร รพ.อ.ปราสาท หน่วยกู้ภัยสุรินทร์ ไปร่วมตรวจสอบตามรับแจ้ง เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึง ทางศิษยานุศิษย์ ญาติ ชาวบ้านได้นำร่าง หลวงพ่อเนือง มังชญตังติโกหรือ หลวงพ่อเนือง ตรงเที่ยง (นามสกุลเดิมก่อนบวช) อายุ 65 ปี เจ้าอาวาสวัดออกจากกุฏิ ที่จำวัดมาไว้บนศาลาการเปรียญ ที่สร้างใหม่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ รอบกายมีศิษยานุศิษย์ และชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธาทราบข่าวการมรณภาพของหลวงพ่อมากราบศพจำนวนมาก ต่อมาญาติ ลูกศิษย์ และเจ้าหน้าที่ลงความเห็นนำร่างหลวงพ่อไปตรวจพิสูจน์หาสาเหตุการมรณภาพที่ โรงพยาบาล อ.ปราสาท แพทย์ลงความเห็นว่าเกิดจากหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน

    สอบสวนนายสมศักดิ์ ตรงเที่ยง อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48 ม.2 บ.รำเบอะ ต.เชื้อเพลิง อ.ปราสาทน้องชาย หลวงพ่อที่อาศัยอยู่ในวัด ทราบว่าในเวลาช่วงเช้าวันนี้ตนเองและพระสงฆ์ในวัดทั้ง 4 รูป สงสัยไม่เห็นหลวงพ่อออกมาทำวัตรเช้าและออกบิณฑบาตตามปกติ จึงเข้าไปดูในกุฏิ พบว่ามรณภาพจนตัวแข็งอยู่ในท่านั่งสมาธิ หลังพิงฝากุฏิ ขาซ้ายเหยียดจากอาการเกร็ง จึงแจ้งผู้เกี่ยวข้องและเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ

    น้องชายหลวงพ่อเนือง เปิดเผยว่า หลวงพ่อเนืองอุปสมบท เมื่อเดือนเมษา 2552 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หลังจากนั้นไปจำพรรษาที่วัดเขาศาลา อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ก่อนจะมาสร้าง และก่อตั้งวัดพระชราแห่งชาติแห่งใหม่ที่นี่ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2552 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ หลังจากหลวงพ่อตั้งวัดนี้ มีศิษยานุศิษย์ให้ความเคารพเลื่อมใสศรัทธา ร่วมทำบุญและบริจาคเงินสร้างวัดทำให้เจริญขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ช่วงเวลาเย็นวันที่ 21 กรกฎาคม เห็นหลวงพ่อเดินและทำวัตรเย็นตามปกติ ไม่มีอาการบ่งบอกว่าเจ็บป่วย แต่มีโรคประจำตัว คือ โรคความดันโลหิต หลวงพ่อเนือง เป็นพระสายธรรมยุติที่มีความฝักใฝ่ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด จนมีลูกศิษย์เลื่อมใสศรัทธามากมายและชอบนั่งสมาธิในเวลาที่ว่างจากกิจนิมนต์ และภารกิจอื่น

    อย่างไรก็ตามการจากไปของท่านชาวบ้านและลูกศิษย์เชื่อว่าท่านจากไปอย่างสงบ และทิ้งความเลื่อมใสศรัทธาต่อหลวงพ่อที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าไว้ อย่างไม่มีวันลืมเลือน สำหรับหลวงพ่อเนือง บ้านเกิดอยู่ที่บ้านยาง ต.ตาอ็อง อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นพระสายธรรมยุติ และเป็นหลานของหลวงปู่มีชัย กามะฉินโท อายุ 74 ปี จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย




    ปล. ที่คราวก่อนบอกบุญที่ลป มีชัย สร้างวัดคือ วัดนี้แหล่ะที่สุรินทร์


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    รูปหลวงปู่มีชัย (รูปที่สอง)

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2010
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    สมิทธฟันธง! พายุใหญ่ถล่มไทย-กทม.จมใต้บาดาล สิงหา-ตุลาคม นี้จริงหรือ

