เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 11 ธันวาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,414
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,414
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ด้วยความที่ทำแต่งาน เมื่อเลิกงานใจก็จดจ่ออยู่กับการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน จึงไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันหยุดชดเชย เมื่อเดินทางไปหาหมอบริเวณโรงพยาบาลกลาง กระผม/อาตมภาพก็ยังสงสัยว่าทำไมวันนี้รถไม่ติด ? สามารถไปถึงเร็วมาก ไปปล่อยไก่ที่โรงพยาบาลกลาง เพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าวันนี้เป็นวันหยุดชดเชยวันรัฐธรรมนูญ

    ระหว่างที่รับการรักษาอยู่ ก็ได้คุยกับคุณหมอหลายเรื่องด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องการไปสักการะพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วที่ประเทศศรีลังกา คุณหมอปรารภว่า คนศรีลังกาเคารพพระพุทธศาสนามาก ถอดรองเท้าตั้งแต่หน้าประตูวัด ถ้าเข้าวัดก็ต้องแต่งชุดขาวไปกันทุกคน

    กระผม/อาตมภาพก็เพิ่มเติมให้ว่า แม้แต่โรงเรียน ถ้าหากว่าเป็นวันพระ เด็กนักเรียนทุกคนก็ต้องแต่งชุดขาวไปโรงเรียน ไม่ว่าคุณจะเป็นชาติใด ภาษาใด นับถือศาสนาใดก็ตาม ถ้าหากว่าเรียนอยู่ในโรงเรียนที่ประเทศศรีลังกา คุณก็ต้องแต่งชุดขาวไปโรงเรียนในวันพระเท่านั้น

    เมื่อมาเปรียบเทียบกับทางประเทศลาวและประเทศพม่า ประเทศพม่านั้น เนื่องจากว่าพระสงฆ์ของพม่าเป็นผู้นำในการเรียกร้องเอกราชคืนจากประเทศอังกฤษ จนกระทั่งได้เอกราชคืนมา พระสงฆ์จึงมีสถานะที่สูงส่งมากในประเทศพม่า เหมือนอย่างกับเป็นเจ้านาย ซึ่งไปตรงกับบาลีที่ว่า สงฺฆสฺสาหสฺมิ ทาโสว สงฺโฆ เม สามิกิสฺสโร คือ "ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นใหญ่เหนือข้าพเจ้า" อีกส่วนหนึ่งก็คือทางประเทศลาวก็เช่นกัน ว่าผู้คนโดยเฉพาะผู้หญิงจะต้องนุ่งซิ่นไปวัด นุ่งซิ่นใส่บาตร หรือว่ามีการถอดรองเท้าตั้งแต่หน้าประตูวัดเช่นกัน

    คุณหมอยังปรารภว่า ที่บ้านของตนนั้น ในช่วงที่ยังเด็กอยู่ ขนาดพ่อแม่ที่เป็นคนจีนแท้ ๆ เมื่อเจอกับพระสงฆ์เดินมา ก็ต้องนั่งลงข้างทางแล้วพนมมือไหว้ กระผม/อาตมภาพบอกว่า ทางทองผาภูมิก็ยังเป็นเช่นนี้ พี่น้องมอญพม่า ถ้าหากว่าพบพระ ก็จะหลีกลงข้างทาง ถ้าหากว่าเป็นผู้ชายหลีกลงข้างทางอย่างเดียว ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะหลีกลงข้างทาง นั่งลง แล้วพนมมือไหว้เช่นกัน

    เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ก็เป็นการห่างจากคุณงามความดี เพราะว่ากระแสทางโลกแรงกว่า เนื่องจากว่าถ้านับความเจริญทางวัตถุ เรามีมากกว่าประเทศลาวและประเทศพม่า แต่ว่าในเรื่องความเจริญทางจิตใจนั้น เมื่อบุคคลหันเข้าไปหาวัตถุมากขึ้น ก็ย่อมห่างจากวัดวาอาราม ประกอบกับเราโดนยกบทเรียนเกี่ยวกับหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมออกจากการศึกษาของเด็ก ยกโรงเรียนออกจากวัด จึงทำให้เด็กค่อนข้างที่จะห่างจากวัด ห่างจากศีลธรรม ไม่เห็นประโยชน์ในการเข้าวัดอีก จึงทำให้บุคคลที่เข้าวัด บางทีก็ถูกมองดูว่าแปลกแยกจากสังคม..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,414
    เรื่องพวกนี้ก็ได้แต่ปรารภในลักษณะของคนแก่ที่โหยหาอดีตเท่านั้น แต่ว่าถ้าอดีตเหล่านี้สามารถคืนมาได้ ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะมีความเจริญทางด้านจิตใจ ควบคู่กับไปความเจริญทางด้านวัตถุ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีเลิศที่สุด

