คนโง่เขลาที่สุด...หาญตั้งคำถามด้วยความเบาปัญญา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย พลภัทร Mechanic, 31 มีนาคม 2011.

  1. พลภัทร Mechanic

    พลภัทร Mechanic Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +41
    ข้าพเจ้าเป็นคนที่ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธองค์ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนดีนักหนา แต่ก็เป็นคนที่พยายามจะตั้งใจทำความดีไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่มีฤทธิ์ หรือญาณใดๆทั้งสิ้น เป็นคนที่คิดว่าตนนั้นหนาโชคดีที่สุดที่ได้เกิดมาในแดนพระธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงเผยแพร่หลักธรรมที่สามารถพิสูจน์ ลองทำดูก็รู้ว่าดี เกิดประโยชน์กับตนและสังคมมากมาย

    แต่ทำไมธรรมชาติถึงต้องปิดบังการแบ่งภพภูมิ นรก มนุษย์ สวรรค์ ทำไมถึงไม่ให้เห็น ปะปนสอนกันได้ นั่นน่าจะทำให้ใครหลายๆคนชั่งใจในการทำความดี หรือความเลว ทำไมถึงต้องปิดบัง

    ข้าพเจ้าเคยงงกับความเชื่อที่ว่าถ้าคนเรามาเกิดใหม่ต้องลืมภพอดีตที่ผ่านมา แต่ก็มีพระอาจารย์รูปหนึ่งบอกว่าเพราะไม่อยากให้สับสนวุ่นวาย คิดแค้นเป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน ก็จริงดังท่านว่าข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว

    แต่เรื่องภพภูมิที่ไม่ให้ทราบกันนั้น ข้าพเจ้ายังไม่แจ้งแก่ใจว่าเหตุใด จึงไม่สั่งสอนมนุษย์ด้วยความเป็นจริง ซึ่งน่าจะสำฤทธิ์ผลมากกว่า แม้กระทั่งสัตว์นรกที่ชดใช้กรรมจะได้มีแรงใจอยากทำดี อยากเป็นอย่างเทวดา นางฟ้าบ้าง และหลายสิ่งที่มนุษย์ต้องโต้เถียงกันว่าภพภูมิมีจริงหรือ ชาติหน้ามีจริงไหม พญานาค พญาครุฑเป็นอย่างไรหนอ ผู้กล่าวอ้างว่าเคยล่องสวรรค์ลงนรกใครหนอที่เชื่อได้จริง มิใช่งมงายหลอกลวง เป็นคำถามที่ข้าพเจ้าใครอยากรู้ในกฎของธรรมชาติว่ามีเกณฑ์เยี่ยงไร

    ข้าพเจ้าไม่ใคร่ได้ยินคำตอบนะว่าต้องปฏิบัติเองจึงรู้ เพราะในคำถามของข้าพเจ้านั้นคือ ทำไมไม่ไห้เห็นจะได้เกรงกลัว พยายามเรียนรู้ธรรม และทำแต่ความดี
     
  2. emaN resU

    emaN resU เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    2,944
    ค่าพลัง:
    +3,294
    แต่ทำไมธรรมชาติถึงต้องปิดบังการแบ่งภพภูมิ นรก มนุษย์ สวรรค์ ทำไมถึงไม่ให้เห็น ปะปนสอนกันได้ นั่นน่าจะทำให้ใครหลายๆคนชั่งใจในการทำความดี หรือความเลว ทำไมถึงต้องปิดบัง
    ก็กิจกรรมและหน้าที่แตกต่างกัน
    มีเรื่องที่ต้องทำเพื่อเรียนรู้ชีวิตแตกต่างหลากหลาย
    น้ำฝน น้ำจืด น้ำเค็ม น้ำกร่อย... แต่ละน้ำก็มีคุณสมบัติแตกต่างกัน มีหน้าที่แตกต่างกัน ทั้งที่ก็คือน้ำเหมือนๆกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่รวมกัน เพราะแยกกันแล้วมีประโยชน์ทั่วถึงมากกว่า

