" ศรัทธา - ปัญญา "

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย น า ทู รี, 3 ธันวาคม 2012.

  1. น า ทู รี

    น า ทู รี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +164
    หนังสือ " นี่หรือเมืองพุทธ " โดยณัฐพบธรรม หนังสือเล่มนี้ ผู้เขียน บอกเรื่องที่น่าสนใจไว้ว่า
    ..........................................................................

    " ถ้าจะถามว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธหรือไม่ หากเรายึดตามหลักฐานทางราชการ คำตอบก็คือ “ใช่” เพราะคนไทยส่วนใหญ่ระบุไว้ในทะเบียนบ้านว่านับถือศาสนาพุทธ แต่ถ้าเรายึดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก แล้วนำมาใช้เป็นสิ่งประกอบการพิจารณาว่า คนไทยส่วนใหญ่ มีความเชื่อในเรื่องต่าง ๆ อย่างไร และมีพฤติกรรมแบบไหน เหมาะสมกับการเป็นชาวพุทธหรือไม่ คำตอบอาจเปลี่ยนไป และอาจทำให้หลาย ๆ คนเริ่มไม่แน่ใจว่า ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธจริงหรือไม่

    เพราะในปัจจุบัน คนไทยจำนวนมากเชื่อถือในหลาย ๆ เรื่องที่ขัดแย้งกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อาทิ ฤกษ์ยาม ปีชง ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้ง กินเจ ดูดวง ไหว้พระขอพร 9 วัด บูชาวัตถุมงคล ของขลัง ตัดกรรม แก้กรรม สะเดาะเคราะห์ เป็นต้น "


    ณัฐพบธรรม ผู้เขียนหนังสือ นี่หรือเมืองพุทธ กล่าวว่า “เดิมที ผมก็มีชีวิตที่อุดมไปด้วยความเชื่อผิด ๆ เช่นกัน แต่เมื่อได้ลิ้มรสธรรมของพระพุทธเจ้า ทำให้ผมเข้าใจความจริง ว่าอะไรเป็นอะไร ตอนนี้ ผมจึงมีพระรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวอย่างไม่มีวันสั่นคลอน เชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม ทำบุญตามหลักกิริยาวัตถุ 10 อย่างสม่ำเสมอ รักษาศีล พยายามละบาปให้มากที่สุด และหาโอกาสทำบุญอยู่เป็นประจำ

    ทุกวันนี้ ผมเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าเราจะต้องการอะไร หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี เช่น ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต มีการงานที่ดี ฐานะมั่นคง คู่รักดี มีครอบครัวที่อบอุ่น มีมิตรที่จริงใจ มีสุขภาพที่ดี หรืออะไรก็ตาม หากเราทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ชีวิตของเราก็จะมีความเจริญรุ่งเรือง และมีความสุขอย่างที่เราต้องการอย่างแท้จริง”


    ยกตัวอย่างความเชื่อ อย่างเรื่องปีชง ให้ลองคิดดูว่า ในแต่ละปี จะมีปีชงทั้งทางตรงและทางอ้อม อยู่ประมาณ 4 นักษัตร ตามหลักตรรกะ จะเห็นได้ว่า มีความเป็นไปได้สูง ที่คนเกิดปีชง จะประสบเหตุร้าย

    แต่ในความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดปีชง จะประสบเหตุร้ายไปหมด บางคนก็ไม่มีอะไรเลย บางคนกลับดีด้วยซ้ำ ถ้าตรงจริง คนเกิดปีชง ก็ต้องแย่เหมือนกันหมด แต่นี่ไม่ใช่ คนรวยก็ยังคงรวยเหมือนเดิม แม้จะเกิดปีชง สรุปได้ว่า ชีวิตเราไม่ได้เป็นไปตามปีชง แต่เป็นไปตามกรรมที่เราได้ทำ

    พูดถึงเรื่องกรรม บางคนโทษว่าเหตุร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเพราะกรรมเก่า บางคนก็เชื่อว่าจะสามารถแก้กรรม ตัดกรรม ทำให้เรื่องร้าย กลายเป็นเรื่องดีได้ แต่จริง ๆ แล้ว กรรมก็คือการกระทำที่เกิดขึ้นแล้ว เราย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ทุกการกระทำมีผลเกิดขึ้นตามมา ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น อยากให้ทุกคนลองหันกลับมามองดูตัวเองว่าทำอะไรไม่เหมาะสม ทำให้เกิดสิ่งไม่ดี แล้วให้แก้ไขที่ต้นเหตุ

    ถ้าจะพูดถึงเรื่องการทำบุญไหว้เจ้า ไหว้พระขอพร 9 วัด กิจกรรมหลักก็คือ การจุดธูปเทียน ไหว้อธิษฐาน อ้อนวอนขอกับพระพุทธรูป ที่ทำมาจากอิฐ หิน ปูน ทราย บางคนนิยมทำบุญไหว้พระ กับวัดที่มีชื่อเป็นมงคล ให้ลองคิดดูว่า พระ เด็กวัด คนที่อาศัยอยู่รอบวัด คนเหล่านี้อยู่ในวัดตลอด 24 ชั่วโมง ได้ดีทุกคนหรือไม่

