เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 มิถุนายน 2025 at 20:36.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,311
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +26,649
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,311
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +26,649
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศยามเช้าที่นี่อยู่ที่ ๑๕ องศาเซลเซียส โรงแรมเปิดห้องอาหารตรงเวลาเป๊ะ ก็คือ ๐๖.๔๕ น. ทำเอากระผม/อาตมภาพ โยมสุ (นางศุภากาญจน์ หว่อง) น้องไก่ (นางสาวโสภา ตั้งอธิคม) ต้องมานั่งกันตามขั้นบันไดเพื่อรอเวลา เนื่องจากว่าทางห้องอาหารเอากุญแจตัวเท่าบ้านเท่าตึก น่าจะประมาณเอาไว้ล็อครถจักรยานยนต์ ทำการคล้องประตูเอาไว้

    อีกไม่นาน น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ก็พาพี่มุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) มาร่วมชะตากรรมด้วย จากนั้น คุณนายสมหวัง (นางสมหวัง งามพฤกษ์วานิชย์) ก็พาลูกสาว คือหมอมุก (นางสาวรุจิรา งามพฤกษ์วานิชย์) มาเข้าร่วมแก๊งกิน "แห้ว" ด้วยกัน..!

    จนกระทั่งเวลา ๐๖.๔๕ น. ตรงเป๊ะ ทางเจ้าหน้าที่ห้องอาหารจึงได้ถอดกุญแจตัวยักษ์ออก ปล่อยให้พวกเราเข้าไปตักอาหารได้ โชคดีที่ว่ามีคณะคนจีนมาพักอยู่แค่ไม่กี่คน ถ้ามีคนจีนจำนวนมากแล้วเปิดตรงเวลาแบบนี้ มีหวังพวกเราโดนทุบ โดนถอง โดนเบียด โดนกระแทก จนแทบจะหาอะไรลงท้องไม่ได้อย่างแน่นอน..!

    เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว กระผม/อาตมภาพก็นำกระเป๋าไปขึ้นรถ พลขับคนขยันของเรานำรถมารออยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ? แล้วก็พาพวกเราวิ่งตรงไปยังเมืองตุนหวง ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ต้องใช้เวลาช่วงเช้าทั้งเช้านั้นเลย โดยที่คุณโบตั๋นบอกว่าขอแวะห้องน้ำครั้งเดียว เพราะว่าต้องการที่จะทำเวลา ซึ่งพวกเราก็เห็นด้วย

    เพิ่งวิ่งออกจากเมืองเจียยวี่กวนไปได้ไม่ถึงกิโลเมตร บรรยากาศก็กลายเป็นทะเลทรายไปแล้ว ทางด้านคุณโบตั๋นบอกว่าทะเลทรายนั้นมีหลายแบบ เหมาเกอปี้นั้น เป็นทะเลทรายที่มีหญ้าขึ้นอยู่ได้บ้าง ส่วนเฮยเกอปี้นั้น จะเป็นทะเลที่มีแต่ทรายอย่างเดียว และออกเป็นสีเทา ๆ ด้วย ไม่เหมือนกับหวงเกอปี้ ที่ทรายจะออกไปทางสีเหลืองทอง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,311
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +26,649
    พวกเรานั่งคุยกันสารพัดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พวกเราวิ่งทับเส้นทางสายไหมมาโดยตลอด ว่านี่เป็นเส้นเลือดของประเทศจีนโบราณ เพราะว่าการค้าขาย ตลอดจนกระทั่งศิลปะวัฒนธรรมและศาสนาต่าง ๆ ก็เข้าสู่ประเทศจีนเส้นทางนี้ทั้งสิ้น เมื่อคุณโบตั๋นนึกภาษาไทยไม่ออก พวกเราก็ช่วยกันบอก ช่วยกันเติม ส่วนถ้าหากว่าข้อมูลตรงไหนขาดตกบกพร่อง กระผม/อาตมภาพก็ต้องทำหน้าที่มัคคุเทศก์สำรอง ให้ข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มเติมให้กับพวกเราทุกคน ซึ่งกระผม/อาตมภาพทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่วันแรกแล้ว..!

