หลวงปู่ดู่กับหลากหลายเรื่องราวเมตตามหาบารมีแห่งมหาโพธิสัตว์

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย 789987, 25 ตุลาคม 2009.

  1. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    [​IMG]

    หลวงปู่ดู่ช่วยชีวิต

    เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๘
    ( หลวงปู่ดู่ มรณภาพล่วงไปแล้ว ๑๕ ปี)
    เป็นเรื่องที่ช่วยให้เห็นถึงความเมตตาของครูบาอาจารย์
    รวมทั้งยืนยันว่าท่านสามารถช่วยเหลือลูกศิษย์ได้
    แม้ท่านจะละสังขารไปแล้วก็ตาม
    น่าเสียดายที่ไม่อาจติดตามสอบถามชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง
    แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยากจะนำมาเรียบเรียงบันทึกไว้เล่าสู่กันฟัง

    เหตุการณ์ นี้เริ่มต้นที่ลูกศิษย์ท่านหนึ่งของหลวงปู่
    ขับรถยนต์ไปชนเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง จนบาดเจ็บอาการสาหัสมาก
    เป็นตายเท่ากัน ลูกศิษย์ผู้นี้ก็กลุ้มใจมาก
    เพราะเกิดมาไม่ประสงค์จะทำบาปทำกรรมกับใคร
    อีกทั้งไม่อยากมีบาปกรรมอันเกิดจากปาณาติบาต
    เขาจึงมาบนหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก ร้องขอให้ท่านช่วยเหลือ
    ให้เด็กหนุ่มผู้นี้อย่าให้ถึงขั้นต้องเสียชีวิตเลย

    เด็กหนุ่มนั้น ครั้งแรกก็เข้ารับการรักษาที่ห้อง ICU โรงพยาบาลในอยุธยา
    แต่เมื่อหมอเอาไม่อยู่ จึงถูกส่งเข้ารักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
    ภายหลังจู่ ๆ อาการกลับฟื้นดีขึ้นอย่างอัศจรรย์
    แล้วก็ได้มีโอกาสตามเพื่อนมาทำบุญที่วัดสะแก โดยที่ไม่รู้จักหลวงปู่มาก่อน

    เด็กหนุ่มผู้นี้ มาทำบุญถวายสังฆทานที่กุฏิพระสายหยุด
    ครั้นเมื่อท่านได้ฟังเรื่องราวของชายผู้นี้แล้ว
    จึงสามารถปะติดปะต่อและเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
    เพราะท่านเองก็ได้ยินเรื่องราวทางฝั่งลูกศิษย์หลวงปู่ผู้ที่เป็นคนขับรถยนต์
    ชนเด็กหนุ่มผู้นี้มาก่อนหน้านี้แล้ว

    เด็กหนุ่มผู้นี้ เมื่อถวายสังฆทานเสร็จก็เหลือบเห็นรูปหลวงปู่ดู่
    ที่ผนังกุฏิของพระสายหยุด
    เขาตกใจตื่นเต้นอุทานว่าหลวงปู่องค์นี้แหละที่ช่วยชีวิตเขาไว้
    หลวงปู่องค์นี้เป็นคนพาดวงวิญญาณของเขากลับเข้าร่าง


    เขาเล่าว่าภายหลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ
    ไม่นาน เขาก็เสียชีวิต แต่ขณะที่วิญญาณของเขาออกจากร่างมา
    ก็มีผู้ชายนุ่งจูงกระเบนด้วยผ้าสีแดง จะมาเอาตัวเขาไป

    ทันใดก็มีหลวงปู่องค์หนึ่งมาขวางไว้
    หลวงปู่ถามเขาว่ารู้จักชายที่นุ่งจูงกระเบนผู้นั้นไหม เขาตอบว่าไม่รู้จัก
    แล้วก็บอกว่าหลวงปู่ช่วยด้วย ๆ
    หลวงปู่ทำท่าโบกมือไล่ครั้งเดียว ชายผู้นั้นก็หายไป

    หลวงปู่ถามเขาอีกว่า ไหนล่ะร่างแก เขาพยายามมอง
    แต่ก็จำไม่ได้ว่าอยู่เตียงไหน หลวงปู่จึงพาเขาไปดูที่เตียงๆ หนึ่ง
    แล้วถามว่า นั่นใช่แกไหมล่ะ เขาเห็นแล้วก็จำได้
    กราบเรียนท่านว่า ใช่ครับ

    จากนั้นท่านก็พาเขาเข้ายังร่างที่นอนหมดลมอยู่บนเตียง
    หลังจากฟื้นขึ้นมา เขาก็อาการดีขึ้นตามลำดับ
    แต่ทว่าเขาต้องสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง
    พอกลับมาบ้านก็มีเพื่อนพามาทำบุญที่วัดสะแก
    จึงได้มารู้ว่าที่แท้หลวงปู่องค์ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ก็คือ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก นั่นเอง

    พระสายหยุดเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
    เสียดายที่ไม่รู้รายละเอียดของเด็กหนุ่มผู้นั้น
    ทราบเพียงคร่าว ๆ ว่าเขาเป็นคนอำเภอภาชี
    ประกอบกับท่านก็ยังไม่ได้พบกับลูกศิษย์หลวงปู่ผู้ที่เป็นคนขับรถชนเด็กหนุ่มนั้นอีก
    แต่ก็แปลกที่เรื่องราวของทั้ง ๒ ฝ่าย
    กลับมาเชื่อมต่อเป็นเรื่องเดียวกันที่กุฏิของท่าน

    พระสายหยุด เล่าเรื่องนี้ด้วยความปลื้มปีติในพลังเมตตาบารมีของหลวงปู่
    ที่แม้ท่านจะละสังขารไปแล้ว
    แต่ก็ยังคงรับทราบและช่วยปัดเป่าความทุกข์ของบรรดาลูกศิษย์
    และสัตว์โลกที่ ประสบทุกข์ทั้งหลาย....


    www.วัดสะแก.com
    www.watsakae.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2009
  2. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    [​IMG]

    หลวงปู่ดู่ช่วยเด็กในครรภ์

    ใน ปี พ.ศ.๒๕๒๙ โยมลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งซึ่งตั้งครรภ์ได้ประมาณ ๖ เดือน
    เริ่มไม่แข็งแรงเพราะต้องทำงานมากเนื่องจากค้าขายดี
    ต่อมาสุขภาพทรุดลงถึงขนาดต้องไปนอนพักที่โรงพยาบาลถึง ๒ ครั้ง
    ครั้งละ ๑๕ วัน และคุณหมอได้สั่งให้หยุดงานเพราะลูกไม่แข็งแรง


    เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ประมาณ ๘ เดือน ก็เกิดอุบัติเหตุหกล้มเข้าอีก
    ผ่านไปได้ ๒ วัน ท้องมีอาการบวม และเธอรู้สึกเจ็บมาก
    ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ และพลันนึกขึ้นได้ว่าลูกไม่ดิ้นมา ๒ วันแล้ว

    สามีของเธอระลึกถึงหลวงปู่ดู่ หวังให้ท่านเป็นที่พึ่ง
    จึงรีบขับรถยนต์ตรงไปวัดสะแกทันที ถึงวัดประมาณ ๔ โมงเย็น
    ซึ่งเวลานั้น มีแต่หลวงปู่ดู่อยู่เพียงองค์เดียว
    เขาได้กราบเรียนให้ท่านฟังถึงเรื่องที่ภรรยาเจ็บท้องไม่สบายมาก
    และลูกในท้อง ไม่ดิ้นแล้ว


    ตลอดเวลาที่เขากราบเรียนท่าน
    เขาสังเกตเห็นว่าหลวงปู่ดู่ท่านไม่ได้มองหน้าเขาเลย
    ท่านกลับมองตรงออกไปเบื้องหน้า โดยไม่กระพริบตาเลย


    จนกระทั่งเขาเล่าเรื่องจบ ท่านก็นั่งนิ่งไปอีกประมาณ ๔
    -๕ วินาที
    แล้วท่านก็บอกว่า
    ไม่เป็นไรให้เอาขวดน้ำมาให้ท่านทำน้ำมนต์ให้
    หลวงปู่ได้เมตตาอธิษฐานค่อนข้างนาน
    เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็สั่งให้ข้าพเจ้ารีบนำน้ำมนต์ไปให้ภรรยาดื่ม
    และกำชับว่าห้ามแวะที่ไหนเด็ดขาด


    เมื่อเขากลับไปถึงบ้านตอนประมาณ ๖ โมงเย็น
    เธอซึ่งนอนภาวนาอยู่ตลอดเวลาได้เล่าว่า
    ช่วงเวลาที่สามีเธอไปถึงวัดสะแก
    ก็รู้สึกว่าในท้องมีเสียงตอดดังตุ๊บขึ้นมา แล้วลูกก็เริ่มดิ้น
    จากนั้นมา ครรภ์ของเธอก็เป็นปกติ
    กระทั่งให้กำเนิดทารกเพศหญิง
    ซึ่งปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี

    ทั้งนี้ ก็ด้วยเมตตาอันหาประมาณมิได้ของหลวงปู่
    ซึ่งครอบครัวนี้ยังคงระลึกถึงพระคุณของหลวงปู่อย่างมิรู้ลืม

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ที่มา : หนังสือตามรอยธรรม ย้ำรอยครู
    เขียนโดย : คุณพรสิทธิ์
    กลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำ

    http://www.oknation.net/blog/loezenith
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2009
  3. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    [​IMG]

    พระสมเด็จของหลวงปู่ดู่
    ....เอาเงินล้านมาแลกก็ไม่ยอม...


