เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 ธันวาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ได้เล่าเรื่องการธุดงค์ไปบางส่วนเมื่อช่วงที่ผ่านมา โดยที่การธุดงค์นั้น รูปแบบในปัจจุบันของเราก็มักจะคิดว่า ต้องแบกกลด สะพายบาตร เดินตามถนน เดินตามป่า แต่ความจริงแล้วก็คือหลักปฏิบัติซึ่งเราสามารถปฏิบัติที่ไหนก็ได้

    อย่างการใช้ผ้า ๓ ผืน การบิณฑบาตเป็นวัตร การบิณฑบาตไปตามลำดับ ซึ่งการบิณฑบาตไปตามลำดับนั้น ก็คือมีพวกที่ประเภทรู้ว่าบ้านโน้นถึงเวลาก็จะถวายอาหารดี ๆ หรือไม่ก็มีซองปัจจัยด้วย ก็จะรีบจ้ำแซงบ้านอื่นที่เคยใส่บาตร เพื่อที่จะไปรับก่อน ตรงจุดนี้ถ้าหากว่าเราถือหลักธุดงควัตร ถือว่าขาด

    หลวงปู่เจ้าคุณนรรัตน์ ธมฺมวิตกฺโก วัดเทพศิรินทราวาส ก่อนหน้านี้ท่านก็บิณฑบาตตามปกติ แต่ด้วยความที่ในกรุงเทพฯ วัดวาอารามมักจะใกล้กัน ถึงเวลาพระบิณฑบาตหลายวัดพร้อมกัน ท่านเดินแบบสำรวมไป แต่โดนพระวัดอื่นปาดหน้าเข้าไปรับบาตรก่อน เท่านั้นก็ยังพอทน แต่โยมบ่นให้ได้ยินว่า "เป็นพระทำไมแย่งกันอย่างกับหมาเลย..!?"

    ท่านก็เลยคิดว่าครอบครัวตนเองมีฐานะพอ เลี้ยงท่านรูปเดียวมื้อเดียวน่าจะไม่สิ้นเปลืองมาก
    ตั้งแต่นั้นมาท่านก็เลยเลิกบิณฑบาต สั่งให้ทางบ้านส่งอาหารแทน นั่นคือสาเหตุของการแย่งกันบิณฑบาต ซึ่งมาระยะหลังก็มีทะเลาะเบาะแว้ง ถึงขนาดฟาดหัวกันด้วยบาตรมาแล้ว..! หรือการฉันมื้อเดียว ที่ภาษาพระใช้คำว่าเอกะอาสนะ ก็คือฉันอาสนะเดียว ขยับลุกขึ้นถือว่าเลิกเลย

    ตรงจุดนี้หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร (ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก) วัดพระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูน เคยเล่าให้กระผม/อาตมภาพฟัง ท่านบอกว่าเวลาที่กรรมมาสนอง ก็เล่นเราเต็มที่เลย ท่านออกธุดงค์ ปรากฏว่าพอเดินถึงบ้านคนก็เลยเวลาบิณฑบาตแล้ว ก็คือเลยเที่ยงแล้ว ท่านก็ต้องเลยตามเลย

    วันรุ่งขึ้น
    พอถึงเวลาเดินไปเจอบ้านคน มีเวลาบิณฑบาตได้ ท่านเองรับบิณฑบาตแล้ว ก็เดินเข้าป่าในทิศทางที่ตนเองจะไปต่อ พอถึงสถานที่เหมาะสมก็นั่งลง ปูอาสนะ เตรียมที่จะฉันภัตตาหาร ท่านบอกว่าเพิ่งเปิบข้าวเข้าปากได้คำเดียว ช้างชาวบ้านตกมันหลุดวิ่งมาทางนั้น ท่านยต้องคว้าบาตรลุกหลบเข้าป่า เพื่อให้ช้างผ่านไปก่อน แต่ด้วยความที่อธิษฐานฉันอาสนะเดียว ลุกขึ้นถือว่าสละสิทธิ์ อาหารที่เหลือก็เลยต้องสละทิ้งหมด..!