    ปลาน้ำจืดก็ไม่รู้จักทะเล ปลาทะเลก็อยู่น้ำจืดไม่ได้ ปลาบางพวกก็อยู่กับน้ำกร่อย
    แม้แต่น้ำก็ยังมีมิติความหนาแน่นในตัวมันเอง แล้วมิติของการเรียนรู้ชีวิตของพลังงานจิต มันจะไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่าเหรอ
    โอดครวญเหมือนอยากให้มีแค่มิติเดียว แล้วจะเรียนรู้เรื่องความแตกต่างกันได้ยังไงล่ะ
    เป็นมนุษย์มีเหงื่อ ยามเหนื่อย... แล้วสิ่งมีชีวิตทีอยู่ในมิติรายละเอียดที่ไม่มีเหงื่อ ไม่มีเหนื่อย จะเข้าใจเรื่องการใช้พละกำลังเสียสละเพื่อผู้อื่นมั๊ยล่ะ (เป็นตัวอย่างงของความแตกต่าง)
    แล้วจะให้เจอกันหมด จะเอาแบบมีเหงื่อหรือไม่มีเหงื่อดีล่ะ ก็อดได้เรียนรู้เรื่องความแตกต่างน่ะสิ แล้วถ้าเลือกแบบไม่มีเหงื่อเหมือนกันหมด จะเสียสละความสุขส่วนตนคือพลกำลัง เพื่อคนอื่นตอนไหน


    แต่เรื่องภพภูมิที่ไม่ให้ทราบกันนั้น ข้าพเจ้ายังไม่แจ้งแก่ใจว่าเหตุใด จึงไม่สั่งสอนมนุษย์ด้วยความเป็นจริง ซึ่งน่าจะสำฤทธิ์ผลมากกว่า
    ทุกวันนี้ทุกชีวิตก็กำลังเรียนรู้อยู่นี่ ไม่มีวันหยุด ไม่มีใครได้หยุดหรอก ทั้งยามหลับและตื่นก็เรียนรู้กันอยู่ เดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง อยู่กับที่ไม่คืบหน้าถอยหลังก็มี แต่นั่นก็คือการเรียนรู้เพื่อเข้าถึงความจริงตามเส้นทางและวิธีการของแต่ละชีวิต เพราะทุกชีวิตมีอิสระในการออกแบบการเรียนรู้ของตนเอง
    จะให้เรียนรู้หรือทำอะไรเหมือนๆกัน มันฟังดูคอมมิวนิสต์เผด็จการไปนิสนึง แล้วจะให้ผลิตสติปัญญาแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มันคงไม่ใช่วิสัยของความเป็นอิสระแน่ๆ

    แม้กระทั่งสัตว์นรกที่ชดใช้กรรมจะได้มีแรงใจอยากทำดี
    เป็นการชาร์จแบ็ตไง

    อยากเป็นอย่างเทวดา นางฟ้าบ้าง และหลายสิ่งที่มนุษย์ต้องโต้เถียงกันว่าภพภูมิมีจริงหรือ ชาติหน้ามีจริงไหม พญานาค พญาครุฑเป็นอย่างไรหนอ
    ความแตกต่างไง... เรียนรู้ความแตกต่าง เรียนบทบาทที่แตกต่าง เรียนรู้ศักยภาพที่แตกต่าง
    คนที่รู้แล้วก็แค่รู้ คนที่เถียงกันมันเรื่องของคนไม่รู้ พอได้รู้... ก็เลิกเถียงเองล่ะ
    จะให้ต้นไม้มันออกลูกมาเป็นผลเลยหรือ
    ให้มันเป็นดอกก่อน แล้วค่อยเป็นผล เป็นผลดิบก่อน แล้วค่อยเป็นผลสุก... เหมาะกว่ามั๊ยสำหรับบทเรียนแห่งการอดทนรอคอย
    ผลไม้ทั้งต้น ต้นเดียวกัน มันยังสุกไม่พร้อมกันเลย

