เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 10 เมษายน 2025 at 19:19.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,567
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,567
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพนำสามเณรภาคฤดูร้อน ซึ่งบวชถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๗๐ พรรษา ออกบิณฑบาตเป็นวันสุดท้าย เนื่องเพราะว่าจบโครงการในวันนี้

    การบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนของวัดท่าขนุนนั้น ก่อนจบโครงการจะเป็นการฝึกธุดงควัตร ก็คือให้สามเณรหัดเดินธุดงค์และปฏิบัติธรรมภายในถ้ำ ซึ่งก็ไปฝึกกันที่สำนักสงฆ์ถ้ำโป่งช้าง หมู่ที่ ๖ ตำบลห้วยเขย่ง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งไม่ได้ชื่อโป่งช้างเฉย ๆ เนื่องเพราะว่ามีช้างลงมากินโป่งอยู่แทบทุกคืนจริง ๆ..!

    กระผม/อาตมภาพได้มอบหมายให้พระสมุห์ณัฐพสิษฐ์ ปญฺญาคโม เจ้าสำนักสงฆ์ถ้ำโป่งช้างให้นำเอาเกลือไปเทเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้ช้างทั้งหลายจะได้รับธาตุเกลือมากขึ้น จะได้มีความแข็งแรงและเจ็บไข้ได้ป่วยน้อยลง เพียงแต่ไม่นึกว่าสามเณรจะกลับมาเร็วขนาดนั้น นึกว่าจะไปซุ่มดูช้างกันเสียอีก..!

    เมื่อกลับมาและฉันเช้าแล้ว บรรดาพี่เลี้ยงก็จัดสถานที่ เพื่อที่จะให้สามเณรได้รับการทดสอบว่า สามารถอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร และปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะได้จริงหรือไม่ ? ปรากฏว่าจากที่บรรพชาหมู่เอาไว้ในวันแรก ๑๒๑ รูป มีผู้ทนอยู่จนผ่านโครงการได้แค่ ๙๑ รูปเท่านั้น..! ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องบอกว่าน่าเสียดายมาก ๆ เพราะว่าพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนเต็มใจที่จะให้ลูกมาบวช แต่ว่าลูกกลับไม่สามารถที่จะทนอยู่ได้โดยไม่มีโทรศัพท์มือถือ..!

    โดยเฉพาะเมื่อไม่ได้เล่นเกมก็ทำท่าจะขาดใจตาย ขอสึกกับทางพระพี่เลี้ยงไม่ได้ ก็หนีไปให้เจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิช่วยสึกให้ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งจะว่าไปแล้ว การที่บรรพชาเข้ามา ๑๒๑ รูป แล้วสึกหาลาเพศล่วงหน้าไปก่อนจบโครงการถึง ๓๐ รูป ต้องบอกว่ามากถึง ๑ ใน ๔ ของจำนวนทีเดียว ก็หมายความว่าบรรพชาเข้ามา ๔ รูป สึกไป ๑ รูปเป็นอย่างน้อย

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าเด็กรุ่นใหม่ ๆ ของเรานั้น นอกจากจะสมาธิสั้น ขาดความอดทนแล้ว ยังติดเกม ติดการละเล่น และท้ายที่สุดก็ยังไปติดบรรดาสิ่งเสพติดต่าง ๆ อย่างเช่นที่รัฐบาลปล่อยให้มีการค้าขายกัญชาและใบกระท่อมเสรี เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ท่านต้องการแค่ความร่ำรวยเฉพาะตน แล้วไม่ได้ดูว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำลายเยาวชนของเราไปเท่าไรใช่หรือไม่ ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,567
    กว่าที่บรรดาพระภิกษุสงฆ์ของเราจะจัดโครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนในแต่ละปี ล้วนแล้วแต่ต้องลงทุนไปมาก ๆ อย่างกระผม/อาตมภาพที่เลี้ยงดูสามเณรวันละ ๑๐๐ กว่ารูป มีรายจ่ายวันหนึ่งประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาท ก็คือข้าวปลาอาหาร ๒ มื้อ ตลอดจนน้ำปานะ แล้วไหนยังมีรายจ่ายจิปาถะอื่น ๆ อีก กว่าจะจบโครงการบางทีก็หมดไป ๒ - ๓ แสนบาท เป็นต้น