    ในสมัยก่อน คำว่าหน้าวัด ก็คือบริเวณท่าน้ำวัดสะแกในสมัยนี้
    เพราะสมัยก่อนเขาสัญจรไปมาทางเรือเป็นหลัก

    เช้าวันหนึ่ง มีชาวบ้านคนหนึ่งมาปฏิบัติภาวนากับหลวงปู่
    (สมัยนั้นเขาเรียกหลวงปู่ว่าหลวงพ่อบ้าง หลวงพี่บ้าง)
    ภาวนาเสร็จ ก็ลากลับไป
    พร้อมกับพระสมเด็จที่หลวงปู่แจกไว้กำนั่งสมาธิ ๑ องค์

    แกก็พกใส่กระเป๋าเสื้อ แต่พอตอนกลับ แกก้มตัวในระหว่างที่จะลงเรือ
    ทำให้องค์พระตกหล่นลงไปในคลอง ไม่สามารถเอาคืนมาได้
    แกไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง ด้วยความเสียดายพระที่ตกลงไปในน้ำ
    แกก็เลยตัดสินใจเดินกลับมาเพื่อจะเอ่ยปากขอพระองค์ใหม่กับหลวงปู่

    พอแกกลับไปที่กุฏิหลวงปู่ กราบหลวงปู่เสร็จ
    ก็แลไปเห็นพระสมเด็จองค์หนึ่งอยู่ในพานข้างตัวหลวงปู่
    แต่ทว่าองค์พระนั้นเปื้อนโคลน
    แกเล่าถวายหลวงปู่ให้ทราบเหตุการณ์
    เสร็จแล้วหลวงปู่ก็ถามว่าใช่องค์ที่อยู่ในพานนี้ไหม

    แกนำมาพิจารณาดูแล้ว ก็จำได้ว่าองค์นี้แหละ
    จึงเรียนหลวงปู่ไปว่าแกมั่นใจว่าเป็นองค์นี้แน่นอน
    หลวงปู่จึงมอบพระคืนให้แกไป

    ชายผู้นั้นนำพระมาอาราธนาพกติดตัวกลับบ้านไปอีกครั้งด้วยจิตใจที่เบิกบาน
    แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าองค์พระเสด็จกลับขึ้นมาได้ยังไง
    ก่อนจะเดินกลับออกไป แกพูดขึ้นว่า "เอาเงินล้านมาแลกก็ไม่ยอม"

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ที่มา : หนังสือตามรอยธรรม ย้ำรอยครู
    เขียนโดย : คุณพรสิทธิ์
    กลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำ
    [/FONT]

    http://www.oknation.net/blog/leozenith
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2009
  4. Starpegasus

    Starpegasus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +826
    อ่านแล้วขนลุกด้วยความปีติ..
     
  5. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    [​IMG]

    ท่านใดเสด็จมากราบหลวงปู่ดู่


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]วันหนึ่ง ทางที่ว่าการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แจ้งมาที่วัดสะแกว่าวันนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]จะเสด็จมากราบนมัสการหลวงปู่ดู่ เป็นการส่วนพระองค์ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คนที่วัดสะแกเมื่อทราบข่าวก็มาแจ้งแก่หลวงปู่

    หลวงปู่บอกว่า "ไม่ใช่พระเทพฯ แต่เป็นพี่สาวเขา"
    คนที่แจ้งแก่หลวงปู่ก็บอกกับเพื่อนว่างานนี้หลวงปู่หน้าแตกแน่ ๆ
    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เพราะผู้ว่าฯ แจ้งด้วยตนเองว่าพระเทพฯ จะเสด็จ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แล้วหลวงปู่ยังจะบอกว่าเป็นพี่สาวเขา

    อย่างที่หลวงปู่เคยบอกไว้ ว่าคนใกล้ท่าน
    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]บางครั้งไม่ใช่เพียงใกล้เกลือกินด่าง [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แต่ท่านว่าใกล้เกลือตีนด่าง คือ เหยียบเอาเลย คอยแต่จะจับผิดท่าน

    พอถึงเวลา รถพระที่นั่งของสมเด็จพระเทพฯ ก็มาถึง
    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดก็เข้าใจผิดเพราะเป็นรถพระที่นั่งของพระเทพฯ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แต่ผู้ที่ประทับนั่งมา กลับเป็นเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ฯ

    พระองค์คงได้รับคำแนะนำจากบุคคลใกล้ชิดว่า
    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีครูบา อาจารย์ที่น่าทำบุญด้วยหลายรูป [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พระองค์ได้ทำบุญและสนทนากับหลวงปู่พักหนึ่ง [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]โดยหลวงปู่ได้ให้ลูกศิษย์ไปนำแหวนและวัตถุมงคลจำนวนหนึ่ง[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มาถวายพระองค์ ก่อนที่พระองค์จะเสด็[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]จไปทำบุญที่วัดอื่นต่อ[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]

    เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่บ่งบอกถึงญาณหยั่งรู้ของหลวงปู่
    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตยจริง ๆ สุดที่พวกเรา ๆ ท่าน ๆ จะรู้ตามได้ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แต่ก็นำมาซึ่งความอัศจรรย์ใจใ[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]นองค์หลวงปู่อย่างมาก

    ที่มา : หนังสือตามรอยธรรม ย้ำรอยครู
    เขียนโดย : คุณพรสิทธิ์
    กลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำ
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2009
  6. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]
    เปลี่ยนร่าง...กันพลาด

    เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๐ ผู้เขียนพร้อมคณะ
    ได้บวชที่วัดพุทไธศวรรย์ ตำบลสำเภาล่ม จ.พระนครศรีอยุธยา


    ครั้งนี้เป็นการลาบวช ๔ เดือน
    ตามระเบียบของข้าราชการก่อนบวช ๑ วัน
    ได้พาคณะไปบวชในกับหลวงปู่
    ซึ่งท่านบอกว่า

    ท่านบวชนาค ไม่ได้บวชพระ
    เพราะท่านไม่ใช่อุปัชฌาย์
    โดยท่านนำกายทิพย์ของพวกเราขอบวชกับพระพุทธเจ้า

    หลังจากนั้นอีก ๑ วัน ได้เข้าพิธีอุปสมบท
    ที่พระอุโบสถวัดพุทไธศวรรย์
    ซึ่งเป็นอารามที่สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง
    กษัตริย์พระองค์แรกของกรุงศรีอยุธยาถวายตำหนักเวียงเหล็ก
    ซึ่งเป็นที่ประทับของพระองค์ ให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา

    บวชเสร็จแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
    มีญาติโยมบางท่านก็มาปฏิบัติด้วย...

    วันหนึ่ง.. ทางบ้านส่งข่าวมาว่า
    บิดาผู้เขียนป่วยหนัก เข้าห้องไอซียู อาการน่าเป็นห่วง
    โอกาสรอดตาย ๑๐%

    ลูกศิษย์ของผู้เขียนคนหนึ่ง ชื่อ ประเสริฐ
    ได้เดินทางไปวัดสะแก เรียนให้หลวงปู่ทราบ
    ท่านบอกว่า

    "อธิษฐาน เอากายทิพย์ของพ่ออาจารย์เขามา
    ข้าจะแผ่เมตตาให้
    ถ้าบุญดีไม่ถึงคราวก็รอด
    ถ้าถึงคราวก็ไปสวรรค์
    เปลี่ยนตัวซะก่อนให้เขามารับบุญไป"

    ประเสริฐก็เดินทางมาบอกผู้เขียน
    ผู้เขียนพร้อมพระหลายๆ องค์ ก็นั่งสมาธิภาวนา
    แผ่เมตตาโดยอ้างเอากุศลที่ได้บวชเรียน ส่งกุศลไปให้บิดา
    ประกอบกับพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อหวล ภูริภัทโท
    ได้ตรวจดูชะตาบอกว่า ยังไม่เป็นไร
    ร่างกายขาดธาตุดิน ให้เอาหญ้าแห้วหมู
    โบราณเรียกว่า "มุดธรณี" ต้มให้กิน
    ผู้เขียนก็ใจชื้นขึ้น แต่ก็ไม่วางใจ

    มีพระลูกศิษย์ที่นั่งมโนมยิทธิ ได้ลงไปที่สำนักพระยายมราช
    เห็นมีรายชื่ออยู่จึงอธิษฐานให้รอดตาย
    ได้ขอให้ท่านรอด จะสร้างพระให้องค์หนึ่ง
    ผู้เขียนรับฟังรายงาน ทำใจเป็นปกติ

    ตอนเช้าขณะออกไปบิณฑบาต
    ได้แวะเข้าไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
    พอเข้าไปเห็นบิดา อาการผิดกับแต่วันก่อน
    คำแรกที่ท่านพูดขึ้นคือ