    ผู้กล่าวอ้างว่าเคยล่องสวรรค์ลงนรกใครหนอที่เชื่อได้จริง มิใช่งมงายหลอกลวง เป็นคำถามที่ข้าพเจ้าใครอยากรู้ในกฎของธรรมชาติว่ามีเกณฑ์เยี่ยงไร
    แล้วทำไมต้องเชื่อใคร
    เรียนรู้ ศึกษา สังเกตุ... ถึงเวลาที่ข้อมูลสังเคราะห์ได้ครบถ้วนก็จะเข้าใจด้วยตนเอง
    แค่เชื่อโดยไม่รู้ไม่เข้าใจเหตุผลความเป็นจริง... ก็เรียกว่างมงายแล้ว
    ถ้าไม่รู้ ก็ศึกษาหาความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่มานั่งเลือกว่าจะเชื่อใคร

    เรื่องกฏธรรมชาติ ทุกคนก็กำลังเรียนรู้อยู่แล้ว... อยากเข้าใจเลย มันออกจะมักง่ายไปหน่อย
    มันต้องค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆเข้าใจ ค่อยๆซึมซับความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ

    ข้าพเจ้าไม่ใคร่ได้ยินคำตอบนะว่าต้องปฏิบัติเองจึงรู้
    แล้วจะรู้และเข้าใจด้วยวิธีไหนล่ะครับ ถ้าไม่ด้วยการปฏิบัติของตนเอง
    ฟังเขามาก็แค่รู้... แต่ความเข้าใจมันต้องใช้เวลา เพราะทุกๆอย่างมีรายละเอียดให้เรียนรู้ อยากรู้ก็ต้องลอง ต้องใช้เวลา
    สติปัญญาต้องใช้เวลาสะสม มีเงินหรือความอยากมากแค่ไหนก็ช่วยให้มีสติปัญญาปิ๊งปั๊งขึ้นมาสว่างทั้งหมดเลยไม่ได้

    เพราะในคำถามของข้าพเจ้านั้นคือ ทำไมไม่ไห้เห็นจะได้เกรงกลัว พยายามเรียนรู้ธรรม และทำแต่ความดี
    จะใช้ตาเนื้อเพื่อเข้าใจสรรพสิ่งสรรพชีวิตแบบดู YouTube ไม่ได้แน่ๆ เพราะอย่างน้อย YouTube ก็ไม่มีกลิ่น
     
  3. ตะหลิว

    ตะหลิว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2007
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +96
    ก็กิเลสไงที่ทำให้เราไม่เห็นแจ้งรู้จริง ลองค่อยๆขูดกิเลสออกดูทีละเล็กละน้อยแล้วจะเห็นจะรู้อะไรได้เรื่อยๆ(แต่ไม่ใช่อยากรู้ อยากเห็นนะ เพราะความอยากก็คือตัวกิเลส)
     
  4. wacaholic

    wacaholic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2010
    โพสต์:
    502
    ค่าพลัง:
    +214
    ปล่อย=วาง=ว่าง

    ใครจะชิงใครจะชังมันก็ช่างหัวเขา แค่ตัวเรารู้เราช่างเค้าปะไร



    ใครจะชักใครจะแช่งใครจะแกล้งใครจะหยัน ก็ให้ช่างหัวมันก็ให้ปล่อยเค้าไป


    ใครจะชมใครจะเชิดว่าประเสริฐเลิศหรู ตัวเรารู้เราอยู่ปล่อยเค้าชมไป


    ใครจะรักใครจะเกลียดใครจะเสียด ใครจะสีก็เรารู้ตัวดีปล่อยเค้าทำไป


    ..เกิดเป็นมนุษย์สิ้นสุดแค่ตาย เอาอะไรมากมายในความอนัตตา


    โลภไปทำไมช่วงชิงแข่งขัน สุดท้ายเหมือนกันต้องไปป่าช้า


    เกิดแก่เจ็บตายใยจะไปยึดมั่น สรรพสังขารล้วนอนิจจา


    ปล่อยวางมันเสีย ทุกโขติณณา...