    สมิทธ ฟันธง ส.ค.-ต.ค. พายุใหญ่ถล่มประเทศไทย ทำให้ กทม.จมบาดาล ระบบประปาพินาศ คนเมืองหลวงไม่มีน้ำใช้ จี้หน่วยงานรัฐเร่งหามาตรการรับมือโดยด่วน ขณะที่อดีตนายกสภาวิศวกรรมสถานฯ หวั่น วัดพระแก้ว เสียหายหากเกิดน้ำท่วมพระบรมมหาราชวัง

    [​IMG]


    การออกมาแจ้งเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมตัวรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ครั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ในการเสวนาเรื่อง "แผนรับมือวิบัติภัยในมหานครกรุงเทพ" ซึ่งจัดโดยสถาบันพัฒนาเมือง กรุงเทพมหานคร

    การเสวนาครั้งนี้มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ศ.ดร.ปณิธาน ลักคุณะประสิทธิ์ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมแผ่นดินไหวและการสั่นสะเทือน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมเสวนา
    ดร. สมิทธกล่าวว่า จากการศึกษาและติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติมาโดยตลอด พบว่าภัยพิบัติที่จะกระทบ กทม.และปริมณฑล มีอยู่ 2 ประเภท คือ ภัยที่เกิดจากแผ่นดินไหว และภัยที่เกิดจากน้ำท่วมขัง ซึ่งเกิดจากสภาวะโลกร้อน โดยภัยที่เกิดจากแผ่นดินไหวเป็นภัยที่รุนแรงและมีผลกระทบต่อมนุษย์จำนวนมาก

    ทั้งนี้ ประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่มีพลังอยู่ 13 รอย และจากการศึกษาพบว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิ รอยเลื่อนทั้งหมดเกิดรอยร้าวเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2547 ถึงปัจจุบัน ซึ่งการเกิดรอยร้าวดังกล่าวทำให้อาคารที่โครงสร้างไม่แข็งแรงใน จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ มีโอกาสถล่มลงมาได้

    ดร.สมิทธกล่าวต่อว่า ในพื้นที่ กทม.อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากรอยเลื่อน 2 รอย คือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี หากเกิดแผ่นดินไหวซ้ำขึ้นมาอีก เชื่อว่าจะส่งผลให้เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ์แตก และทำให้น้ำปริมาณกว่า 17 ล้านลูกบาศก์เมตร ไหลทะลักเข้าสู่ จ.ราชบุรี จ.นครปฐม และ กทม.

    "กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนดินเลน เมื่อได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวแล้ว ระยะสั่นสะเทือนจะขยายตัว 2-3 ริกเตอร์ ทำให้อาคารที่สูงไม่เกิน 6 ชั้น อาจแตกร้าวและพังทลายลงมา ส่วนอาคารสูงไม่น่าเป็นห่วง เพราะวิศวกรได้ออกแบบอาคารไว้รองรับอยู่แล้ว

    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีความพร้อมในการรับมือกับแผ่นดินไหว โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือกรณีเกิดภัยพิบัติ หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงอาจทำให้เกิดความเสียหายมาก" ดร.สมิทธกล่าว
    ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติกล่าวว่า ภัยที่เกิดจากน้ำท่วมขัง เนื่องจากสภาวะโลกร้อนขึ้นนั้น จากสถิติไม่เคยปรากฏมาก่อนว่าพายุที่เกิดในมหาสมุทรอินเดียจะมีแรงลมสูงมาก ถึงขนาดเป็นไซโคลน

    แต่ตอนนี้เกิดขึ้นแล้วคือพายุไซโคลนนาร์กีส ซึ่งมีความเร็วลมสูงถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเมื่อขึ้นฝั่งในลุ่มน้ำอิระวดีในพม่า แรงลมสูงสุดถึง 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความรุนแรงถึงระดับ 4

    "ผมขอทำนายว่าในเดือน สิงหาคมถึงเดือนตุลาคมนี้ จะมีพายุขนาดใหญ่พัดถล่มประเทศไทย ทางด้านอ่าวไทย ไล่ตั้งแต่ จ.ชุมพร จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.เพชรบุรี เข้ามา ซึ่งอาจทำให้เกิดปรากฏการณ์สตรอม เสิร์ช (Strom Search) หรือน้ำทะเลยกตัวสูงขึ้น

    ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะทำให้น้ำทะเลไหลเข้ามาถึงบริเวณปากอ่าวเจ้าพระยา และเข้าท่วมพื้นที่ กทม. โดยกว่าจะไหลย้อนกลับสู่ทะเลต้องใช้เวลานานกว่า 2-3 สัปดาห์ และหากท่วมเหนือคลองประปา จะทำให้ประชาชนไม่มีน้ำในการอุปโภคบริโภค" ดร.สมิทธกล่าว

    ด้านนาย ต่อตระกูลกล่าวว่า มีความเป็นห่วงว่าหากเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นจริงจะทำให้อาคารและสิ่งปลูกสร้าง ที่สำคัญหลายแห่งเสียหายโดยเฉพาะวัดพระแก้ว ซึ่งก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ไม่ได้มีการฝังเสาลงดิน หากเกิดน้ำท่วมในพื้นที่พระบรมมหาราชวังก็จะทำให้เสื่อมความแข็งแรงลงอย่าง รวดเร็ว

    หลังการเสวนา "คม ชัด ลึก" ได้สอบถามไปยัง ดร.วัฒนา กันบัว ผู้อำนวยการฝ่ายอุตุนิยมวิทยาทะเล กรมอุตุนิยมวิทยา เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดพายุใหญ่พัดถล่มประเทศไทยตามที่ ดร.สมิทธกล่าวในการเสวนา ดร.วัฒนาระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม

    อาจจะเกิดพายุใหญ่ถล่มประเทศไทย เพราะช่วงดังกล่าวเป็นช่วงฤดูฝน อยู่ระหว่างช่วงลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้าประเทศไทย จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าช่วงดังกล่าวมีพายุพัดถล่มประเทศไทยมาแล้วหลายครั้ง อย่างเช่น พายุไต้ฝุ่นเกย์ พายุไต้ฝุ่นลินดา ที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนก็เกิดขึ้นในช่วงนี้

    ดร. วัฒนากล่าวต่อว่า สภาวะโลกร้อนอาจส่งผลให้ความรุนแรงของพายุเพิ่มมากขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า หากพายุพัดเข้าสู่พื้นที่ที่เป็นเมืองก็อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะหากพายุเคลื่อนเข้าประเทศไทยทางฝั่งภาคตะวันออกจะทำให้เกิดผลกระทบ ต่อพื้นที่ กทม.โดยตรง ซึ่งมีความเป็นห่วงว่า

    หากมีพายุพัดเข้าบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ให้แก่ กทม. เนื่องจากขณะนี้แม้จะมีการสร้างเขื่อนกั้นริมตลิ่งแม่น้ำเจ้าพระยาในหลายจุด แต่การสร้างเขื่อนที่ผ่านมาทำเพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วมที่เกิดจากน้ำเหนือ ไหลหลาก

    ไม่ได้มีไว้รองรับพายุที่พัดเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะนี้บริเวณปากแม่น้ำยังไม่มีการก่อสร้างเขื่อน หากเกิดพายุพัดกระหน่ำจริง เขื่อนที่มีอยู่ก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมได้

    ดร.วัฒนา กล่าวด้วยว่า มีความเป็นห่วงว่าหากช่วงเวลาที่เกิดพายุตรงกับช่วงที่ระดับน้ำทะเลขึ้นสูง สุดจะยิ่งทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวอาจทำให้เกิดคลื่นขนาดยักษ์พัดกระหน่ำบริเวณชายฝั่ง

    หากอาคารบ้านเรือนตามแนวชายฝั่งไม่แข็งแรงก็จะสร้างความเสียหายร้ายแรงทั้ง ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ขณะนี้กรมอุตุนิยมวิทยามีการติดตามสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า

    ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมความพร้อมไว้ด้วย โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการอพยพผู้ประสบภัย เพราะขณะเกิดเหตุภัยพิบัติหากมีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ประสบภัยได้รวด เร็ว ความเสียหายต่อชีวิตของประชาชนก็จะลดน้อยลง


    http://atcloud.com/stories/25455
     

แชร์หน้านี้

Loading...