    "เมื่อคืนมีลิง ๔ ตัว จะมารับพ่อไป
    จู่ๆ มีพญาลิงตัวใหญ่ เข้ามาพาพ่อหนี
    โดยขึ้นไปอยู่บนเจดีย์แห่งหนึ่ง ลอยอยู่บนอากาศ
    พ่อรู้ว่า ไม่ใช่อยู่ในเมืองมนุษย์
    รออยู่จนลิงทั้ง ๔ ตัว กลับไปแล้ว ท่านจึงพาพ่อลงมา
    และท่านพญาลิงยังบอกอีกว่า
    เขาจะมาถึง ๗ วัน
    แต่เมื่อเวลาเขามา จะมาพาพ่อขึ้นมาอยู่บนเจดีย์
    จนกว่าจะพ้นอันตราย พ่อคงไม่เป็นไรแล้ว"

    พวกที่เขาไปเยี่ยมฟังกันอย่างประหลาดใจ
    พ่อยังสำทับอีกว่า

    "จริงๆ นะ ไม่ได้เพ้อเพราะพิษไข้
    อีก ๗ วัน พ่อก็รอดตาย"

    .................[/FONT]

    [​IMG]

    ....๗ วันผ่านไป
    อาการของบิดาผู้เขียนก็ดีขึ้นตามลำดับจนปกติ

    กลับบ้านได้อยู่มาอีก ๒ ปี
    ครั้งนี้เข้าโรงพยาบาล อาการเป็นหนัก
    หมอตรวจว่าเป็นมะเร็งลำไส้
    การรักษาก็ว่าไปตามอาการ
    โดยไปอยู่โรงพยาบาลรามา เกือบ ๒ เดือน

    ในที่สุด หมอก็บอกให้กลับบ้าน
    คือ ให้มาตายที่บ้านดีกว่า
    พ่อก็รบเร้า อยากกลับมาที่บ้านพักในวิทยาเขต
    มากกว่าจะอยู่ที่บ้านฝั่งธน

    ผู้เขียนได้นำท่านกลับมา
    โดยมีผู้มาดูแลทั้งพยาบาล ลูกศิษย์มาช่วยเหลือ
    เพื่อไม่ให้ทรมาน

    จนวันหนึ่ง ผู้เขียนได้ไปนมัสการหลวงปู่ที่วัด
    พร้อมกราบเรียนท่านว่า

    "ผมคิดว่าพ่อคงอยู่ไม่เกินวันเพ็ญเดือน ๑๒ นี้ แล้วครับหลวงพ่อ"

    ท่านตอบว่า

    "ไม่เป็นไรหรอก ถึงเวลา ใครก็ห้ามไม่ได้
    เรามาช่วยกันดีกว่า
    แกเรียกพ่อแกมารับบุญ
    เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวให้เรียบร้อย
    ถึงเวลา จะได้ไม่พลาด
    อย่างไรก็ไปกับบุญกุศล"


    ผู้เขียนซาบซึ้งในพระคุณหลวงปู่
    ตั้งแต่ครั้งช่วยเมื่อพ่อป่วย

    ครั้งนี้ ท่านช่วยสงเคราะห์ให้ไปดี
    ให้ไปสู่สุคติภูมิ ...

    [​IMG]

    แล้ววันนั้นก็มาถึง
    เสียงพยาบาลบอกว่า
    บิดาเกิดอาการขาดออกซิเจนในเลือด
    ผู้เขียนและมารดารีบเข้าไปดู
    พอดีมีคนนั่งสมาธิได้อยู่ ๔ คน
    พยาบาล ๒ คน จับชีพจรซ้ายขวา
    อาจารย์ขวัญเดือน อยู่ที่วิทยาเขตพาณิชย์ จับเท้าซ้าย
    มารดาจับเท้าขวา
    ทุกคนตั้งสติทำจิต
    ผู้เขียนยืนอยู่มองหน้าบิดา แล้วถามว่า

    "พ่อเห็นหลวงปู่ดู่ หรือเปล่า"

    บิดาผู้เขียนซึ่งขณะนี้พูดไม่ได้ แต่มีสติดี พยักหน้า
    ผู้เขียนรีบบอกว่า

    "ไม่ต้องห่วงใคร ไปกับหลวงปู่ ท่านมาพาไปแล้ว"

    บิดาผู้เขียนหลับตา ไม่มีเสียงกระตุกอะไร ค่อยๆ สิ้นลม
    พยาบาลบอกว่า ไม่รู้ว่าไปตั้งแต่ตอนไหน

    เพราะชีพจรละเอียดมาก
    เห็นแต่งตัวสวยงาม...

    คืนนั้นผู้เขียนได้ไปกราบเรียนหลวงปู่
    ท่านบอกว่า



    "เออ ไปดีแล้ว
    โมทนาสาธุ
    แกจะช่วยใคร
    ก็ทำแบบที่ข้าสอนน่ะแหละ
    จำไว้..ได้บุญ


    ช่วยเวลาเป็นก็ได้
    เวลาจะไปก็ได้
    ศัตรูหรือมิตรก็ได้
    เป็นวิชาพระพุทธเจ้า"


    [​IMG]

    ลูกศิษย์ของผู้เขียนปรารภว่า
    จะสร้างพระไว้แจกในงานพระราชทานเพลิงศพบิดา
    ผู้เขียนไม่ขัดข้อง
    เขาได้นำผงพระของหลวงพ่อต่างๆ
    รวมทั้งของหลวงปู่ดู่ผสมกัน
    แล้วนำไปให้พระเถระหลายองค์ปลุกเสก อาทิเช่น
    หลวงพ่อแพ, หลวงพ่อบุดดา, หลวงพ่อเกษม เป็นต้น

    คำรบสุดท้าย ได้นำไปให้หลวงปู่ดู่อธิษฐานจิต
    เสร็จแล้วท่านบอกว่า

    นำไปสร้างพระได้สำเร็จเป็นองค์พระเมื่อไร
    ถือว่าใช้ได้เลย ไม่ต้องนำมาให้ข้าปลุกเสกอีกแล้ว


    ผู้จัดทำได้นำมาพิมพ์เป็นรูปหลวงปู่ทวด คล้ายรุ่นเปิดโลก
    แต่มีแบบเป็นรูปไข่ เมื่อพิมพ์เสร็จเรียบร้อย
    หลวงปู่ดู่ก็มรณะภาพ
    แต่ทุกคนเชื่อมั่นในอมตะวาจาของท่าน
    คือ ไม่ต้องเสกอีกแล้ว

    ผู้เขียนได้นำพระทั้งหมดมาอธิษฐานขอบารมีพระอีกครั้งหนึ่ง
    ตามที่หลวงปู่เคยสอนไว้
    เพราะผู้จัดทำขอร้อง
    ผู้เขียนได้บอกเขาว่า
    หลวงปู่ท่านรับรองว่าดีแล้ว
    แต่ตามประสาปุถุชน มีลูกศิษย์บางท่านยังแคลงใจ
    จึงนำไปให้เกจิอาจารย์ปลุกเสก กันเหนียว

    และสิ่งที่แสดงถึงบารมีหลวงปู่ก็ปรากฎขึ้น...

    ครั้งแรก...
    เขาได้นำไปให้อาจารย์วาด อยู่วัดสะพานสูง

    เชื่อกันว่า ท่านติดต่อได้กับหลวงปู่ทวด ทำพิธีปลุกเสก
    โดยปกติท่านจะใช้เวลาในการเสกประมาณ ๒-๓ ชั่วโมงทุกครั้ง

    หลังจากที่จุดธูปบูชาพระ
    ท่านก็เริ่มอธิษฐานไปได้ไม่ถึง ๒ นาที
    ปรากฎว่าน้ำตาของท่านไหลออกมาไม่ขาดสาย
    ท่านจึงบอกว่า

    "พระรุ่นนี้ครบถ้วนทุกอย่าง
    ดีมาก ทำสำเร็จแล้ว
    เอามาปลุกเสกอีกทำไม
    "

    ครั้งที่ ๒
    ...

    นำไปให้หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม
    ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเงิน เกจิอาจารย์ชื่อดัง

    หลวงพ่อแช่ม เป็นพระที่หลวงปู่แหวนท่านเจอในนิมิต
    และท่านบอกลูกศิษย์ทางภาคกลางที่ไปนมัสการ
    บอกว่ามีพระดีอยู่ที่นครปฐมชื่อ แช่ม

    เมื่อกราบเรียนหลวงพ่อ ขอท่านช่วยปลุกเสก
    ท่านเพียงแต่หยิบน้ำมนต์มาพรม พร้อมกับพูดว่า

    "พระรุ่นนี้สว่างไสวดีมาก
    ใครมีเก็บไว้ ชีวิตจะประสบความรุ่งเรือง
    ไม่ต้องปลุกเสกแล้ว
    "

    สองราย...เพียงพอสำหรับเพิ่มศรัทธา

    เลยไม่มีการนำไปให้องค์ใดปลุกเสกอีกเลย
    ผู้เขียนได้นำมาแจกในงานพระราชทานเพลิง

    นึกถึงหลวงปู่ในความเมตตา
    ช่วยสงเคราะห์ให้ตั้งแต่ตายยันเผาศพ


    สมกับเป็นพระโพธิสัตว์
    ซึ่งเปี่ยมไปด้วยเมตตาบารมีอย่างแท้จริง...


