เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 12 มีนาคม 2025 at 19:35.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +26,530
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0917.jpeg
      IMG_0917.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      308.1 KB
      เปิดดู:
      14
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +26,530
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพไปยุ่งอยู่กับเรื่องการอบรมพระอุปัชฌาย์ทั้งที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) และวัดสามพระยา วรวิหาร หลายวัน ความย่อหย่อนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวัดก็มากขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเรื่องหน้าที่ของพวกเรา ก็คือการทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ การบิณฑบาต เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ ไม่ใช่ว่าถึงเวลาก็ขาด ตามใจตัวเอง เพราะว่ามีเงินจ่ายค่าปรับ..! ทำแบบนั้นเท่ากับว่าเรากำลังจะทำให้ตัวเองหลุดจากผ้ากาสาวพัสตร์ไปโดยใช่เหตุ..!

    การทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ คือการสร้างสมาธิเพื่อสู้กับกิเลส เนื่องเพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ นั้น อาศัยศีลอย่างเดียวก็ป้องกันได้แค่ระดับหยาบเท่านั้น ระดับกลางต้องอาศัยสมาธิเป็นเครื่องช่วยอย่างมาก จนกระทั่งถึงระดับละเอียด จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาอย่างถ่องแท้ คราวนี้เราไปทิ้งเครื่องมือในการสู้กิเลส โดยหวังความสบายเป็นที่ตั้ง ก็เท่ากับหาที่ตาย..! เพราะว่าการที่ต้องสึกหาลาเพศไป ก็คือตายจากความเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา

    ส่วนเรื่องของการตามใจปากตัวเองด้วยการสั่งอาหารมาฉัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะขี้เกียจบิณฑบาต หรือว่าตามใจปากอยากจะฉันของแบบนั้น ขอให้รู้ว่าท่านทำลายทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญาของตนเองไม่เหลืออะไรเลย เนื่องเพราะว่าอันดับแรกเลย ฝืนคำของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดจนแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงวางเอาไว้

    ท่านทั้งหลายบวชเข้ามา พระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็บอกชัดเจนแล้ว ปิณฑิยาโลปะโภชะนัง นิสสายะ ปัพพัชชา ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตคือการเที่ยวบิณฑบาต ส่วนคุณงามความดีของการเที่ยวบิณฑบาตนั้นมีมากจนพูดไม่หมด
    กระผม/อาตมภาพจะไม่กล่าวถึงตรงจุดนั้น กล่าวถึงแค่ว่าเราละเมิดคำสอนของครูบาอาจารย์ที่บอกเราตั้งแต่วันแรกที่บวช

    โดยเฉพาะการตามใจปากตัวเองคือการละเมิดศีล ทำไมกระผม/อาตมภาพถึงกล่าวอย่างนั้น ? เนื่องเพราะว่าการหักห้ามปากของตนเองไม่ให้กิน ไม่ให้ฉันในสิ่งที่ชอบ กับการหักห้ามตัวเองไม่ให้ละเมิดศีลนั้น ใช้กำลังใจเหมือนกัน เท่ากัน

    ดังนั้น..
    ใครที่ยังตามใจปากตัวเอง รับประกันได้ว่าศีลของท่านบกพร่องอย่างแน่นอน มีโอกาสเมื่อไรพลาดเมื่อนั้น เพราะว่าแค่ห้ามปากยังห้ามไม่ได้ แล้วจะไปห้ามกาย ห้ามวาจา ในเรื่องของศีลยิ่งเป็นเรื่องยาก ก็แปลว่าเรามีแต่สร้างความเสียหายให้กับตนเอง โดยที่หวังเอาความสบายเข้าว่า

    ไม่ต้องไปกล่าวถึงประโยชน์ว่าการบิณฑบาตนั้นก่อประโยชน์ให้กับตนเองและญาติโยมอย่างไรบ้าง เอาแค่ว่าในสิ่งที่เราไม่ทำ ก็คือ
    การที่เราละเมิดคำสั่งครูบาอาจารย์ ซึ่งคนประเภทนี้เอาดีไม่ได้แน่นอน จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายควรที่จะสังวรระวังเอาไว้ด้วย ไม่ใช่ว่านึกจะทำอะไรก็ทำ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +26,530
    กระผม/อาตมภาพเองกับพรรคพวกเพื่อนฝูงพี่น้องแค่ไม่กี่คน สมัยก่อนแบกระเบียบวัดเอาไว้จนหลังแอ่น สิ่งใดที่ครูบาอาจารย์สั่งคือสิ่งที่ต้องทำตลอดชีวิต โดยเฉพาะท่านบอกว่า "หมาของข้าสั่งครั้งเดียว มันทำตลอดชีวิต ถ้าข้าสั่งแล้วพวกแกทำตลอดชีวิตไม่ได้ก็เลวยิ่งกว่าหมา..!" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใครที่รู้จักกำหนดจดจำ ทำตามที่ครูบาอาจารย์สอน ทำตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ ท้ายสุดก็ออกมาเป็นหลักให้แก่ญาติโยมเขาได้ ส่วนที่เหลือนั้นเอาตัวไม่รอดอย่างที่เห็น..!