    การเดินทางนั้นยิ่งไกลออกไป ทะเลทรายก็ยิ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตามากขึ้น รถที่วิ่งอยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นรถบรรทุกบ้าง รถหัวลากบ้าง มีทั้ง ๑๘ ล้อ ๒๒ ล้อ บรรทุกสารพัดสินค้า ทั้งไปกับเรา ก็คือเป็นขาขึ้นเมืองตุนหวง และที่สวนทางกับเรา ก็นำสินค้าจากตุนหวงเข้ามาในตัวเมืองใหญ่ พวกเราได้แวะกันที่เมืองปู้หลงจี๋ ถ้าหากว่าออกเสียงผิดก็ขออภัยด้วย เข้าห้องน้ำที่ทำได้ดีเลิศประเสริฐศรีมาก เพียงแต่ว่าคนขับกรำงานมาหลายชั่วโมง จึงต้องขอพักตามกฎหมาย..!

    ทะเลทรายที่นี่ผ่านการสำรวจโดยดาวเทียมมาแล้ว มีน้ำมันอยู่จำนวนมาก แต่ว่ารัฐบาลจีนเก็บเอาไว้ให้รุ่นลูกรุ่นหลาน ถ้าหากว่ายังสามารถใช้เงินซื้อจากประเทศอื่นได้ก็จะซื้อไปก่อน ส่วนเรื่องของลมทะเลทรายนั้น ก็ใช้วิธีตั้งกังหันผลิตไฟฟ้า อาศัยแรงลม ซึ่งเป็นร่องลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำการผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนตัวเมืองใกล้เคียง

    พวกเราเดินทางต่อหลังจากที่พลขับพักตามกฎหมาย ๒๐ นาที ยิ่งไปก็ยิ่งไกลสุดลูกหูลูกตา มานึกว่าสมัยก่อนเขาต้องเดินเท้าบ้าง ขี่อูฐบ้าง ขี่ม้าบ้าง ขี่เกวียนบ้าง ไม่ทราบเหมือนกันว่าใช้เวลากี่วัน กี่เดือน กี่ปี ? เนื่องเพราะว่าการเดินทางเส้นทางสายไหมนี้ค้าขายไปถึงอิหร่าน ไปถึงกรีซ ซึ่งพวกศิลปะวัฒนธรรมต่าง ๆ ก็มีการแลกเปลี่ยนกันจากประเทศจีนบ้าง ชนกลุ่มน้อยบ้าง

    เห็นความรักการผจญภัยต่าง ๆ ของบรรดาคนโบร่ำโบราณแล้ว ก็อดนับถือใจของเขาไม่ได้ โดยเฉพาะบุคคลผู้บุกเบิกเส้นทางพระพุทธศาสนาเลียบมากับเส้นทางสายไหม ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าต้องทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจขนาดไหน ? พวกเราแค่นั่งรถไม่กี่ชั่วโมง ก็เหนื่อยก็ท้อกันหมดแล้ว แต่สมัยนั้นเดินเท้ากันเป็นเดือนเป็นปี บางทีไปพักอยู่ที่หนึ่งก็หลาย ๆ ปี เผยแผ่พระพุทธศาสนาจนพอมีคนรู้จัก มั่นใจว่าพระพุทธศาสนาจะเริ่มมั่นคงแล้ว ถึงได้เดินทางต่อไป ท่านทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่า เป็นผู้ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเผยแผ่ออกไปกว้างไกลจากชมพูทวีปได้อย่างมากมายมหาศาลทีเดียว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,311
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +26,649
    ประมาณเที่ยงกว่าพวกเราก็ลงจากทางด่วน ตรงเข้าเมืองตุนหวง ก่อนจะลงจากทางด่วน กระผม/อาตมภาพบอกทุกคนว่า "อีก ๑ ชั่วโมงจะถึง" ทุกคนเริ่มรู้แกวตะโกนถามทันทีว่า "ใครบอก ?" จีพีเอสของรถก็ปิดไปแล้ว เพราะมีทางวิ่งอยู่เส้นเดียว สำหรับมัคคุเทศก์ก็เปิดจีพีเอสไม่ทัน หลวงพ่อใช้บริการ "มัคคุเทศก์พิเศษหรือเปล่า ?" ในเมื่อเขารู้ทัน เราก็ต้องเงียบไว้เท่านั้นเอง