    ที่มา : หนังสือ "ร่มเงาพุทธฉัตร"
    กราบขอบพระคุณ

    อาจารย์ศุภรัตน์ แสงจันทร์ : ผู้เขียน

    http://www.oknation.net/blog/leozenith
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2009
  7. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][​IMG][/FONT]



    อภินิหารลูกแก้วสารพัดนึก
    เรื่องราวของพระที่อยู่ในลูกแก้ว-หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมเป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี ครอบครัวค่อนข้างยากจน มีโอกาสเรียนแค่ประถม 6 ก็ต้องออกจากโรงเรียน โดยเหตุผลว่าเรียนต่อ ม.1 ค่าเทอมและค่าเสื้อผ้ารวมกันแล้วเกือบพันบาท ผมยังจำได้ดีตอนนั้นแม่ผมกอดผมไว้และบอกว่า
    "ลูกเรามันจนอย่าเรียนต่อเลยนะลูก"

    ผมได้ยินแม่พูดถึงกับน้ำตามร่วงอย่างไม่รู้ตัวเพราะสงสารแม่มากเมื่อวานผมเห็นแม่ไปขอเชื่อข้าวสารร้านข้างบ้านมา 1 กิโล ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่าจะไปหางานทำเพื่อหาเงินมาให้แม่ ไม่อยากเห็นแม่ลำบากแบบนี้ผมออกจากโรงเรียนและไปเป็นลูกจ้างล้างจานที่ร้านข้าวแกงมีหน้าที่ยกข้าวแกงไปให้ลูกค้าพอว่างก็ต้องไปล้างจาน ค่าตัววันละยี่สิบบาท ผมทำอยู่นานเจ้าของร้านแกเป็นคนใจบุญบอกว่าผมขยันและอดทนดี

    จึงขึ้นเงินให้เป็นวันละห้าสิบบาทตามปกติเจ้าของร้านที่ผมอยู่ ถ้าวันไหนหยุดแกก็จะไปทำบุญตามวัดต่าง ๆ อยู่เสมอมีอยู่วันหนึ่งขายดีมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนเพียงครึ่งวันก็ขายหมด พอเก็บร้านเสร็จเจ้าของร้านก้บอกว่า วันนี้ขายดีเลิกเร็วไม่รู้จะไปไหน ไปกราบ หลวงพ่อดู่ ที่วัดสะแก ดีกว่า แกเลยชวนผมไปด้วยผมว่างไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน ก็เลยไปกับเขาด้วย

    ไปถึงวัดสะแกประมาณสามโมงเย็น มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อดู่นั่งอยู่กับท่านสองคน เจ้าของร้านเข้าไปถึงก็ก้มลงกราบหลวงพ่อ ผมก็กราบตามเจ้าของร้านพูดทักทายลูกศิษย์ที่อยู่ก่อนแล้วอย่างคุ้นเคยแสดงว่ารู้จักกันมานานแล้ว หลวงพ่อท่านท่าทางเมตตามากท่านยิ้มอย่างอารมณ์ดีและส่งถ้วยที่มีน้ำชาให้ผมและเจ้าของร้าน ท่านมองผมด้วยความเมตตาผมขนลุกขึ้นไปถึงหัวไม่รู้เพราะอะไร ท่านบอกผมว่า
    [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]"กินซะน้ำมนต์"

    ผมก็ยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย พอกินหมดวางถ้วยลงกับพื้นผมรู้สึกสว่างไปทั่ว ตัวเบา ตาดูมองอะไรก็สว่างใสไปหมดทั้งหูก็ได้ยินชัดเจนขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมาจึงนึกไปว่าเราไม่เคยกินน้ำชาบ่อยนักพอมากินเข้าร่างกายถึงสดชื่นเจ้าของร้านคุยกับหลวงพ่อดู่นานมากจนเย็นวันนั้นเขาเช่าพระองค์ละหนึ่งร้อยบ้างสิบบาทยี่สิบบาทก็หลายองค์แหวนวงละสามร้อยบาทถึงห้าองค์

    หลวงพ่อดู่บอกเขาว่าเอาเงินไปใส่ตู้ทำบุญไว้ไม่ต้องเอาให้ท่าน วันนั้นผมไม่ได้พูดกับหลวงพ่อเลยสักคำเจ้าของร้านเห็นว่าเย็นมากแล้วจึงลาหลวงพ่อกลับเขากราบท่านผมจึงกราบตามแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปที่รถ

    ผมก็ลุกขึ้นจะเดินตาม
    เสียงหลวงพ่อพูดว่า "เดี๋ยวก่อนมานี่"
    ผมหันไปตามเสียง
    เห็นท่านยิ้มอย่างเมตตา จึงเข้าไปหาท่านใกล้ ๆ ท่านหยิบลูกกลม ๆ เล็ก ๆสีขาวอมเหลืองให้ผมหนึ่งเม็ด และท่านก็พูดว่า
    [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]"เก็บติดตัวไว้ให้ดีในนั้นมีพระอยู่
    [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]อีกหน่อยจะทำให้แกรอดตายแล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี"

    ผมมองดูเม็ดกลม ๆเล็ก ๆ ที่ท่านให้ก็ไม่เห็นมีพระอะไรอย่างที่ท่านบอกเลยสักองค์
    ท่านคงเห็นผมทำท่าแปลกใจ เลยพูดว่า
    "แกไปได้แล้ว"
    ผมรีบกราบท่านอีกครั้งแล้วรีบวิ่งไปที่รถเพรากลัวเจ้าของร้านจะรอนาน
    ผมขึ้นรถเจ้าของร้านก็ถามว่า"หลวงพ่อท่านเรียกทำไม"
    ผมบอกเขาว่า
    "ท่านให้เม็ดกลม ๆ ผมครับ"

    เจ้าของร้านหันมามองดูสิ่งที่อยู่ในมือของผมแล้วพูดเฮ้ยนี่ของดีหายาก
    "
    พี่มาหาหลวงพ่อหลายครั้งแล้วยังไม่เคยได้เลย เก็บไว้ให้ดีนะโว้ย"
    ผมรับคำว่า
    "ครับพี่"
    หลังจากนั้นนานสักสิบกว่าวัน
    เจ้าของร้านก็ไปหาหลวงพ่อดู่อีก แต่ผมไม่ได้ไปกับเขาด้วยพอเขากลับมาวันรุ่งขึ้นก็บอกผมว่าหลวงพ่อท่านฝากของดีมาให้ผมแกส่งกระดาษให้ผมใบหนึ่ง พอผมเปิดดูในนั้นมีหนังสือเขียนว่า

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิธัมมัง สรณัง คัจฉามิสังฆัง สรณังคัจฉามิ

    ให้ภาวนามาก ๆ ผมนึกกราบท่านในใจผมเป็นเด็กจน ๆ คนหนี่งคิดว่าท่านคงลืมผมไปนานแล้ว แต่นี่ท่านยังเมตตาจำผมได้ และเมตตาให้คำภาวนามาด้วยตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยไปกราบพระที่ไหน พอมาเจอแบบนี้ทำให้ผมเกิดความศรัทธาหลวงพ่อดู่เป็นอย่างมาก ด้วยความศรัทธาท่านผมจึงภาวนา ไตรสรณคมณ์เรื่อยมาผมไปไหนต้องมีลูกกลม ๆที่หลวงพ่อท่านให้ติดตัวอยู่ตลอดเวลา[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ระยะหลังแม่ของผมเริ่มเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้งไปทำงานไม่ไหวผมจึงขอเจ้าของร้านหยุดงานเพื่อพาแม่ไปหาหมอ ผลออกมาว่าแม่ของผมเป็นเบาหวานความดันไขมันในเส้นเลือด และอย่างอื่นด้วย ยาแต่ละอย่างแพงมาก ผมไม่มีเงินซื้อยาดี ๆทางโรงพยาบาลจึงให้ตัวที่ถูก ๆ คือยาที่ไม่มีมาตรฐานผมเสียใจที่ตนเองไม่มีปัญญารักษาแม่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำยังไงถึงจะมีเงินซื้อยาดี ๆ ให้แม่ก่อนออกจากบ้านเช้ามืดของทุกวันผมจะยกลูกกลม ๆที่แขวนอยู่ในคอขึ้นมาพนมและภาวนาไตรสรณคมณ์ทุกวัน เช้านี้ไม่เหมือนกับทุกเช้าพอผมภาวนาไตรสรณคมณ์จบก็อธิษฐานว่า

    "หลวงพ่อดู่ครับผมขอเงินมาซื้อยารักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ"