    ใครจะเมินใครจะมองใยจะต้องไหวหวั่น ใครจะใส่ร้ายกันใยจะต้องสนใจ


    ใครจะดีใครจะเลวมันก็เรื่องของเขา ใครจะนินทาเราใยจะต้องทุกข์ใจ


    ใครจะล้อใครจะด่าใยจะต้องว่าตอบ ใครไม่สนใครไม่ชอบใยจะต้องใส่ใจ


    ใครจะคิดใส่ความใยจะต้องวุ่นจิต หากตัวเราไม่ผิดจะไปคิดทำไม...
     
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    จขกท ชี้ตนเองว่า โง่เขลาที่สุด

    แต่ คนโง่เขลา ที่รู้ตัวเองว่าโง่เขลา ตรงนี้ถือว่าเป็นบุคคลน่าสรรเสริญ แต่ขอสงวน
    การสรรเสริญนะ เพราะว่า จขกท อาจจะเผลอพอใจ ทำให้ติดอยู่ตรงนี้ แทนที่จะ
    ผลิกไปสู่คนฉลาดที่รู้ตัวเองว่าฉลาด ซึ่งมันจะดีกว่า

    คนโง่เขลา ที่ไม่รู้ตัวเองว่าโง่เขลา เอาเข้าจริงๆ จะไปตำหนิก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่า
    ยังไม่มีคนฉลาดที่สามารถลงไปโง่เท่ากับเขา แล้วบอกกล่าวให้เขาเห็นธรรมะตามฐานะ
    ที่จะเห็นได้ หากเขาเห็นได้ ก็จะเริ่มผลิกมาสู่ คนโง่ที่รู้ตัวเองว่าโง่ ซึ่งเป็นแนวโน้ม
    ของบัณฑิตในอนาคต


    * * * *

    ที่นี้ เรื่องภพภูมิ เราอย่าไปสำคัญ มั่นหมายลักษณะวิธีการเห็น

    หากเรายึดมั่น ถือมั่น วิธีการเห็น จะทำให้ การเห็นที่มีอยู่แล้วมันถุูกกดทับ

    ปรกติ วิธีการเห็น นกร แล สววรค์ แล พรหม นั้น ไม่จำเป็นต้องใช้
    วิธีเห็นแบบเป็นภาพ หรือ รู้ชัดเหมือนการดูทีวี นี่เราเคยชินกับการดูด้วย
    ทีวีเพื่อข่าวสารความจริงมากเกินไป ความสะดวกสะบายในการเห็นเลยมากด
    ทับ ความเห็นที่มีอยู่แล้ว

    คนที่ทำบุญ ทำทาน รักษาศีล อันนี้ เกิดจาก จิตของคนๆนั้น ระลึกได้
    ในสภาพของ สุคติภูมิ

    คนที่มีเนกขัมมะ ปลีกวิเวก อันนี้ เกิดจาก จิตของคนๆนั้น ระลึกได้ในสภาพ
    ของ พรหมภูมิ

    ที่นี้ จิตไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา มันจึงระลึกได้บ้าง ระลึกไม่ได้บ้าง เพราะ
    ขาดการอบรมเพิ่มเติม

    ยามระลึกได้ในสุคติภูมิ พรหมภูมิ จิตก็ไหลไปสู่คลองทิฏฐิ สุดคติ ทีหนึ่ง ช่วง
    เวลาหนึ่ง ไม่นานก็ปรากฏสภาพไม่เที่ยง สลายไป

    ยามจิตระลึกในสุคติภูมิ หายไป สลายไป ก็เหลี่ยงกลับไปสู ทุคติภูมิ ทีหนึ่ง
    ช่วงเวลาหนึ่ง ไม่นานก็ปรากฏสภาพไม่เที่ยง สลายไป