    พวกเราไม่ได้เข้าตัวเมืองตุนหวง หากแต่ว่าแวะเข้าไปที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณ "ถ้ำโม่เกาคู" ที่พวกเราจะไปชมศิลปกรรมพระพุทธศาสนาในยุคโบราณ เมื่อเข้าไปถึงภายในร้านอาหารก็มีเหล้าอยู่สองโอ่งใหญ่ตั้งไว้เหมือนกับต้อนรับ จะบอกว่าสองไหก็ไม่ได้ เพราะว่าไหใหญ่ขนาดคนลงไปได้สบายเลย..!

    แต่ทางร้านไม่ยอมให้พวกเรานั่งโต๊ะที่จัดเรียบร้อยอยู่ด้านนอก บอกว่าคณะของเราจัดไว้อยู่ภายในห้อง แล้วก็ทยอยยกข้าวปลาอาหารเข้ามา กระผม/อาตมภาพซึ่งนั่งขนาบซ้ายด้วยน้องพอร์ช (เด็กชายเสฏฐ์ ชาครวิโรจน์) ขนาบขวาด้วยคุณณรงค์ (นายฑนดล ภูมิธเนศ) ก็จัดการประเดิมอาหารก่อนทุกอย่าง แล้วที่เหลือก็กินกันกระจาย..!

    สำหรับวันนี้มีอาหารที่ทำจากเนื้อแกะด้วย แต่คนอื่นเขารังเกียจว่ามีกลิ่นสาบ แม้กระผม/อาตมภาพจะบอกว่า "เนื้อสัตว์ทุกชนิดก็มีกลิ่นสาบเหมือนกัน เพียงแต่ว่าหลายอย่างเราชินแล้ว ก็เลยไม่รู้สึกอะไร สิ่งไหนที่ไม่เคยชิน กินให้มากเข้าไว้ เดี๋ยวก็อร่อยไปเอง..!" แต่ดูท่าว่าเขาจะทำใจกันไม่ได้ ก็เลยปล่อยให้กระผม/อาตมภาพกินกระจายไปอยู่คนเดียว..!

    กว่าที่อาหารจะครบทุกอย่าง ก็ทำเอานั่งมองกันตาปริบ ๆ โดยเฉพาะน้องพอร์ชนั้นกินอาหารค่อนข้างยาก อะไรที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่แตะเลย ทำให้คุณแม่ดาหวัน (คุณเพชรดาวัลย์ พัสลุผล)ต้องมาลำบากลำบนในการช่วยคีบอาหารให้กับลูก เนื่องเพราะว่าโต๊ะหมุนเร็ว แล้วทำเอาพ่อลูกชายคีบอาหารไม่ค่อยจะทัน..!

    ส่วนจานสุดท้ายที่มานั้นเป็นซี่โครงหมูทอด แต่ขอโทษเถอะ..แทนที่จะเป็นซี่โครงหมู ส่วนใหญ่กลายเป็นสันหลัง ซึ่งแม้แต่โยนให้หมาก็น่าจะแทะไม่เข้า..! ไม่ทราบเหมือนกันว่าใส่มาให้ดูว่ามีมากหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ? แต่ว่าพวกเราก็กินกันเท่าที่จะกินได้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,311
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +26,649
    เมื่อสแกนจ่ายเงินกันเรียบร้อยแล้วก็กลับขึ้นรถ วิ่งไปไม่กี่นาทีก็ถึงบริเวณปากทางเข้าถ้ำโม่เกาคู พวกเราต้องลงกันแค่ตรงนี้ ทุกคนที่เข้าห้องน้ำในร้านอาหารมาแล้ว จึงไม่ต้องไปตบตีแย่งชิงกับคนเป็นพัน ๆ บริเวณห้องน้ำ..! พวกเราเดินตรงไปยังสถานที่ขายตั๋วเลย ก็เห็นประโยชน์จากอาเหมยและคังคังในตอนนี้เอง เพราะว่าไกด์ท้องถิ่นเท่านั้น จึงมีสิทธิ์ที่จะซื้อตั๋วให้กับกรุ๊ปทัวร์ แม้แต่ไกด์กิตติมศักดิ์อย่างคุณโบตั๋นก็ไม่สามารถที่จะซื้อได้ เพราะว่าอยู่คนละเมืองกัน บัตรไกด์ไม่ใช่บัตรสำหรับทางด้านนี้ แต่ที่มานั้น มาในฐานะล่ามแปลภาษาจีนเป็นไทยให้กับคณะของเรา