    ถ้าทุกคนสังเกตจะเห็นว่า ขณะนี้ชาวยุโรปชาวอเมริกันจำนวนมาก วิ่งเข้าหาวัฒนธรรมและศาสนาแบบตะวันออก โดยเฉพาะศาสนาพุทธ แล้วคนไทยเรา ตลอดจนกระทั่งคนทางตะวันออก กลับไปวิ่งไขว่คว้าความเจริญทางตะวันตกที่ห่างเหินศาสนาออกไปทุกวัน กลายเป็นงูกินหาง เขาเห็นสิ่งที่ดี ซึ่งเรามีอยู่และอยากได้ ถึงขนาดเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมา เพื่อศึกษาไขว่คว้าไปเป็นสมบัติของตน แต่ว่าคนไทยเรากลับไปไขว่คว้าเอาความเจริญที่ห่างศีลห่างธรรมมาแทน เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอยู่เหมือนกัน

    อีกเรื่องหนึ่งก็คือ มีผู้ปรารภว่าทำไมท่านอาจารย์ไพศาล แสนไชย ซึ่งสามารถติดต่อกับทางโลกทิพย์ได้ แล้วสิ่งที่ท่านอาจารย์ไพศาลมาบอกมากล่าวนั้น ต่างไปจากสิ่งที่หลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญก็ดี หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงก็ตาม หรือแม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพบอกกล่าวไป ลักษณะ สถานที่ การแต่งกาย ไม่เหมือนกับที่ท่านอาจารย์ไพศาลบอกกล่าวมา ?

    กระผม/อาตมภาพเคยสงสัยเองมาแล้ว ว่าทำไมสิ่งที่เห็นมาจึงไม่เหมือนกัน เมื่อกราบเรียนสอบถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า "เมื่อตอนที่สามารถไปเที่ยวนรก เที่ยวสวรรค์ได้ใหม่ ๆ ข้าขึ้นไปไหว้พระที่จุฬามณี เห็นเป็นแค่เจดีย์ปูนเท่านั้น..!" เมื่อเรียนถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นละครับ ? ท่านบอกว่า "ความสะอาดในจิตใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน บุคคลที่ยิ่งจิตใจสะอาดมากเท่าไร การรู้เห็นก็ละเอียดลึกซึ้งมากเท่านั้น สามารถที่จะเห็นมากกว่าบุคคลที่สภาพจิตยังหยาบอยู่"

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่บุคคลทั่วไปซึ่งยังเป็นปุถุชน คลุกคลีอยู่กับชีวิตทางโลก ๆ แม้ว่าจะสามารถไปรู้ไปเห็นสิ่งต่าง ๆ ในโลกทิพย์ได้ ก็มักจะรู้เห็นในลักษณะที่ค่อนข้างหยาบ คล้ายคลึงกับโลกมนุษย์นี่เอง แต่ถ้าหากว่าสภาพจิตละเอียดมากขึ้น การเข้าถึงธรรมมีมากขึ้น ก็จะสามารถรู้เห็นละเอียดมากขึ้น มีรายละเอียดมากขึ้นไปเอง

    อีกส่วนหนึ่งก็คือ บางท่านก็สงสัยว่า ทำไมไปยังสวรรค์เช่นกัน แต่มาบอกกล่าวไม่เหมือนกัน ? เพราะว่าสิ่งที่ท่านอาจารย์ไพศาล แสนไชยไป ที่เรียกว่าแดนสัคคังโลกังนั้น เป็นภาษาบาลี สัคคะ ก็คือ สวรรค์ โลกัง ก็คือ โลก แปลตรง ๆ ว่า โลกสวรรค์ นั่นเอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,414
    กระผม/อาตมภาพเองก็เคยสงสัยมาก่อนเช่นกัน เมื่อกราบเรียนถามท่านปู่พระอินทร์ ท่านก็บอกว่า "โลกเราทั้งใบ ถ้าเอาหย่อนลงไปในสวรรค์ชั้นหนึ่ง ก็เหมือนกับเอาถั่วเม็ดเดียวใส่ลงไปในเข่งใบใหญ่ ดังนั้น..ถ้าหากว่าเปรียบทางในโลก ๆ แค่กรุงเทพมหานคร คนหนึ่งไปถึงกรุงเทพฯ ทางด้านบางแค อีกคนหนึ่งเข้าถึงกรุงเทพฯ ทางด้านบางนา อีกคนหนึ่งเข้าถึงกรุงเทพฯ ทางด้านดอนเมือง ทั้งสามคนนี้ ถ้าเอามาบอกเล่ากันแล้ว จะเหมือนกันหรือไม่ ?"

    กระผม/อาตมภาพก็ "ถึงบางอ้อ" ตอนนั้นเอง ว่าสิ่งที่ท่านปู่พระอินทร์บอกกล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริงอย่างยิ่ง เพราะว่าวินาทีแรกที่กระผม/อาตมภาพไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ก็ไม่ได้เจอจอมเทวดาในชุดลิเกที่รูปร่างเขียวเหมือนหยกหรือว่าเหมือนแก้วมรกต หากแต่เจอลุงกำนันอ้วนพุงปลิ้น ใส่กางเกงขาสามส่วน มีผ้าข้าวม้าพาดบ่า นั่งสูบบุหรี่มวนโตเกือบเท่าข้อมือ..!