    โดยเฉพาะโลกยุคปัจจุบัน สิ่งยั่วยุเราให้หลุดจากศีลมีมาก เราไม่รู้จักสร้างกำลังเพื่อที่จะหักห้ามตนเอง ก็แปลว่าเราพร้อมที่จะตาย ไม่ต้องไปหวังเลยว่าบวชมาแล้วจะเอาดีได้ ก็ในเมื่อเรื่องหยาบ ๆ ที่เป็นแค่ระเบียบวินัย หรือว่าสิ่งที่จำเป็นที่ต้องปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร เรายังทำไม่ได้ แล้วจะไปพูดอะไรถึงเรื่องของมรรคเรื่องของผล ที่เป็นเรื่องละเอียดกว่านั้นจนนับไม่ได้ ดังนั้น..หลายสิ่งหลายอย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกพวกเราไปอยู่เสมอ แต่ก็มักจะกลายเป็นคำพูดผ่านหู แทบจะไม่มีใครสนใจนำมาปฏิบัติขัดเกลาตนเองอย่างจริงจังเลย

    ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนี้แล้ว ที่เราปฏิญาณตนว่า "ขอรับผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" ก็ไม่ต้องหวัง เพราะว่าระเบียบวินัยทุกอย่างก็คือการที่นำเราให้เดินตรงทาง ทางนี้ก็คือมรรค ๘ ซึ่งเป็นหนทางที่จะนำพาสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความบริสุทธิ์ ย่อลงมาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    ระเบียบวินัยทุกอย่างก็คือศีล ความตั้งใจเพียรพยายามรักษาเอาไว้ นั่นก็คือการสร้างสมาธิ เพราะว่าสภาพจิตที่เพียรระมัดระวัง ไม่ให้ตนเองละเมิดระเบียบหรือวินัย ก็คือการสร้างสมาธิโดยตรง แล้วแค่นั้นก็ยังไม่เพียงพอ เพราะว่าเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเวลาในการชำระใจของตนเองอย่างเด็ดขาดและจริงจังทุกวัน

    ดังนั้น..บรรดาผู้ที่เคยพบกระผม/อาตมภาพสมัยบวชอยู่ที่วัดท่าซุงจะเห็นความต่างอย่างชัดเจน เพราะว่าตอนนั้นกระผม/อาตมภาพแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เนื่องจากว่าปฏิบัติทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืนโดยไม่ได้สนใจเวลา คืนหนึ่งนอนเต็มที่ก็ไม่เกิน ๒ ชั่วโมง ที่เหลือก็ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก แล้วสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายทำคืออะไร ? ตามใจปากตนเอง ละเมิดระเบียบ ละเมิดวินัย ละเมิดคำสั่งครูบาอาจารย์ แล้วหวังว่าตนเองจะได้ดี ก็น่าจะเป็นไปได้อยู่มั้ง ?
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,669
    ค่าพลัง:
    +26,530
    ยิ่งอยู่นานไป เรายิ่งต้องเป็นแบบอย่างแก่รุ่นหลัง แล้วถ้าแบบอย่างบิด ๆ เบี้ยว ๆ เสียตั้งแต่แรก จะไปหวังให้รุ่นหลังได้ดีนั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องยึดหลักที่ว่า ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้น ยถาการี ตถาวาที ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ก็คือตรงไปตรงมา ไม่มีหน้าไม่มีหลัง จึงจะสมกับเป็นผู้ที่บวชมาเพื่อละกิเลส

    อยากจะเก่ง อยากจะมีความสามารถ แต่ความเพียรต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แล้วจะไปสำเร็จอย่างที่ตนเองต้องการนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ กระผม/อาตมภาพเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า ต่อให้ลูกศิษย์เก่งแค่ไหนก็ตาม เมื่อรับการถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์ อย่างเก่งก็ได้แค่ ๗๐ - ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วพอตนเองนำไปถ่ายทอดต่อ ลูกศิษย์ก็รับไปได้แค่ ๗๐ - ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของที่เราได้มา ก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อย สามรุ่นผ่านไปก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว วิชาการความรู้ต่าง ๆ แทบจะไม่เหลือหลักเกณฑ์อะไรที่มั่นคงเลย..!

    ดังนั้น..ถ้าจะให้ประสบความสำเร็จ มีอยู่อย่างเดียวก็คือ ต้องใช้ความเพียรพยายามเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ครูบาอาจารย์สอนมา เราอยากได้ครบ ๑๐๐ ถ้วนก็ต้องขยัน ใช้ความเพียรไป ๑๕๐ หรือ ๒๐๐ เปอร์เซ็นต์ถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เราจะไปหวังว่ามีความรู้ความสามารถเท่าครูบาอาจารย์ที่เราเคารพเลื่อมใสนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้..!

    จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายควรที่จะระมัดระวังให้มากกว่านี้
    สิ่งที่เราคิด คำที่เราพูด การกระทำของเราทั้งหมดจะส่งผลต่ออนาคตของเราอย่างชัดเจน ถ้าไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ โอกาสที่จะเอาดีย่อมไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นกับพวกเราได้เลย

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...