    คุณโบตั๋นเป็นชาวไทยเชื้อสายจ้วง จะเรียกว่าไทยก็ไม่ได้ ต้องบอกว่าเป็นชนชาติจ้วงของเมืองกวางสี ด้วยความที่ว่าคนจ้วงนั้นพูดภาษาตระกูลไท คนโบตั๋นก็เลยใช้เวลาในการฝึกภาษาไทยแค่ปีเดียวก็รู้เรื่อง ขณะที่ไกด์ทั่ว ๆ ไปถ้าจะฝึกภาษาไทยก็ต้องผ่านหลักสูตรถึง ๓ ปี..!

    เมื่อพวกเราได้บัตรมาแล้วก็ยังต้องเข้าแถวรอ เพราะว่าบัตรระบุเอาไว้ว่าจะเข้าได้ตอนไหน พวกเราก็เลยต้องไปเดินสำรวจร้านสรรพสินค้า ทำการกระจายรายได้กันตามระเบียบ เมื่อเห็นได้เวลาก็มาเข้าแถวรอ จนเขาอนุญาตให้เขาไปแล้ว ก็ยังต้องยืนรออีกถึงครึ่งชั่วโมงเศษ เพื่อที่จะดูวิดีโอแนะนำเมืองตุนหวง และวิดีโอแนะนำถ้ำพระพุทธศาสนาโม่เกาคู ซึ่งแต่ละห้องแต่ละจอนั้นใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที

    เมืองตุนหวงนั้น เริ่มจาก "จางเชียน" เป็นราชทูตของแผ่นดินฮั่น ที่ไปเกลี้ยกล่อมชนกลุ่มน้อยให้ไปรบกับ "ซวงหนู" หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า "พวกป่าเถื่อนนอกด่าน" แล้วมาค้นพบเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ จนกระทั่งท้ายที่สุด ก็สามารถที่จะเอามาเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินจีนได้

    ส่วนห้องต่อไปนั้นเป็นจอแบบ ๓๖๐ องศา หมุนไปหมุนมา ถ้าหากว่าคนไม่เคยชินอาจจะเวียนหัวได้ เป็นสิ่งที่ดีเลิศมาก เพราะว่าเขาถ่ายภาพทีเด็ดภายในถ้ำโม่เกาคูออกมาเกือบทุกถ้ำ ให้พวกเราสามารถดูได้อย่างใกล้ชิด เนื่องเพราะว่าเวลาไปดูของจริงนั้นเขาไม่เปิดไฟ จะไม่มีโอกาสได้เห็นชัดเจนแบบในวิดีโอนี้
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,311
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +26,649
    เมื่อเสร็จแล้ว พวกเราก็ต้องออกมา นั่งรถของทางด้านพิพิธภัณฑ์เมืองตุนหวงนี้ วิ่งตรงไปยังบริเวณถ้ำโม่เกาคู ระยะทางค่อนข้างจะไกล เพราะว่าวิ่งด้วยความเร็ว ๑๐๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง ยังใช้เวลาถึง ๑๖ นาที..! เมื่อพวกเราลงไปแล้ว ก็พยายามที่จะไปเข้าแถวกับบรรดานักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาเป็นพัน ๆ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นกรุ๊ปทัวร์ต่างชาติ ก็บอกให้ไปยังอีกสถานที่หนึ่ง เพราะว่าที่นั่นจะแจกเครื่องวิทยุติดตามตัวให้ เพื่อฟังคำอธิบายจากมัคคุเทศก์ได้