    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][​IMG][/FONT]​


    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และก็ออกไปทำงานตามปกติตอนสาย ๆ ของวันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ผมพอจำได้ว่านาน ๆ หลาย ๆเดือนจะมากินข้าวแกงสักครั้ง ก็มานั่งกินอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เพราะผมไม่ทันสังเกตุ ผมจึงตักน้ำแข็งใส่แก้วและเดินไปให้เขาตามปกติเหมือนทุกครั้งพอเขาเห็นผมก็พูดว่า"มาทีไรเจอทุกครั้งเลยขยันจังนะ"ผมยิ้มรับในคำทักทายของเขา แล้วพูดว่า"ถ้าไม่มาทำงานเดี๋ยวไม่มีข้าวกินครับ"

    เขาก็พูดว่า "เออพูดตรงดี พี่ชอบว่ะ แบบนี้ไปทำงานกับพี่ไหม"ผมถามเขาว่า"งานอะไรครับ"เขาบอกว่า"งานอยู่เรือดูดแร่ เงินดีนะน้อง"ผมถามต่อว่า "ดีของพี่ได้เดือนละเท่าไหร่ครับ" เขาตอบทันทีว่า"เป็นหมื่น"พอได้ยินคำว่าเป็นหมื่น ผมถึงกับตาโตเลยทีเดียวผมเริ่มสนใจมาก

    ถามต่อว่า"ไปทำที่ไหนพี่"ชายผู้นั้นบอกว่า"จังหวัดภูเก็ต"ผมทวนคำพูดว่าภูเก็ตและนึกว่าแม่กำลังไม่สบายจะทิ้งแม่ไปได้อย่างไร แต่ถ้าได้ไปก็จะมีเงินมาซื้อยาดี ๆรักษาแม่ ชายผู้นั้นคงเห็นผมยืนคิดอยู่นาน ชายผู้นั้นจึงพูดขึ้นว่า"อาทิตย์หน้าพี่ถึงจะไปภูเก็ตอีกสองสามวันจะมากินข้าวใหม่น้องลองกลับไปคิดดูแล้วค่อยบอกพี่"แล้วเขาก็เดินออกจากร้านไปผมมองดูชายคนนั้นเดินจากไปจนลับสายตา

    เย็นนั้นผมกลับถึงบ้านก็นึกถึงแต่เรื่องอยากไปทำงานที่ภูเก็ตคืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืน วันต่อมาผมกำลังเอายาให้แม่กินแม่คงสังเกตเห็นผมผิดปกติเลยถามว่า"ไปมีเรื่องอะไรกับเขาหรือเปล่า เป็นอะไรแปลก ๆ ไป"

    ผมจึงเล่าให้แม่ฟังทั้งหมด แม่ก็พูดว่า"เรื่องแค่นี้เองลูกอยากไปไหมล่ะ ไม่ต้องห่วงแม่หรอกแม่อยู่ได้"ผมบอกแม่ว่า"อยากรักษาแม่ให้หาย ถ้าผมมีเงินก็จะได้ไปซื้อยาทีดี ๆมาให้แม่กินครับ"แม่บอกว่า"ตามใจแกถ้าอยากไปทำงานแม่ก็ตามใจ"แม่กอดผมและพูดขึ้นว่า"แม่รักลูกนะ"ผมน้ำตาไหลและกอดแม่แน่นบอกว่า"ผมก็รักแม่ครับ"และเราสองคนก็ร้องไห้

    วันรุ่งขึ้นผมไปทำงานตามแบบทุกวันพอตอนเย็นเลิกร้านแล้ว ผมก็เข้าไปหาเจ้าของร้านบอกว่าผมขอลาออก เขาท่าทางตกใจพูดว่า"อยู่กันมาตั้งนานไม่สบายใจมีอะไรบอกพี่ได้นะ"ผมจึงเล่าเรื่องแม่ไม่สบายผมอยากได้เงินไปรักษาแม่ ให้เจ้าของร้านฟังจนหมดเขาพูดเสียงดังว่า"ให้มันได้อย่างนี้ เองทำถูกแล้วละจะไปเมื่อไหร่"ผมตอบว่า"อีกสองสามวันครับ"เขาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงควักเงินออกมานับน่าจะเป็นสองถึงสามหมื่นแล้วส่งให้ผม บอกว่า

    "เอาไปพี่ให้"ผมงงบอกกับเจ้าของร้านว่า"ผมไม่รบกวนยืมเงินพี่หรอกครับถ้าเอาไปคงไม่มีปัญญามีเงินมาใช้คืนพี่""เอ็งกับพี่นับถือหลวงพ่อองค์เดียวกันเท่ากับเราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันเหมือนพี่เหมือนน้อง ต้องช่วยเหลือกันถึงจะถูกเงินนี้พี่ไม่ได้ให้ยืมแต่พี่ช่วยโดยไม่ต้องเอามาคืน"ผมเกรงใจเจ้าของร้านมากเขาเป็นคนใจบุญมีเมตตาและยังมีน้ำใจต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากอีกผมก้มลงกราบเขาเพราะไม่มีอะไรจะตอบแทนความดีของเขา

    และนึกในใจว่าขอให้พี่จงเจริญ ๆวันต่อมาชายผู้นั้นก็มากินข้าวแกง พอเขาเห็นผมก็ถามว่า"คิดได้หรือยัง"ผมตอบว่า"ไปครับ"เขาพูดว่า"เออดีไม่เสียแรงที่ชวน"ผมนัดกับเขาถึงวันที่จะออกเดินทาง เมื่อรู้วันเดินทางแล้วผมก็ไปบอกกับแม่และให้เงินแม่เก็บไว้หาหมอรักษาตัวระหว่งที่ผมไปทำงานผมบอกแม่ว่า"ได้เงินเดือนเมื่อไหร่ผมจะรีบส่งมาให้แม่ทุกเดือน"ผมนำเงินติดตัวไปแค่หนึ่งพันบาทเป็นค่ารถและในที่สุดผมได้ไปขุดทองที่ภูเก็ตเหมือนกับเวลาที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันสมัยก่อนว่าใครไปทำงานขุดพลอยเมืองจันทบุรี หรือไปทำแร่ภาคใต้เท่ากับไปขุดทองแต่สิ่งที่มีคุณอนันต์ตรงกันข้ามก็จะมีโทษมหันต์เหมือนกันไปร่ำรวยกันมาก็มากพากันไปตายมาก็เยอะผมนั่งรถไปใจก็คิดว่าเราจะไปแล้วรวยหรือไปตายก็ยังไม่รู้ คิดไปคิดมายิ่งสับสนผมจึงคิดว่าตายเป็นตาย ผมต้องหาเงินรักษาแม่ให้ได้มือก็กำลูกกลม ๆ ของหลวงพ่อดู่และอธิษฐานว่า

    "เรือลำไหนที่ดีเจ้าของเป็นคนดีมีเมตตาอยู่แล้วจะมีเงินมากหรือร่ำรวยขอให้ผมได้ไปอยู่กับผู้นั้นด้วยเถิดสาธุ"

    และผมก็ไปถึงจุดหมายปลายทางที่นั่นเป็นท่าเรือใหญ่ผู้คนมองดูพลุกพล่านคุยกันเสียงดังอย่างไม่มีใครเกรงใจกันบางกลุ่มก็คุยภาษาอีสานบางพวกก็พูดใต้มีคนส่วนน้อยที่พูดภาษาภาคกลางที่นี่มีคนจากหลายจังหวัดหลายพ่อหลายแม่น้อยคนที่จะมองดูแล้วบอกได้ว่าเป็นคนสุภาพแทบจะหาไม่เจอเลยทีเดียวส่วนมากจะท่าทางนักเลง บางคนก็ตัวดำยังไม่พอแถมยังสักยันต์เต็มตัวมองดูแล้วไม่น่าไว้ใจ หรือที่เขาเรียกกันว่าน่ากลัว ผมเดินตามพี่คนที่พาผมไปทำงานเขาบอกว่าตัวเราชื่อโก๋ พี่โก๋ เดินนำหน้าผมเดินตามเดินผ่านวงเหล้าที่นั่งกินกันเป็นกลุ่ม ๆบางคนหันมาเห็นพี่โก๋ก็ร้องทักว่า

    "เฮ้ยมากินเหล้าด้วยกันโว้ยไอ้โก๋"พี่โก๋ก็จะตอบว่า"พวกมึงกินกันเถอะ วันนี้กูยังไม่อยากเมา"พอมาถึงที่พักซึ่งเป็นเหมือนห้องแถวประมาณสิบกว่าห้อง ตรงกลางมีลานกว้างประมาณ 7-8เมตร มีโต๊ะหินสองตัวต่อกันคนนั่งได้สักสิบกว่าคนสบายมาก ที่ตรงนั้นมีผู้ชายกลุ่มใหญ่นั่งกินเหล้ากันอยู่พอเห็นผมกับพี่โก๋ ก็ร้องทักว่า"พี่โก๋พาใครมาด้วยละ"พี่โก๋บอกว่า"น้องชายมันชื่อตั้ม"