    ระหว่างที่แกว่งไปแกว่งมา ทั้งสองข้างคือ อัตกลิมัถานุโยค และ กามสุขขัลกลิมัต
    ถานุโยค ก็มี ภพของผู้มีวินัย มีศีลด้วยการครองวินัย คือ ภพมนุษย์ มาคั่น

    ดังนั้น การที่เรา คนใดคนหนึ่ง ได้ภพมนุษย์มาเป็นสมบัติ นั่นก็คือ จิตดวงนั้น
    ระลึกได้ถึง ภพภูมิการภาวนาที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง เพียงแต่ ความตั้งมั่นในการ
    ภาวนายังไม่ดีพอ บารมียังไม่เต็ม ทำให้ เผลอไปก็ไม่รู้ งงก็ไม่รู้ ลังเลก็ไม่รู้
    ฝุ้งซ่านในอรรถในธรรมแล้วก็ไม่รู้ ตกไปสู่การเพลินก็ไม่รู้

    แทนที่จะ "รู้กาย รู้ใจ ด้วยจิตตั้งมั่นเป็นกลาง แลเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์
    เป็นอนัตตาอยู่เป็นประจำ" ในภพภูมิภาวนาชั้นเลิศ(มนุษย์) ไปเนืองๆ เพื่อการ
    เห็นอันยอดเยี่ยมคือ "สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นธรรมดา"

    สรุปคือ

    ไม่ใช่ มุนษย์ถูกปิดบังการเห็น มนุษย์นั้นเปิดตาแลเห็นอยู่เป็นประจำด้วยใจอยู่
    แล้ว เพียงแต่ไม่หมั่นระลึกว่าเห็นเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2011
  6. ๙๙

    ๙๙ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +8
    ภพภูมิต่างๆ คือธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มีอยู่ และดำรงค์อย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ผู้ที่จะเข้าไปสู่ภพภูมิใดๆ ได้นั้น ก็ย่อมที่จะต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัยของตนมาเพื่อความเหมาะสมสำหรับการที่จะไปอุบัติในภพภูมินั้นๆ ดังในปฏิจจสมุปบาท ที่กล่าวว่า...เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ.... หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่า เพราะผู้ที่สร้างอุปาทานนั้นเองเป็นผู้ที่ได้สร้างภพที่ต้องไปอยู่นั้นขึ้น เช่น ได้ทำบุญ ทำทาน สร้างโบสถ์ สร้างวิหารไว้มากเมื่อตอนที่อยู่ในภพมนุษย์ ภายหลังจากตายไปแล้วก็ได้ไปอยู่บนสวรรค์ ในวิมานที่ตนเองนั้นแหละได้สร้างขึ้นไว้ หรือเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ได้ก่อเวรสร้างกรรมไว้มาก ภายหลังจากตายไปก็ย่อมจะต้องไปอยู่ในภพภูมิที่เป็นอบายที่จะต้องเหมาะสมกับวิบากที่เคยก่อขึ้นไว้นั้น เป็นต้น ภพสวรรค์เมื่อถึงเวลาที่จะต้องได้เสวยทิพยสุข ควรหรือผู้ที่สมควรได้รับการเสวยทิพยสุขนั้นจะต้องมามองเห็น มาได้ยิน มาได้กลิ่น หรือแม้กระทั่งมาสัมผัสกับสิ่งที่เป็นของที่น่าเวทนาสยดสยองพองขนน่าสพรึงกลัวอย่างในนรกภูมิ และควรหรือที่ผู้ที่จะต้องชดใช้กรรมของตนเองในนรกภูมิจะสมควรได้เห็นสิ่งที่เป็นทิพย์อันสวยงาม ได้กลิ่นอันหอมสดชื่น หรือแม้แต่จะได้สัมผัสอากาศอันสดชื่นเย็นกำลังดี ไม่ร้อนไปหนาวไปอย่างในภพสวรรค์