    พระไตรปิฎกบอก การอ้อนวอนขอ ไม่มีทางได้ในสิ่งที่ต้องการ ถ้าจะไหว้ให้ได้บุญจริง ต้องไหว้ด้วยความนอบน้อม ทำด้วยจิตที่เป็นกุศล ไม่ใช่จิตอ้อนวอนขออยากได้ หลายคน เวลามีเรื่องทุกข์ใจ หรือหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ มักหันไปพึ่งพาคำแนะนำจากหมอดู

    และวิธียอดนิยม ที่หมอดูใช้ในการดูดวงก็คือ การทำนายจากวันเกิด ซึ่งในพระไตรปิฎก มีตัวอย่างชัดเจนที่แสดงให้เห็นแล้วว่า เราไม่สามารถทำนายอนาคตจากเวลาเกิดได้ เพราะมีผู้ที่เกิดในวันเดียวกับเจ้าชายสิทธัตถะถึง 4 คน คือ พระนางยโสธรา พระอานนท์ พระกาฬุทายี และพระฉันนะ กับม้ากัณฐกะ แต่ทั้งห้าก็มีฐานะที่ไม่เท่ากัน และมีความเป็นอยู่ที่ไม่เหมือนกัน

    ทางด้านครูลิลลี่ พูดถึงเรื่องความเชื่อกับการปฏิบัติว่า “คนส่วนใหญ่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของภาษา ทำบุญต้อง 9 วัด เพราะเลข 9 เป็นเลขมงคล หมายถึงก้าวหน้า หรือความเชื่อที่ว่า ไม่ให้เอามังคุด กับมะไฟไปทำบุญก็เพราะชื่อไม่เป็นมงคลเหมือนกัน เมื่อก่อนก็เคยดู ดวง ฤกษ์ยามเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ดูแล้ว ดูไปก็เท่านั้น เราต้องดูตัวเอง

    ครูสอนลูกศิษย์อยู่เสมอว่า ผลเกิดจากเหตุ อยากได้เกรด ต้องเกิดจากการกระทำ ไม่มีใครช่วยได้นอกจากตัวเราเอง คนไทยส่วนใหญ่ยังคิดว่า การทำบุญเพียงแค่การตักบาตร ถวายสังฆทาน แต่จริง ๆ แล้ว ต้องให้ทาน ศีล ภาวนา ละชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ ศรัทธาต้องคู่กับปัญญา ไม่จำเป็นต้องเข้าวัดทำบุญ แต่ขอให้มีสติอยู่ตลอดเวลา อยู่กับลมหายใจและสติ”

    ..........................................................................

    และหนังสือ " ธรรมะศักดิ์สิทธิ์ " ของท่าน ว. วชิรเมธี มีเนื้อหาที่หักล้างกับความงมงายในเชิงไสยเวทย์ หรือแนวคิดแบบพุทธปนพราหมณ์ ดังนี้

    ..........................................................................


    ตั้งแต่เด็กๆ คนไทยเรา มักถูกสอนให้เชื่อ โดยไม่ต้องสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งจากพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ที่แสดงให้เด็กดูอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และคำกล่าวที่ใช้แก้ตัวความไม่รู้ของผู้ใหญ่ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" เด็กๆ ทุกคน ต่างก็มีแววตาสงสัยใคร่รู้ อยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจ เมื่อเจอคำสอนเช่นนี้เข้าไป เลยต้องเงียบ มองตาปริบๆ สุดท้ายก็ต้องไหลรวมไปกับกระแสความเชื่อของผู้ใหญ่ในที่สุด

    คำถามที่ลงท้ายด้วยคำว่า "ทำไม อย่างไร เพราะอะไร" ของเด็กๆ จึงจมหายไปตามกาลเวลา เมื่อโตขึ้น ก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่เชื่อคนง่าย งมงาย และพร้อมที่จะปลูกฝังความเชื่อนี้ให้กับเด็กรุ่นใหม่ต่อไป

    ถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะเปลี่ยนจาก
    "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" มาเป็น "ไม่เชื่อต้องศึกษา ไม่มีปัญญาต้องเรียนรู้" ตามคำกล่าวของท่าน ว.วชิรเมธี ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ "ธรรมะศักดิ์สิทธิ์" ที่ได้รวบรวมผลงานเขียนของท่านจากหนังสือเล่มต่างๆ ในประเด็นเกี่ยวกับ ความเชื่อ การทำบุญ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และกฎแห่งกรรม เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้เขียนมีเจตนารมณ์แน่วแน่ ที่จะให้เปลี่ยนสังคม จากความเชื่องมงาย มาใช้ปัญญาพิจารณาทุกๆ สิ่ง ที่เกิดขึ้นรอบตัว
     
  2. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    บางเรื่องผมก็เห็นไม่เหมือนกับเขานะ
    อ่านแล้วก็ไม่แน่ใจว่าเขาเขียนหนังสือเล่มนี้มาทำไม
     

แชร์หน้านี้

Loading...