    ในกลุ่มนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งท่าทางคงเมามากแล้วพูดว่า"หน้ามันอ่อนอย่างนี้มึงจะพามันเล่นลิเกหรือว่ะไอ้โก๋""กูจะพามันมาทำงานกับนายเค้า ไม่ได้มาเล่นลิเกแบบมึงว่าหรอก"เสียงชายคนเก่าพูดว่า"ไอ้โก๋มึงยังกวนตีนเหมือนเดิมนะไม่ได้เห็นหน้ากันเสียหลายวัน"พี่โก๋พูด"กูยังเหมือนเดิม"แล้วแกก็พาผมไปพักห้องเดียวกับแก"มึงอยู่กับพี่ที่นี่แหละพี่อยู่คนเดียวห้องมันใหญ่ไปจะได้มีเพื่อนคุยถ้ามึงไปอยู่คนเดียวไอ้พวกเหี้ยมันเยอะเดี๋ยวไม่มีคนดูแลจะเกิดเรื่อง"[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เช้าของวันต่อมา พี่โก๋พาผมไปยังบ้านหลังหนึ่งใหญ่โตมากมีคนมาเปิดประตูรั้วบ้านให้เราสองคนเข้าไปในบ้าน มีผู้ชายตัวใหญ่ดำสักมังกรพันแขนใส่กางเกงตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ อยู่ที่โต๊ะทำงาน พอเห็นพี่โก๋ก็พูดว่า"เป็นยังไงกลับบ้านซะหลายวันพี่นึกว่าอาทิตย์หน้ามึงถึงจะกลับมาเรือมันขาดคนทำงานไม่ได้ดีเลยวะ"

    ตัวดำใหญ่ผมคิดว่าแกคงน่ากลัวแต่ที่ไหนได้แกพูดจายิ้มแย้มอารมณ์ดีท่าทางใจดีอีกต่างหากชายเจ้าของบ้านถามพี่โก๋ว่า"แล้วพาใครมาด้วยละ"แกตอบ"น้องครับพี่ผมจะเอามันมาฝากให้ทำงานกับพี่ครับ""รูปมันหล่อหน้ามันอ่อนจะทำงานไหวหรือวะโก๋""พี่ก็ให้งานเบา ๆ ให้มันทำก็ได้"

    เป็นอันว่าผมได้งานทำในห้องนั้นที่โต๊ะรับแขกมีผู้หญิงแต่งชุดนักศึกษานั่งเขียนหนังสืออยู่สามคนมุมโต๊ะมีจานขนมและผลไม้วางอยู่ พวกเธอมองผมและก็ยิ้มให้ ผมยิ้มตอบพี่โก๋ลาชายเจ้าของบ้าน ผมก็ยกมือไหว้เขาและพากันกลับยังที่พักตอนหลังผมมารู้ว่าผู้หญิงสามคนนั้นคนหนึ่งเป็นหลานสาวของเจ้านายอีกสองคนเป็นเพื่อนของเธอ เรื่องมันยาวครับผมขอเล่าเรื่องที่สำคัญดีกวาเดือนต่อมาผมได้เงินเดือน พอได้ก็รีบส่งไปให้แม่ เงินประมาณหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือนผมให้แม่เกือบหมด เหลือไว้บางเดือนก็ห้าหกร้อยบาทเท่านั้นก็พอใช้เพระผมไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่

    คนอื่นเขาได้เงินมาก็ไปกินเที่ยวกันแต่ผมไม่ไปเพราะไม่ชอบที่นั้นมีทุกอย่างทั้งเหล้า การพนัน ผู้หญิงเพราะเรือแร่ขึ้นทีคนงานจะมีเงินกันเป็นจำนวนมากบางคนก็ไปสิบห้าวันจะได้เงินประมาณสามหมื่นบางคนงานเบาเป็นคนถือสายน้ำฉีดแร่ก็จะได้ประมาณหมื่อนแปดพันหรือสองหมื่นคนที่ถือสาย่อดูดแร่ลงไปใต้น้ำเสี่ยงชีวิตมากก็จะได้เงินมากกว่าอื่นเป็นเท่าตัวมีคนมากมายที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่นฆ่ากันตายก้เยอะลงไปดูดแร่เกิดเรื่องต่าง ๆ ตายกันไปจนนับไม่ถ้วนที่นั่นไม่มีใครสนใจใครเพราะเป็นที่ไกลปืนเที่ยง ฆ่ากันตายบ่อยมากพอตายตำรวจมาตรวจดูศพแล้วก็ไปโดยมาเอาผิดกับใครไม่ได้อาจจะเป็นเพราะตำรวจไม่ค่อยในใจ เพราะคนมาอยู่รวมกันมาก ๆ เป็นร้อยพ่อพันธ์แม่ยากแก่การดูแล มีทั้งดีและชั่วปนกันไป ผมมาอยู่ตั้งแต่ตัวยังไม่โตนัก ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ตัวเล็กเอวบางร่างน้อย

    คนอื่นดูแล้วว่าท่าทางไม่แข็งแรงเราออกเรือจะใช้เวลาไปกลับสิบห้าวันเจ้าของเรือตั้งเป้าของน้ำหนักแร่ไว้ว่าถ้าได้ 1,000 กิโลเมื่อไหร่ก็กลับได้เลย แต่ถ้าสิบห้าวันแล้วยังได้แร่ไม่ถึง 1,000 กิโลต้องกลับเหมือนกันเพระอาหารและน้ำดื่มที่เตรียมไปพอแค่สิบห้าวันสิบห้าวันถ้าได้แร่ 700-800 กิโล ลูกเรือก็จะได้เงินน้อยแต่ถ้าได้แร่ถึง 1,000 กิโลคนถือท่อดูดแร่ที่ลงไปใต้น้ำจะได้เงินประมาณ 30,000 บาทคนฉีดน้ำบนเรือจะได้เงินประมาณ 20,000 บาท ถ้าเป็นผมจะได้ 10,000 บาท

    แต่ต่อมาผมได้เงินมากกว่าคนอื่นเสียอีกด้วยเหตุผลว่าพี่เจ้าของเรือแกชอบผมมากเขามีเรืออยู่หลายลำ แต่ลำที่ผมอยู่เจ้าของเรือไปคุมด้วยตัวเอง แกเคยบอกผมว่าครั้งไหนที่ผมไม่สบายและไม่ได้ไปด้วยต้องไปนานจนครบสิบห้าวันทุกครั้งเลยแต่ถ้าผมไปด้วยอย่างมากก็แค่ 7 วันก็ได้แร่ถึง 1,000 กิโล และบางครั้งก็ห้าวันก็มีบางหนสามวันยังมีเลย

    "พี่สังเกตเห็นแกเวลาที่เรือจะออกจากฝั่งจะยกสิ่งที่แขวนคอซึ่งเป็นเม็ดกลมๆ เล็ก ขึ้นมายกมือพนมแล้วว่าคาถาอะไรไม่รู้ แต่คาถาของเองนี่ขลังจริง ๆ ว่ะพี่นับถือ"ตอนหลังถ้าผมไม่สบาย แกบอกว่าไม่ต้องหยุดงานไปนอนในเรือแต่ไม่ต้องทำงานก็ได้ แต่แกแบ่งเงินให้เหมือนเดิมแกว่า"แค่เองไปด้วยพี่ก็ได้กลับเร็วกว่าปกติตั้งเยอะ"ผมมาอยู่กับพี่เขานี่ก็สามปีแล้วผมโตเป็นหนุ่มเต็มตัวตอนนี้ไม่ได้เงินน้อยแล้วคนที่ลงถือท่ออยู่ใต้น้ำถ้าเขาได้เงิน 30,000 บาท ผมก็จะได้เงินถึง 40,000 บาทเลยทีเดียว

    ซึ่งผมไม่ได้มีคาถาอะไรอย่างที่เขาว่าหรอกเพียงแต่เวลาจะออกเรือผมก็จะยกลูกกลม ๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาแล้วอธิษฐานว่า
    "ขอให้ผมปลอดภัยได้เงินมา เพื่อเอาไปรักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ"

    ออกเรือทีไรลำอื่นไม่ได้แร่กัน แต่ลำที่ผมไปกับได้มากและกลับเร็วกว่าลำอื่นเสมอเจ้าของเรือจึงรักผมมากบอกว่าอยู่กันแล้วเจริญรุ่งเรืองคนแบบนี้หายากผมโชคดีทั้งเรื่องงานและความรัก หลานสาวของเจ้าของเรือ
    เธอก็มารักผมด้วยไม่เพียงแค่นั้นเพื่อนรักของเธอทั้งสองคนก็รักผมเหมือนกันจึงทำให้ผมเลือกไม่ถูกว่าคนไหนดี เธอทั้งสามคนเป็นคนสวยและน่ารักมากผมเคยบอกกับเธอทีละคนว่าบ้านผมที่จังหวัดสิงห์บุรีหลังเล็กเพราะครอบครัวของผมยากจนเธอบอกว่าจน ๆ แหละชอบ แค่เห็นผมครั้งแรกที่ผมมาสมัครงานกับพี่โก๋คืนนั้นกลับไปนอนไม่ค่อยหลับเลย