    และสุดท้ายก็ควรหรือที่ผู้ที่ได้เกิดมาในภพมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นภพกลางที่จะสามารถบำเพ็ญเพียร สร้างบารมีจะให้บรรลุถึงซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้ พระอรหันต์ก็ได้ ไล่เรียงลงมาจนถึงการสั่งสมทั้งความดีความชั่วเพื่อเป็นเหตุ เป็นปัจจัยในการไปถือกำเนิดในภพใหม่นั้น จะควรที่จะมองเห็นได้ซึ่งทั้งภพสวรรค์หรือภพนรก ในมนุษย์โลกนี้ถือว่าเป็นภพกลาง เป็นภพที่เหมาะสมที่สุดของการกระทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ หาทางออกได้ ซึ่งในภพสวรรค์นั้นจะมีแต่สุขอย่างเดียว ส่วนนรกภูมิก็ทุกข์อยู่เสียอย่างเดียวไม่สามารถที่จะหาทางออกได้นอกจากรอให้หมดบุญหมดกรรมกันอยู่แต่อย่างเดียว

    หากจะกล่าวเรื่องการสั่งสอนนั้น ก็ดังที่กล่าวแล้วในตอนต้นก็คือ ทุกภพทุกภูมินั้นคือธรรมชาติ ไม่ได้มีธาตุรู้มาบังคับกำหนดให้ต้องสอนใครต่อใคร ธรรมชาติไม่มีการแบ่งผิดถูกดีชั่ว ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เขาคือธรรมชาติ แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงอุบัติขึ้นในโลกเรานี้แล้ว พระพุทธองค์ต่างหากที่ทรงนำเอาสัจจธรรมที่ทรงค้นพบได้ด้วยพระองค์เองนั้นแล้วมาตรัสสอน สอนให้คนทำแต่ความดี ละเว้นความชั่ว จนถึงสอนให้สามารถล่วงทุกข์ในสุด และก็ในคำสอนของพระพุทธองค์นี้ ก็ทรงกล่าวชี้ให้เห็นถึงบาป บุญ คุณ โทษ ซึ่งจะเป็นเหตุให้ต้องไปเกิดในภพสวรรค์ หรือนรกภูมิด้วย
     
  7. ผ่อนกรรม

    ผ่อนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +400
    จิตคนยากแท้หยั่งถึงใครจะการันตีได้ว่าเห็นแล้ว รู้แล้วคนจะสำนึกได้

    เคยเห็นตัวโกรธมั้ย(ไอเจ้านี่มีเพื่อนอีก 2 ตัวคือ ตัวโลภกับตัวหลง)

    วูบเดียวที่มันแสดงอำนาจก็แทบไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป(ถึงกับพูดว่าตกนรกก็ยอม ก็เคยได้ยินมาแล้ว)

    ทุกสถานที่ย่อมมีกฏระเบียบ เพื่อให้อยู่กันอย่างสงบ

    มาดูภพภูมิที่เราอยู่และเห็นด้วยตาของเรา เรือนจำหรือคุก(เป็นสถานที่กักกันมีผู้คุมให้ทำนั่นนี่ทุกวันทั้งหนักและเบาตามสิ่งที่เราได้กระทำไม่ว่าฆ่าคน ลักทรัพย์)

    สมมุติเรือนจำเป็นนรกภูมิ ถามว่ามีใครอยากเข้าไปอยู่มั้ย รู้ว่าไม่น่าเข้าไป

    เห็นอยู่ว่าไม่น่าอยู่ แต่ทุกวันนี้คุกเต็ม (เอหรือต้องสร้านรกมาขู่กันไปเลย)catt3
     
  8. พลภัทร Mechanic

    พลภัทร Mechanic Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +41
    ขอขอบคุณในทุกคำตอบของทุกๆท่าน ที่เป็นประโยช์กับข้าพเจ้าในการนำไปพิจรณาเป็นอย่างมาก
    อ่านแล้วให้ชื่นชมในโวหาร คารม การอุปมาอุปมัยของหลายๆท่าน ที่อ่านแล้วกระทบใจเหลือเกิน
     