    จนกระทั่งเดินต่อไปรุ่งขึ้นอีก ๑ วัน ถึงที่บิณฑบาต รับภัตตาหารจากญาติโยมได้แล้ว เดินต่อไปเพื่อหาที่ฉัน ปรากฏว่าพอจะนั่งลงก็หน้ามืดล้มฟุบไปเลย อดมาอย่างน้อย ๒ วันแล้ว ฟื้นขึ้นมาเลยเที่ยง ต้องอดอีกตามเคย..! นี่ถ้าหลวงปู่ท่านไม่ได้เล่าให้กระผม/อาตมภาพฟังเอง ก็คงสงสัยอยู่เหมือนกันว่าอะไรจะโหดปานนั้น ? ดังนั้น..การฉันอาสนะเดียว ถ้าหากว่าเคร่งครัดจริง ๆ ลุกขึ้นก็คือเลิกเลย ที่ท่านใช้คำว่า "ห้ามภัตที่มาภายหลัง" ก็คืออาหารที่ใครเอามาประเคนทีหลัง ไม่รับ ไม่ฉันทั้งหมด จนกว่าจะถึงมื้อต่อไป
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    แต่ว่าการฉันมื้อเดียวนี่ต้องบอกว่ากินได้น่ากลัวมาก สมัยกระผม/อาตมภาพฉันมื้อเดียว บาตรเบอร์ ๘ ครึ่งนี่ ทั้งคาวทั้งหวานรวมกันค่อนบาตร ถ้าหากว่าเป็นอาหารปกติก็ตก ๗ - ๘ จานเห็นจะได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันลงไปหมดได้อย่างไร ? แล้วมาตอนธุดงค์ มีอยู่เที่ยวหนึ่งเดินป่าไปประมาณเดือนเศษ ๆ อยู่แต่ในป่าก็ไม่มีอะไร นอกจากผักบ้าง หญ้าบ้าง ผลไม้หล่นเหลือจากลิงบ้าง ผ่านไป ๑ เดือน หลุดออกมาแถวบริเวณที่เคยเล่าให้ฟังว่า เดินออกมาตรงแถวบ้านไกรเกรียง - บ้านน้ำเอ่อ ของเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ต่ออำเภอทองผาภูมิ ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกับห้วยขาแข้ง

    มีโยมที่ไปตั้งแพหาปลาอยู่ พอเห็นพระธุดงค์ก็ "นิมนต์ครับ..นิมนต์ครับ" สามคนพ่อแม่ลูกก็เร่งหุงข้าว ทำกับข้าวมาถวาย ก็มีข้าวในหม้อไฟฟ้าใบเล็ก มีปลาทอด มีน้ำพริกผักต้ม มาประเคน กรวดน้ำ
    รับพรอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นั่งรออยู่ กะว่าพระฉันเสร็จก็คงจะกินต่อ ปรากฏว่ากระผม/อาตมภาพกวาดเรียบ ไม่เหลืออะไรเลย..!

    ถึงได้เข้าใจว่า "ทำไมชูชกถึงท้องแตกตาย ?" เพราะว่าร่างกายที่ขาดสารอาหารมาเป็นเดือน ๆ กินเข้าไปเท่าไรก็ไม่รู้สึกว่าอิ่มหรอก หิวอยู่ตลอด ก็กินไปได้เรื่อย ๆ ไม่รู้จักพอเสียที ถ้าได้สารอาหารครบเมื่อไร เขาถึงจะบอกว่าพอ แล้วเมื่อไรจะพอ ? ยังดีที่ว่าอาหารมีแค่นั้น ไม่อย่างนั้นกระผม/อาตมภาพ ก็คงท้องแตกตายเหมือนชูชกไปแล้ว..!

    เพราะฉะนั้น..ต่อไปพวกเราต้องรู้จักระมัดระวัง ประมาณการณ์ว่าตนเองฉันแค่นี้ พอแค่นั้นต้องหยุด ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะเสียผู้เสียคนเหมือนอย่างที่กระผม/อาตมภาพเจอมาด้วยตนเอง..!