    ผมนึกในใจอะไรจะขนาดนั้น อยู่มาไม่นานนักพวกชายหนุ่มที่หลงรักพวกเธอแต่ผมไม่รู้ว่าคนไหนเพราะมีผู้ชายมาจีบพวกเธอมากมายหลายคน ส่วนมากจะรวย ๆกันทั้งนั้น
    [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และ วันนั้นก็มากถึงผมจะต้องจำไปตลอดชีวิตอย่างไม่มีวันลืมเลยทีเดียวผมออกเรือ ไปดูดแร่ตามปกติแต่ครั้งนี้เจ้าของเรือไม่ได้ไปด้วยเพระเขามีธุระสำคัญต้อง ไปทำออกเรือไปเป็นวันที่สี่ได้แร่ประมาณ 800-900 กิโลแล้ว จะกลับอีกสองวันนี่แหละคืนนั้นอากาศดีดาวเต็มท้องฟ้า

    ผม ยืนคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ท้ายเรือได้ยินเสียงคนเดินมาข้างหลังจึงหันไปดูก็เห็นลูกเรือด้วยกันแต่ วันนี้เขาไม่ได้มาอย่างมิตรในมือเขาถือปืนมาด้วย พอเขารู้ว่าผมเห็นเขา ก็ยกปืนในมือมายิงผม มีเสียงดัง ปั้งปั้ง ปั้ง เป็นระยะ ๆ คมกระสุนปืนพุ่งเข้าหาผมทุกนัดอย่างแม่นยำตัวผมกระเด็นตกจากเรือ ตอนนั้นผมตกใจยังทำอะไรไม่ถูก หล่นไปในน้ำมันก็มืดผมมองไม่เห็นตัวเองได้แต่เอามือลูบ ๆ ดูว่าแผลถูกยิงตรงไหนบ้างแต่น่าแปลกตัวผมไม่มีบาดแผลสักแห่งเดียวแต่ผมต้อง ลอยคออยู่ในทะเลจนถึงเช้าและมีคนที่อยู่เรือลำอื่นมาช่วยและพาขึ้นฝั่งตอน หลังผมมารู้ว่าผู้ชายที่หลงรักผู้หญิงที่มารักผมจ้างลูกเรือที่อยู่เรือลำ เดียวกับผมเป็นเงิน 50,000 บาท เพื่อฆ่าผมทิ้งกลางทะเล[/FONT]



    [​IMG]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]
    [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตอนที่ผมถูกยิงผมจำได้ว่าผมเห็นพระพุทธรูป
    เหมือนกับองค์ที่อยู่ที่วัดหน้าพระเมรุในพระอุโบสถ

    จำได้ดีว่าเป็นพระมหาจักรพรรดิมาลอยอยู่ข้างหน้าของผม
    กระสุนปืนทั้งหมดทะลุผ่านองค์พระมหาจักรพรรดิ
    แล้วถึงมาโดนตัวผมด้วยอำนาจของพระพุทธคุณนี้เอง
    จึงทำให้ลูกกระสุนปืนทุกนัดไม่ระคายผิวของผม[/FONT]



    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ทำให้ผมนึกไปถึงตอนที่ หลวงพ่อดู่ ท่านมอบลูกกลม ๆ ให้ผมและท่านบอกว่ามีพระอยู่ในนั้นหลายปีที่ผ่านมาผมมองดูทีไร ไม่เคยเห็นพระที่ท่านบอกสักองค์มาเห็นพระตอนที่ผมถูกยิงนี่เอง ดีที่ผมจำคำสอนของหลวงพ่อดู่ได้ตลอดไม่เคยลืมคำว่า
    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ
    และภาวนาอยู่ทุกวัน ถ้าไม่มีพุทธัง ธัมมัง สังฆัง ผมคงตายไปแล้ว

    ผมรอดตายโดยไม่มีบาดแผลไม่สามารถเอามือปืนและคนว่าจ้างมาลงโทษได้ตามกฏหมาย ทั้งตำรวจก็ไม่สนใจในเรื่องคดีเพราะคนที่ว่าจ้างเป็นลูกของผู้มีอิทธิพลใน พื้นที่ผมไม่ตายยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นให้กับคนที่ว่าจ้างคนมาฆ่าผมหลายเดือนผ่านไปเมื่อเขารู้ว่ากระสุนปืนไม่อาจฆ่าผมได้จึงเปลี่ยนวิธิใหม่เขาไปจ้างหมออิสลามหรือที่เรียกกันว่าหมอแขกเพระพวกนี้มีวิชาอาคมเข้มขลังมากสามารถทำคุณไสยให้คนตายมามากต่อมาก ที่นั่นคนอยู่เรือเขาไม่นิยมใส่รองเท้ากันเพราะเวลาเดินบนเรือมันจะลื่นง่ายเลยเป็นเรื่องไม่ยากนักที่เขาจะให้คนแอบมาเอารอยเท้าของผมไปทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มนต์ดำ

    ช่วงนั้นผมคงกำลังดวงตก อยุ่ ๆ เชือกแขวนพระขาดเลยยังหาเชือกใหม่ไม่ได้ผมเก็บลูกกลม ๆ ของหลวงพ่อดู่ไว้หัวนอนรุ่งเช้าก็ลืมนำติดตัวไปด้วยเที่ยวนั้นเรือดูดแร่ออกไปได้เพียงวันเดียวผมก็ปวดท้องอย่างแรงจนพี่เจ้าของเรือจะเอาเรือเข้าฝั่ง ผมบอกว่าอย่าเลยพี่เดี๋ยวนอนพักก็หายแต่ไม่เป็นอย่างนั้นผมเริ่มปวดจากท้องแต่เดี๋ยวก็ปวดหัวจนลูกตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าตาหนักเข้าไม่หัวอย่างเดียว ในที่สุดก็ปวดไปทั้งตัว แม้แต่กระดูกยังปวดคิดในใจว่าจะรอดหรือเปล่ากลางคืนนอนก็ฝันเห็นแต่ฝีปีศาจจะมาเอาชีวิตบางครั้งเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่นฝีแขกใส่หมวกแบบอิสลามมาบังคับให้ผมเอาเชือกมาผูกคอผมไม่ยอมทำตามมันก็บอกว่าให้ไปโดดทะเล ผมนอนดิ้นไปดิ้นมาปวดทรมานไปทั้งตัวผีเข้ามาบังคับจะเอาชีวิตอีก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนหลังมันมากันเป็นสิบ ๆ ตัวมันพูดว่ามึงต้องตาย บางตัวก็จับแขนกดเอาไว้อีกตัวก็กดขา ไอ้ตัวดำสูงใหญ่เข้ามาบีบคอจนผมเริ่มหายใจไม่ออกตอนนั้นผมร้องไห้คิดถึงแม่คิดว่าคงไม่ได้กลับไปเห็นหน้าแม่อีกแล้วครั้งนี้ต้องตายแน่นอน

    มีเสียงหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่าเป็นเสียงของหลวงพ่อดู่
    ท่านพูดว่า
    พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พอผมได้ยินหลวงพ่อท่านบอก
    ผมก็ตั้งจิตภาวนาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมังสรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

    ก็มีรัศมีเป็นแสงสว่างหลายสีพุ่งออกมาจากตัวผมรอบตัว
    ทำให้แสงรัศมีนั้นโดนปีศาจทุกตัวมันร้องอย่างเจ็บปวด
    แสงสว่างนั้นกลายเป็นไฟเผาพวกปีศาจทั้งหมด
    ละลายไปกับอากาศ
    ผมเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นกราบหลวงพ่อดู่ ใจก็บอกตัวเองว่ารอดตายแล้ว

    คืนนั้นผมไม่ยอมนอน ผมนั่งสมาธิทั้งคืนจนเช้าประมาณแปดโมงเช้ามีเรือผ่านมาจะเข้าฝั่ง เจ้าของเรือที่ผมอยู่ รีบเรียกเรือลำนั้นผมนอนอยู่ใต้ท้องเรือได้ยินเสียงเขาชัดเจน เขาบอกคนคุมเรือลำนั้นว่า"น้องกูไม่สบายฝากเข้าฝั่งด้วย"แกรักและเป็นห่วงผมแบบน้องชาย

    พอเรือเข้าถึงฝั่งผมรีบตรงไปยังห้องพักแทนที่จะไปหาหมอถึงห้องก็ไปที่หัวนอนหยิบลูกกลม ๆ ยกมือพนมพระ ถึงหลวงพ่อดู่ ตั้งนะโมสามจบแล้วภาวนาไตรสรณคมณ์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ เท่านั้นผมอ้วกออกมาเป็นน้ำสีเหลือง ๆ เหม็นไปทั่วบริเวณนั้นสิ่งที่ออกมามันเหมือนกับน้ำเหลืองผีอย่างไงอย่างนั้นเลยทีเดียวพออ๊วกเสร็จผมรู้สึกร่างกายเบาสบายสดชื่นเหมือนไม่เคยเจ็บปวดมาเลยทั้งที่เมื่อคืนผมปวดไปทั้งตัว ครั้งนี้ถ้าไม่ได้อำนาจของไตรสรณคมณ์ผมจะเป็นอย่างไรอาจจะไม่รอดก็ได้ใครจะรู้
    [/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตอนหลังผมมารู้ชื่อของลูกกลมๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาว่าชื่อ ลูกแก้วสารพัดนึก
    ภูเก็ตที่ผมไปอยู่ตรงนั้นเขาเรียกว่าท่านุ่น สมัยนั้นยังเป็นดินแดนป่าเถื่อนหรือที่เรียกว่า ไกลปืนเที่ยงแต่ผมก็รอดชีวิตมาได้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกโดนยิง แต่กระสุนปืนไม่อาจระคายผิวของผมครั้งสองโดนคุณไสยมนต์ดำของหมอแขก แต่ก็รอดมาอีกไปอยู่ที่ไหนก็จะมีคนดีคอยช่วยเหลือ รักใคร่เมตตาโชคลาภทั้งทรัพย์สินเงินทองก็ได้มาจากการทำกิน