    พวกเรารออยู่พักใหญ่กว่าที่จะได้เครื่องติดตามตัว สแกนและติดตั้งเรียบร้อยแล้ว คุณโบตั๋นทดสอบเสียงเห็นว่าเป็นที่พอใจ ก็ไปกับสาวสวยคนหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่รับกรุ๊ปทัวร์ญี่ปุ่น แต่ด้วยความที่ว่าช่วงนี้ไม่มีคนญี่ปุ่นมา ก็เลยหันมารับกรุ๊ปทัวร์ไทย โดยที่อธิบายเป็นภาษาจีน ให้คุณโบตั๋นเป็นคนแปลเป็นภาษาไทยแทน คุณเธอพาเข้าไปดูทีละห้อง ทีละห้อง พร้อมกับอธิบายไปด้วย โดยห้ามการถ่ายรูปอย่างเด็ดขาด พวกเราเอง "เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม"

    ภายในห้องนอกจากมืดมิดแล้ว เมื่อคนเข้าไปอัดรวมกันมาก ๆ ยังร้อนจนเหงื่อตกอีกด้วย ซ้ำยังมีนักท่องเที่ยวหลงกลุ่มเข้ามายืนเด๋อ ๆ อยู่กับพวกเราถึง ๒ ห้อง ๓ ห้อง..! จนกระทั่งมัคคุเทศก์ต้องดึงตัวออกไป เป็นเรื่องที่ตลกแบบหัวเราะไม่ออก ถ้าเป็นเราแล้วเห็นธงเดินตามไปแบบนั้นก็น่าจะหลงได้เหมือนกัน..!

    พวกเราใช้เวลาอยู่ภายในค่อนข้างที่จะนานมาก จนกระทั่งมาทีเด็ดห้องสุดท้ายที่มีศาลาอยู่ทางด้านหน้า ลักษณะเป็นเหมือนกับชายคาซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้น ๆ ซึ่งเป็นจุดขายของบริเวณถ้ำโม่เกาคู เป็นพระศรีอริยเมตไตรยสูงเกือบ ๓๖ เมตร สร้างในสมัยจักรพรรดินีอู่เจ๋อเทียน หรือที่พวกเราเรียกกันว่าบูเช็กเทียน โดยการสกัดภูเขาเป็นองค์พระศรีอริยเมตไตรยก่อน แล้วถึงได้สร้างห้องและหลังคาครอบในภายหลัง
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,311
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +26,649
    เมื่อพวกเราได้รับฟังข้อมูลต่าง ๆ จนครบถ้วนแล้ว จึงได้ออกมาถ่ายรูปกันภายนอก แล้วเดินออกมาทางด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง ปรากฏว่านักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากมายมหาศาลนั้น ไม่ได้มีมารยาทเลยแม้แต่น้อย เห็นพวกเราถ่ายรูปกันก็เดินตัดหน้ากล้องบ้าง มาชะโงกดูหน้าคณะของเราแบบไม่สนใจว่าตัวเองบังกล้องหรือเปล่า ?

    กระผม/อาตมภาพเองถือกล้องเล็งบริเวณหลังคาถ้ำอยู่ ก็มีนักท่องเที่ยวจีนมุดเข้ามา เอาหัวเกยกล้อง แล้วก็ถ่ายรูปของตนเองหน้าตาเฉย ทำให้รู้สึกว่าต้องอบรมมารยาทคนจีนอีกนานทีเดียว กว่าที่จะมีความเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้..!

    เมื่อเข้าห้องน้ำกันเรียบร้อย และคืนวิทยุติดตามตัวแล้ว พวกเราก็ต้องเดิน..เดิน..เดิน.. เพื่อที่จะออกมายังที่จอดรถ ไปเมืองจีนแล้ว ถ้าหากว่าเดินไม่เก่ง กรุณาอย่าไปเลย ไม่มีที่ไหนที่ไม่ต้องเดิน มีแต่เดินมากและมากถึงที่สุด..!