    อีกอย่างหนึ่งก็คือการธุดงค์ของคนอื่น กระผม/อาตมภาพไม่ทราบเหมือนกันว่าไปด้วยเจตนาอะไร ? เพราะว่าระยะหลังที่พบนั้น ส่วนใหญ่ออกธุดงค์เพราะว่าอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ พูดง่าย ๆ ก็คืออยู่วัดก็ทะเลาะกับชาวบ้านเขาเสียเปล่า ๆ จึงต้องออกป่าไป แล้วพวกนี้ส่วนใหญ่ก็ต้องไปตั้งสำนักของตัวเอง

    ยังดีที่ทองผาภูมิของเราส่วนใหญ่โดนป่าไม้เขาอุ้มออกมาหมด เพราะว่าพอถึงเวลาไปตั้งสำนัก แรก ๆ ก็อาจจะมีแต่กุฏิเล็ก ๆ กับห้องน้ำห้องส้วมสักห้องหนึ่ง แล้วเดี๋ยวมีโยมศรัทธา ก็จะเข้าไปอยู่กันเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าสำนักใหญ่ขึ้นมาจะจัดการได้ยาก พวกป่าไม้เขามีประสบการณ์ตรงนี้อยู่แล้ว พอถึงเวลาก็เลยอุ้มออกมาจนหมด..!

    หลายที่ซึ่งกระผม/อาตมภาพไปเจอแล้วเป็นที่น่าอยู่มาก บางทีก็พักอยู่เป็นอาทิตย์ ถึงเวลาทำความสะอาดเรียบร้อย ข้าวของอะไรที่พอเหลือเป็นประโยชน์กับคนอื่น หรือว่าเราที่จะมาทีหลัง ก็ทิ้งเอาไว้ให้เขาที่นั่น กลับไปอีกทีมีคนมาอ้างตัวว่าเป็นเจ้าสำนักเรียบร้อยแล้ว..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    หลายแห่งน่าเสียดายมาก เพราะว่าถ้าหากว่าพระของเราไป ต้องบอกว่าอยู่แล้วภาวนาได้ดีมาก แต่ก็ไปเจอเขาเทปูนให้พื้นเรียบ ทำประตู ทำห้องพัก กระผม/อาตมภาพพอเห็นแบบนั้นก็ไม่ไปอีกเลย ประมาณว่า "กูอยู่มาก่อนเป็นปี ๆ มึงเพิ่งจะมาถึง ยึดเป็นเจ้าอาวาสไปเรียบร้อยแล้ว..!"

    จะมีวัดอยู่แห่งหนึ่งซึ่งลูกศิษย์มักจะไปอ้าง แล้วก็ยึดสถานที่เพื่อเป็นสาขาของวัดใหญ่อยู่เป็นประจำ เฉพาะบริเวณทองผาภูมิ สถานที่ดี ๆ ซึ่งกระผม/อาตมภาพเคยธุดงค์ไป โดนยึดไป ๓ แห่ง ท่านอยากได้ก็ให้ท่านเถอะ กระผม/อาตมภาพไม่ได้อยากมีภาระ เพียงแต่เสียดายว่าเป็นที่ซึ่งอยู่แล้วมีความสุข ภาวนาแล้วเยือกเย็นดีมาก อยากจะให้พวกเราได้ไปอยู่บ้าง ก็ดันมีคนไปยึดเป็นเจ้าของเสียหมด..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจตนาในการธุดงค์ปัจจุบันนี้จึงน่าจะผิดเพี้ยนไปมาก แล้วก็ยังมีประเภทถึงเวลาก็โบกรถ ขอค่ารถ หรือขอให้ไปส่ง พอขึ้นรถแล้วไม่ยอมลงจนกว่าจะได้ค่ารถ..! สร้างความเสียหายให้กับการธุดงค์ของพระพุทธศาสนามาก ซึ่งเรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ส่วนใหญ่ญาติโยมก็ทนความหน้าด้านของนักบวชไม่ไหว ต้องยอมจ่ายเงินไปให้ บางทีให้ร้อยสองร้อย ยังหน้าด้านบอกว่าไม่พออีกด้วย..!