    เมื่อกระผม/อาตมภาพไปยืนงง ๆ จ้องท่านว่า "นี่หรือพระอินทร์ ?" ท่านก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วถามว่า "แกอยากเห็นแบบไหนล่ะ ?" แล้วภายในไม่กี่วินาทีก็เปลี่ยนให้เห็นเป็นร้อย ๆ แบบ จนมาในแบบสุดท้ายที่เราเคยชิน ก็คือเหมือนอย่างกับเป็นกายแก้ว แต่งชุดลิเก แล้วมีมหามงกุฎที่บนยอด มีแก้วสีเขียวเม็ดใหญ่ ซึ่งแผ่ประกายลงมาแล้ว ทำให้ร่างกายของท่านพลอยมีสีเขียวไปด้วย

    กระผม/อาตมภาพก็เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนั้นเองว่า ในแต่ละคน แต่ละท่านที่ขึ้นไปนั้น ถ้าหากว่ามีกรรม มีความผูกพันกันต่าง ๆ ไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การรู้เห็นของเราอย่างหนึ่ง ความผูกพันที่มีแต่อดีตมาอย่างหนึ่ง ท่านก็จะแสดงให้เห็นต่างกันไป กระผม/อาตมภาพขึ้นไปในฐานะลูกหลาน ท่านก็มาแบบลุงกำนัน
    บ้านนอกใจดีเลย แต่ว่าบุคคลอื่นไป อาจจะเห็นท่านเต็มบุญเต็มบารมีก็เป็นได้ เหล่านี้เป็นต้น

    ท่านทั้งหลายถ้าหากว่าสงสัย อย่าได้ลืมเคล็ดลับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ได้กล่าวเอาไว้ ก็คือ "ขอบารมีพระสงเคราะห์ให้เรารู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง" ถ้าหากว่าเราถือเคล็ดลับตรงนี้แน่นแฟ้น ก็จะสามารถรู้เห็นได้ชัดเจน แบบเดียวกับที่มองผ่านสายตาของพระอริยเจ้าระดับพระอรหันต์ขึ้นไป ก็คือชัดเจนเหมือนกับตาเห็น เต็มบุญเต็มบารมีของท่าน สิ่งที่เรารู้เห็นตามความเป็นจริง ก็จะสามารถบอกกล่าวรายละเอียด
    ได้มากกว่าผู้อื่น หรือว่าเห็นได้เต็มบุญเต็มบารมีมากกว่าผู้อื่น
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,414
    อีกเรื่องหนึ่งที่กล่าวถึงก็คือเรื่องของเด็กชายใบบุญ ซึ่งขอพ่อแม่บวชเพื่อพระนิพพาน โดยที่ใบบุญนั้นมีพี่ชายบวชเป็นสามเณรอยู่แล้ว พ่อแม่ก็คิดว่าลูกเห็นพี่บวชอยู่ก็อยากบวชบ้าง แต่ลูกกลับตอบว่า "ลูกเกิดมากี่ชาติลูกก็ทุกข์ เพราะว่าต้องมาเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่เด็กทารกทุกที จึงอยากที่จะบวชเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน หลุดพ้นจากกองทุกข์นี้เสียที..!"

    เรื่องพวกนี้ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มักจะไม่เชื่อ คิดว่าเป็นเรื่องของเด็กที่พูดเพ้อไปตามประสาเด็ก แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องของบุคคลที่สั่งสมบุญบารมีมา เรียกว่าปุพเพกตปุญญตา คือมีบุญที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน ทำให้สามารถระลึกถึงคุณงามความดีเดิม ๆ ของเขาได้ ถ้าหากว่าใบบุญสามารถที่จะบวช แล้วรักษาความเป็นสามเณรและความเป็นพระเอาไว้ได้ เชื่อว่าจะมีการปฏิบัติธรรมที่เจริญก้าวหน้า และกลายเป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนาในโอกาสข้างหน้า

    เรื่องนี้ก็ต้องแล้วแต่บุญแล้วแต่บารมีว่า เด็กชายใบบุญนั้นเคยอำนวยความสะดวกให้ผู้อื่นมามากน้อยเท่าไร ถ้าเคยอำนวยความสะดวกให้ผู้อื่นมามาก ชาตินี้การขอบรรพชาอุปสมบทจากพ่อแม่ก็จะเป็นไปโดยง่าย แต่ถ้าหากว่าเคยขัดขวางคนอื่น หรือว่าไม่เคยอำนวยความสะดวกแก่คนอื่นมา ก็อาจจะมีข้อขัดข้อง จนกระทั่งไปถึงระยะเวลาอีกรอบของวาระบุญ จึงจะสามารถที่จะบวชได้

    ก็ได้แต่เอาใจช่วยว่าให้ใบบุญสามารถที่จะบวชได้ และรักษาความเป็นเณรเป็นพระได้สมบูรณ์ สมกับความตั้งใจของบุคคลที่จะบวชเพื่อพระนิพพานด้วยเถิด

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...