  9. Kinglondon

    Kinglondon Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +70
    ของบ้างอย่างที่มันไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดได้ คงเป็นเรื่องยากที่ท่านจะอธิบายให้เข้าใจโดยที่ไม่ปฎิบัติ มันต้องปฎิบัติเข้าใจด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง บางครั้งบางอย่างมันก็ทำได้เพียงชี้ช่องทางให้เท่านั้น เรื่องภพภูมิเกิดขึ้นได้ตลอดเวลามันเป็นเรื่องที่เกิดจากการสร้างของจิตตนเอง เรื่องภพภูมิผมชอบคำของท่านพุทธทาสอยู่คำ "ตัวกูของกู" เมื่อมีตัวกูของกู
    ก็มีภพมีชาติอยู่ตลอดไป เมื่อไม่มี ตัวกูของกู ภพภูมิก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสอนต้องอธิบายเรื่องภพภูมิต่างๆ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วท่านพยายามสอนให้ ไม่ให้เกิดภพภูมิ สอนให้ละซึ่งกิเลส สอนให้ทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
    วิธีที่ดีที่สุด คือ หันมาทำสมาธิ ดึงจิตกลับมาพิจารณาที่ตัวตนเอง จะเริ่มจากลมหายใจ เส้นผม
    กระดูก หรืออะไรก็แล้วแต่จริตของตน พิจารณาให้ถี่ถ้วน รู้ว่าลมหายใจมีเข้ามีออก มีสั้นมียาว เส้นผม กระดูก มีเสื่อมมีสลาย นี้เรียกว่าพิจารณาจากกาย ยังมีเรื่องของจิตอีก ที่รับรู้อารมณ์ความรู้สึก เมื่อพิจารณาให้ดี ก็จะรู้ว่า ร่างกายนะ จิตใจ นะ มีเกิดดับตลอดเวลา
    มีภพภูมิเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ตลอด ต้องมีการเปลี่ยนแปลง มีเกิด ตั้งอยู่ แล้วก็ดับหายไป มันง่ายกว่าใกล้ตัวกว่า ที่จะไปอธิบายภพภูมิ สวรรค์ นรก มากกว่าตั้งเยอะ ความกลัวตกนรก กลัวไม่ได้ไปสวรรค์ ไม่ใช่หนทางของพุทธ แต่เมื่อเรารักษาศีล
    มีสมาธิ เกิดปัญญาแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องจะตกนรก แค่ค่อยๆสะสมสติไปเรื่อยๆ ให้มีสมาธิ ไม่ประมาท สักวันก็จะเห็นธรรมด้วยตนเอง
    อนุโมทนา จขกท นะครับ ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 เมษายน 2011
  10. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เรามองไม่เห็น แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีอยู่ ทั้งๆที่มันก็อยู่ของมันเป็น'ปรกติ'ตรงนั้นแหล่ะ ไม่ว่าคุณจะเห็นหรือไม่เห็น สนใจหรือไม่สนใจมันก็ตาม เช่น แบคทีเรียนับล้านๆตัวบนผิวหนังของเรา จะเห็นได้ต้องมีเครื่องมือเช่น กล้องจุลทรรศน์ ภพภูมิก็เหมือนกัน มันก็มีของมันเป็น'ปรกติ'อยู่ตรงนั้นแหล่ะ แต่ตาเนื้อที่จำกัดอยู่แค่สามมิติมันไม่สามารถมองเห็นได้ จำเป็นต้องมี'เครื่องมือ'ที่ช่วยให้มองเห็นได้เช่นกัน ซึ่งคุณก็คงรู้อยู่แล้วว่าคืออะไร ให้เห็นเฉยๆโดยที่ไม่ได้ผ่านการเรียนรู้ ฝึกฝน หรือพยายามอะไรเลย มันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...