    เราต้องลงทุนมากขนาดนี้เพื่อที่จะพยายามทำให้เยาวชนของชาติเป็นคนดี รู้จักว่าอะไรคือศีล อะไรคือธรรม อะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว เมื่อชี้แจงชัดเจนแล้ว เขาก็ต้องเลือกเอาเองว่าตนเองปรารถนาในสิ่งใด อยากจะเป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่และครอบครัว ก็เพียรพยายามทำความดี ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน อยากที่จะเป็นความทุกข์หนักของครอบครัว ก็ไม่ต้องสนใจการเรียน ติดเกม ติดสิ่งเสพติด..!

    เรื่องพวกนี้เขาต้องเป็นคนเลือกเอง แต่บุคคลที่จะเลือกได้นั้น อันดับแรกเลย ต้องมีปัญญา เพราะว่าถ้าไม่มีปัญญา ขาดสัมมาทิฏฐิ ก็จะไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ประการที่สอง ต้องมีสมาธิ ที่เราให้สามเณรมีการเจริญกรรมฐาน ทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ ตลอดจนกระทั่งปฏิบัติธรรมกันเกือบตลอดทั้งโครงการ เพื่อสร้างสมาธิให้เกิดขึ้น เมื่อมีสมาธิเข้มแข็งพอ จะได้รู้จักระงับยับยั้งไม่ไปกระทำในสิ่งที่ชั่ว แล้วก็ยังต้องมีศีล ก็คือข้อห้ามต่าง ๆ ที่จะช่วยตีกรอบให้รู้ตัวว่าตนเองกำลังจะล้ำเส้นแล้ว เหล่านี้เป็นต้น

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ในแต่ละปี ในแต่ละวัด พระภิกษุหรือคณะสงฆ์ของเราต้องลงทุนลงแรงไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะวัดท่าขนุนนั้น ถ้าหากว่าผู้ที่ผ่านโครงการไปก็จะได้รับทุนการศึกษาอีกรูปละ ๒,๐๐๐ บาท ในเมื่อผ่านโครงการไป ๙๑ รูป ปีนี้วัดท่าขนุนจ่ายเฉพาะทุนการศึกษาของผู้บรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ก็อยู่ที่ ๑๘๒,๐๐๐ บาท..!

    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทางรัฐบาลหรือว่าส่วนราชการไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คณะสงฆ์เราทำเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่กระผม/อาตมภาพสงสัยว่า ทำไมส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น น้อยนักที่จะยื่นมือเข้ามาร่วมโครงการด้วย ในเมื่อท่านทั้งหลายสามารถที่จะเอาไปเป็นผลงานของตนเองได้เลย ต่อให้ไม่มีส่วนร่วมมากมาย เข้ามาร่วมถวายผ้าไตรจีวรสักชุด หรือว่าเงินร่วมการบรรพชาอุปสมบทสัก ๕๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ บาท ผลงานทั้งโครงการท่านก็สามารถอ้างได้ว่าท่านมีส่วนร่วมด้วยอยู่แล้ว

    หรือว่าการกระทำสิ่งดี ๆ ทั้งหลายเหล่านี้นั้น ไม่ได้อยู่ในความสนใจของบรรดาข้าราชการและนักการเมืองเลย เนื่องเพราะว่าทำไปแล้วก็ไม่มี "เงินทอน" ให้ ทำไปแล้วก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลอะไรกับตนเอง มีแต่จะสร้างสรรค์สังคมที่ดีงาม ทำให้เกิดความสุขความสงบ ทำให้ผู้คนมีปัญญาเฉลียวฉลาด แล้วท่านทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะปกครองได้ ?!