    เรื่องแบบนี้ก็เลยกลายเป็นว่า ถึงเวลาญาติโยมบางทีก็เสื่อมศรัทธา ซึ่งเกิดจากการกระทำของพวกเรานี่แหละ ไม่รู้ว่าพระจริงหรือว่าพระปลอม แต่ว่าหาประโยชน์ในลักษณะอย่างนี้ ส่วนใหญ่ก็ใช้ขวดน้ำเปล่าโบกรถ ประมาณว่าต้องการแค่น้ำ แต่พอจอดรถเมื่อไรก็จะต้องการมากกว่าน้ำ ทำความหนักใจให้กับเจ้าคณะปกครองค่อนข้างจะมาก..!

    แล้วก็เป็นเรื่องแปลกว่า เจ้าพวกเหลือขอนี่อยู่ในป่า ทำไมไม่โดนผีหลอกบ้างก็ไม่รู้ ? กระผม/อาตมภาพไปที่ไหนก็โดนเสียจนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง บางทีตีกันแทบตาย...หรือไอ้เจ้าพวกนี้มันอยู่ในประเภท "ผีระอา เทวดาเบื่อหน่าย" ก็เลยไม่อยากจะไปยุ่งด้วย กระผม/อาตมภาพก็รู้สึกทึ่งอยู่เหมือนกันว่า เขาเข้าป่าแล้วไม่เจอเรื่องพวกนี้หรืออย่างไร ? แล้วทำไมเราเจอบ่อยมาก ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2024
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าแล้ง บรรดาผู้ที่ออกธุดงค์ก็เริ่มเดินกัน ถ้าหากว่าเวรยามเห็นมาพักอาศัยอยู่ทางด้านหน้าวัด ให้นิมนต์ท่านเข้ามาพักทางด้านใน อย่าให้ไปพักทางด้านหน้าวัด เพราะว่าไปปักกลดไปอะไรอยู่ที่นั่น บางทีญาติโยมศรัทธา นำข้าวปลาอาหารอะไรมาถวาย ท่านฉันแล้วก็ทิ้งไว้เกลื่อนกลาดไปหมด ทำให้วัดเราสกปรกเลอะเทอะ ขณะเดียวกันคนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าเป็นพระวัดท่าขนุน ฉะนั้น..ถ้าหากว่าเจอก็นิมนต์เข้ามาพักข้างใน ถ้าไม่เข้ามาพักข้างใน บอกว่าเจ้าอาวาสไม่อนุญาตพักที่นี่..!

    บางทีก็ไม่ได้อยากใจร้ายใจดำกับท่านหรอก แต่หลายท่านความประพฤติก็เหลือที่จะรับ แล้วส่วนหนึ่งมาก็มาทำให้วัดของเราเสียชื่อไปด้วย ดังนั้น..ถึงเวลาแล้วก็ให้ท่านมาลงทะเบียน จะได้รู้ที่มาที่ไป ถ้าหากว่าไม่มีหนังสือสุทธิ หรือว่าใบรับรองการบวชก็ไม่อนุญาตให้พักเลย เพราะไม่รู้ว่าตัวจริงหรือตัวปลอม..!

    ในเรื่องของการธุดงค์ไม่จำเป็นที่จะต้องออกเดิน เราทำในวัดของเราก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพสมัยก่อน ก็คงอยู่แถว ๆ ยอดเขาพระพุทธบาท แม้กระทั่งเขาพระพุทธเจติยคีรีก็เคยขึ้นไปนั่งเป็นอาทิตย์ ๆ จนกระทั่งรู้ว่าไอ้ถ้ำที่อยู่ทางด้านข้าง ๆ นั้น มีงูจงอางตัวเบ้อเร่อมาพักอยู่ประจำ..!

    ใครจะลองไปนั่งดูบ้างก็ได้ บริเวณที่เรานั่งสวดมนต์หันหลังให้ก่อนที่จะลงไปงานตักบาตรเทโว คุณปีนลงตรงข้างต้นไม้ใหญ่ จะมีลานเล็ก ๆ ให้นั่งปักกลดได้ แต่ถัดไปหน่อยหนึ่งจะเป็นถ้ำ ไปหาเพื่อนฝูงคุยกันเอาแถวนั้นเองก็แล้วกัน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...