    กระผม/อาตมภาพมาถึงลานจอดรถแล้ว ก็ยังหลงอยู่พักใหญ่ เพราะไปชะโงกหารถที่นั่งประจำ จนกระทั่งโชเฟอร์ตะโกนบอกให้ขึ้นคันนี้ก็ยังงง จนคิดขึ้นมาได้ว่าเราต้องขึ้นรถของทางอุทยานตุนหวง เพื่อที่จะไปต่อรถของเราข้างนอก ที่นั่งก็เกือบจะหมดแล้ว รถวิ่งย้อนออกมา ๑๖ นาที พวกเราลงมาก็เจอนักท่องเที่ยวอีกเป็นร้อย ๆ รอที่จะขึ้นรถคันที่เราลงมา..!

    พวกเราเดินออกมาทางด้านลานจอดรถ มีการมุดอุโมงค์ลงใต้ดิน แล้วก็ต้องตะกายขึ้นฟ้า ทำเอาหมอมุกบ่นว่า "ทำไมเขาไม่ให้เราเดินที่ราบ ๆ ?" ก็เพราะว่าเพื่อความปลอดภัย ไม่ให้รถเอาไปรับประทานนั่นเอง เดินเป็นระยะทางค่อนข้างไกลกว่าจะไปถึงรถยนต์ของเรา ซึ่งรับเราแล้วก็พาวิ่งเข้าเมืองตุนหวง เพื่อไปยัง "ตลาดคนเดินซาโจว" ซึ่งเป็นชื่อเก่าของเมืองตุนหวง ปล่อยพวกเราลงที่นั่น นัดแนะกันว่าเวลา ๑๙.๑๕ น. มาเจอกันบริเวณที่จอดรถ เมื่อถ่ายรูปหมู่แล้วก็ปล่อยฟรีสไตล์
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    22,311
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,783
    ค่าพลัง:
    +26,649
    กระผม/อาตมภาพเดินดูสินค้าต่าง ๆ ไปแล้วเห็นว่า ถนนคนเดินนี้ไม่ใช่ซอยร้อยร้าน หากแต่เป็นซอยหลายร้อยร้าน..! มีการตั้งร้านค้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ขนาดเดียวกันทุกร้าน ทรงเดียวกันทุกร้าน เพียงแต่ว่าใครจะวางจำหน่ายสินค้าอะไรบ้างเท่านั้นเอง ใครที่อยู่ในตัวตึกก็ถือว่าโชคดีไป เพราะว่าไม่ต้องเสียเวลาไปเช่าที่เช่าทางแบบบรรดาร้านค้าด้านนอก

    เมื่อเดินไปจนกระทั่งถึงบริเวณร้านอาหาร ซึ่งถือว่าเป็นเขตอโคจรสำหรับพระ กระผม/อาตมภาพก็ย้อนกลับมา ตรงไปยังบริเวณวงเวียนเมืองตุนหวง ซึ่งมีรูป "เฟยเทียนหนี่" ก็คือ "อัปสรสวรรค์" ที่แสดงดนตรีอยู่ในถ้ำตุนหวงนั่นเอง ถ่ายรูปเฟยเทียนหนี่เสร็จแล้ว ก็กลับมานั่งส่งงาน รอจนกระทั่งทุกคนมากันครบครัน ถึงได้ขึ้นรถบัสตรงไปยังโรงแรมเทียนเหอ ใช้เวลาวิ่งประมาณ ๑๐ นาทีเท่านั้น

    ทางมัคคุเทศก์นัดแนะกันว่า พรุ่งนี้จะต้องปลุกกี่โมง ? รับประทานอาหารกี่โมง ? และเดินทางกี่โมง ? โดยเฉพาะสำคัญที่สุดก็คือ คืนนี้ ๓ ทุ่มครึ่งเป็นอย่างน้อย ทุกคนจะต้องเอากระเป๋าใบใหญ่ลงมาที่ล็อบบี้ เพื่อที่จะติดรถวิ่งไปยังมณฑลซินเจียงเสียก่อน เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเราจะนั่งรถไฟความเร็วสูงไปแทน เมื่อฝากกระเป๋าไปก่อน ก็แปลว่าต้องมีกระเป๋าใบเล็กติดตัวไว้ หลังจากแจกกุญแจแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ตรงเข้าห้องพัก ทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนก่อน เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงจะสรงน้ำ และทำกิจกรรมอื่น ๆ กันต่อไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...