    หรือว่าในเมื่อคนทั้งหลายมีปัญญา มีสมาธิ รู้จักระงับยับยั้ง ไม่ไปกระทำสิ่งชั่วที่ท่านทั้งหลายพยายามยัดเยียดให้ ท่านก็เลยไม่สนใจที่จะมาร่วมโครงการ ? เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพคิดฟุ้งซ่านไปคนเดียว ท่านอาจจะติดงานสำคัญอื่น ๆ ที่สำคัญมากกว่าการเสริมสร้างเยาวชนอันเป็นรากฐานของประเทศชาติอยู่ก็ได้..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,324
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,708
    ค่าพลัง:
    +26,567
    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บรรดาผู้ที่ทำงานก็ยังทำงานกันต่อไปโดยที่ไม่ท้อไม่ถอย กระผม/อาตมภาพเคยบอกไปหลายวาระแล้วว่า การทำความดี เราก็ต้องหน้าด้านหน้าทน ถ้าหากว่าหน้าไม่ด้าน หน้าไม่ทน เราก็ทำได้ไม่ทน ทำได้ไม่นาน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้ไม่มีใครสนับสนุน เราก็คงยังหน้าด้านหน้าทนทำต่อไปอยู่ดี

    โชคดีที่ว่าทางวัดท่าขนุนของเรานั้น มีญาติโยมทั้งหลายร่วมบุญมาเป็นจำนวนที่ไม่น้อย ทั้งที่โอนเข้ามาทางบัญชีรับบริจาคออนไลน์ของวัด และมาร่วมทำบุญจนถึงวัด บรรดาพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่หลายครอบครัว ก็มาถวายปัจจัยร่วมทำบุญ มาถวายภัตตาหารเช้าเพล มาถวายน้ำปานะ เหล่านี้เป็นต้น ก็ต้องเจริญพรขอบพระคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนทางวัดท่าขนุนของเราด้วยดีเสมอมา

    ถ้าดูจากจำนวนผู้ผ่านโครงการในปีนี้แล้ว คาดว่าปีหน้าคงมีผู้ร่วมโครงการมากกว่านี้ เนื่องเพราะว่าเด็ก ๘ ขวบที่มาสมัครในปีนี้แล้วไม่ผ่านเกณฑ์ เพราะว่าทางวัดกำหนดไว้ต่ำสุดที่ ๙ ขวบ ยกเว้นเด็กจากสำนักสงฆ์ถ้ำโป่งช้างที่อายุแค่ ๗ ขวบ แต่ตั้งใจทำความดีอย่างยิ่ง นั่นต้องบอกว่าเป็นส่วนน้อยที่หาได้ยากมาก ๆ ปีหน้าเขาก็จะ ๙ ขวบ เข้าโครงการได้พอดี

    อีกส่วนหนึ่งก็คือสามเณรของเราได้ทุนเดินทางไปประเทศอินเดียฟรีจากมูลนิธิโพธิปัญญา ซึ่งปีที่แล้วติดต่อมาขอสามเณรจากวัดของเรา ไปร่วมโครงการหน่อพุทธภูมิที่ประเทศอินเดีย แต่กระผม/อาตมภาพบอกว่าทางวัดไม่สามารถที่จะรับรองความประพฤติได้ สิ่งที่ท่านทั้งหลายเห็นจากภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวว่าเรียบร้อยมากนั้น เกิดจากอำนาจของไม้เรียวล้วน ๆ ถ้าสนใจที่ต้องการสามเณรของเราไปร่วมโครงการ ให้ติดต่อกับพ่อแม่ของสามเณรโดยตรง

    ปรากฏว่าปีนี้มีสามเณรมารายงานว่า ทางมูลนิธิฯ ติดต่อมาว่าขอให้ไปร่วมโครงการมูลนิธิโพธิปัญญา นำสามเณรสู่ประเทศอินเดีย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ต้องขอแสดงความยินดีกับสามเณรด้วยว่า สิ่งที่ท่านทั้งหลายสู้ทน อดทน รับการขัดเกลาจากวัดท่าขนุนไป แล้วภาพพจน์ที่ออกมาดีงาม ทำให้ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศตั้งแต่อายุน้อย ๆ

    เพียงแต่ว่าถ้าสามเณรท่านใดได้ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ ขอให้พยายามรักษาความดีเอาไว้ เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม อย่ากลับบ้านแค่ ๒ - ๓ วันแล้วก็ละลายหายหมด สิ่งพวกนี้จะเป็นสมบัติติดตัวของสามเณรทั้งหลายไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต แล้วแถมยังมีอานิสงส์ข้ามชาติข้ามภพไปอีกต่างหาก..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...