    จะไปทำอะไรอาชีพเดียวกับคนอื่นคนอื่นเขาทำแล้วไม่ค่อยได้ดี แต่พอผมทำก็จะเจริญและร่ำรวยอย่างผิดหูผิดตาทั้งผู้หญิงดี ๆ ก็มารักผมหลายคน ผมเป็นคนที่ไม่ชอบแต่งตัวทองสลึงเดียวก็ไม่เคยมีติดตัว ใส่เสื้อผ้าถูก ๆแต่ผู้หญิงกลับมาชอบอย่างมากมายหลายคนเงินทองทั้งหมดที่ได้มา ผมส่งไปให้แม่หมดเหลือไว้ใช้เพียง 500-600 บาทต่อเดือนเท่านั้น ชีวิตของผมดีขึ้นเรื่อย ๆหลายปีผ่านไปเดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นเศรษฐีมีเงินทองมากมายทั้งเป็นเจ้าของเรือดูดแร่อีกหลายลำแต่ผมไม่เคยลืมตัวยังแขวนลูกแก้วสารพัดนึกอยู่ในคอตลอดเวลา

    ผมจำได้ตอนที่หลวงพ่อดู่ให้ลูกแก้วสารพัดนึกท่านบอกว่า
    "เก็บติดตัวไว้ให้ดีในนั้นมีพระอยู่อีกหน่อยจะทำให้แกรอดตาย แล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี"

    คำพูดของหลวงพ่อดู่
    ท่านศักดิ์สิทธิ์ เป็นจริงทุกคำผมอยู่ที่ภูเก็ตนานจึงมีเพื่อนมากเคยมีเพื่อนคนหนึ่งมันชอบสะสมพระดัง ๆที่มีราคาแพงมาก ๆ มันถามผมว่า"มึงเป็นเถ้าแก่ใหญ่เงินทองมากมายทำไมเอาลูกอมกลม ๆ มาแขวนคอลูกเดียววะ ไม่หาสมเด็จวัดระฆังมาแขวนคอสักองค์"ผมตอบมันว่า

    "พระสมเด็จน่ะดีต้องคนมีบุญมีวาสนาถึงจะได้มีไว้ครอบครอง
    สำหรับกูลูกกลม
    ๆ นี่แหละดีที่สุดแล้ว มึงรู้ไว้เลยนะที่กูมีวันนี้ได้ก็เพราะลูกกลม ๆนี้แหละ"[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2009
  8. 789987

    789987 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +11,476

    [​IMG]

    บทเรียน บทแรก

    หากย้อนระลึกถึงหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ในความทรงจำของข้าพเจ้านั้น
    ข้าพเจ้าได้มากราบนมัสการหลวงปู่เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๖
    ด้วยการชักชวนของเพื่อนกัลยาณมิตร
    จากนั้นไม่นาน บทเรียนบทแรกที่หลวงปู่ได้เมตตาสอนลูกศิษย์ขี้สงสัย
    ก็ได้เริ่มขึ้นเหมือนเป็นปฐมบทแห่งการเริ่มต้นที่ท่านรับข้าพเจ้าไว้เป็นลูกศิษย์


    มีเหตุการณ์ที่ประทับใจข้าพเจ้าในช่วงแรกจากการได้มากราบหลวงปู่
    อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งศรัทธา
    ซึ่งต่อมาภายหลังได้กลายเป็น...อจลศรัทธา
    ศรัทธาที่แน่วแน่นมั่นคง ต่อองค์หลวงปู่ของข้าพเจ้า คือ
    ข้าพเจ้าได้บูชาพระพุทธรูปแก้วใส ปางสมาธิ
    จากตลาดพระที่วัดราชนัดดา กรุงเทพฯ มาหนึ่งองค์
    และได้นำมาที่วัดสะแก ให้หลวงปู่ช่วยแผ่เมตตาอธิษฐานจิต
    เพื่อนำไปสักการะบูชาเป็นพระพุทธรูปประจำบ้าน


    หลวงปู่ดู่ท่านประนมมือไหว้พระและยกพระพุทธรูปขึ้นมา
    จับองค์พระของข้าพเจ้าแล้วหลับตานิ่งสักครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้นมา
    ท่านบอกให้ข้าพเจ้านำสองมือมาจับที่ฐานของพระพุทธรูป
    ซึ่งปิดทองคำเปลวโดยรอบ ท่านให้ข้าพเจ้าหลับตา...


    สักครู่ท่านถามข้าพเจ้าว่าเห็นอะไรไหม
    ข้าพเจ้าเห็นพระพุทธรูปอยู่เบื้องหน้า แต่ข้าพเจ้านิ่งไม่ตอบอะไรท่าน
    เนื่องจากตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมาในชีวิต ยังไม่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้
    จึงไม่ทราบว่า..."เห็น" ในความหมายของหลวงปู่นั้นหมายถึง "เห็นอย่างไร"
    และชัดเจนขนาดไหนที่เรียกว่า..."เห็น" ของท่าน


    สักครู่ท่านจึงพูดย้ำกับข้าพเจ้าว่า

    "แกเห็นพระพุทธรูปแล้วนี่ ดูเสียที่นี่
    จะได้หายสงสัยว่าข้าให้อะไรแก
    กลับบ้านแกจะได้ไม่สงสัย
    เป็นพระยืน เดิน นั่ง หรือว่านอน"


    "ยืนครับ" ข้าพเจ้าตอบท่าน

    "เออ! ข้าโมทนาสาธุด้วย
    ที่ข้าให้เป็นพระประจำวันเกิดของแก เอาไปบูชาให้ดี"
    ท่านตอบ

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ศิษย์ขี้สงสัยอย่างข้าพเจ้ามีหรือจะไม่อดที่จะสงสัยต่อ
    ยามว่างทั้งในเวลากลางวันหรือกลางคืน
    ข้าพเจ้าจะมานั่งมองดูพระพุทธรูป
    เอาสองมือประคองจับที่ฐานขององค์พระ...หลับตา...ทำสมาธิ...
    ด้วยความอยากดู ...อยากรู้อยากเห็นองค์พระอย่างที่ท่านเคยทำให้ข้าพเจ้าเห็น


    วันแล้ววันเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า...อนิจจา...
    เวลาผ่านไป ๑ สัปดาห์... ๑ เดือน... ๒ เดือน... ๓ เดือนก็แล้ว
    ยังไม่มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะได้เห็นองค์พระ
    ที่ท่านทำให้ข้าพเจ้าดูที่วัดสะแกเช่นวันนั้นอีกเลย...


    ...จวบจนกระทั่งหลายเดือนต่อมา
    ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมากราบนมัสการหลวงปู่อีก
    จึงได้เรียนถามท่านว่า ทำไมเมื่อข้าพเจ้ากลับไปบ้านแล้วลองจับพระอีก
    จับจนทองคำเปลวที่ปิดฐานขององค์พระซีดเป็นรอยมือ
    ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นแม้สักครั้งเดียว
    หลวงปู่ยิ้มก่อนตอบข้าพเจ้าด้วยความเมตตาว่า
    "ทำจนหายอยากแหละแก ข้าทำมาก่อนแล้ว"

    ข้าพเจ้ากลับมานั่งคิดทบทวนอยู่หลายครั้ง
    ความชัดเจนในคำตอบของหลวงปู่จึงค่อยๆ กระจ่างขึ้นเป็นลำดับ
    ... ต้องเริ่มที่ความอยากเสียก่อน จึงคิดที่จะทำ
    แต่ถ้าทำด้วยความอยาก ก็จะไม่สำเร็จ
    เมื่อความอยากหมดไปเมื่อไร เมื่อนั้นจึงจะพบของจริง


    กุญแจคำตอบสำหรับ...บทเรียนบทแรกของการเรียนธรรมะจากท่าน
    ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้ว่า
    ท่านได้ใช้กุศโลบายให้ข้าพเจ้าจดจำรูปพรรณสัณฐานขององค์พระพุทธรูปให้ได้
    หลังจากที่ได้ใช้เวลาบวกกับ...ความอยากอยู่เป็นเวลาหลายเดือน
    ข้าพเจ้าจึงเริ่มได้ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ
    จากการเพ่งมององค์พระจนเกิดเป็นภาพติดตา...ติดใจในที่สุด
    เป็นการสอนการภาวนาในภาคสมถธรรม
    พร้อมกับแนะวิธีวางอารมณ์พระกรรมฐานของหลวงปู่
    สำหรับข้าพเจ้าอย่างเยี่ยมยอดทีเดียว...


    ที่มา : ๑๐๑ ปี หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...