เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 มกราคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,414
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,414
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เนื่องจากต้องประชุมคณะกรรมการโครงการอบรมบาลีก่อนสอบ ของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) อย่างไรเสียก็เดินทางกลับวัดท่าขนุนไม่ทันอยู่แล้ว กระผม/อาตมภาพจึงต้องบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ในระหว่างเดินทางอยู่ ซึ่งถ้ามีเสียงรบกวนเข้ามาก็ต้องขออภัยต่อทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง

    สำหรับวันนี้มีหลายเรื่องหลายราวที่อยากจะกล่าวถึง เรื่องแรกก็คือ Buddha Boy ซึ่งบรรดานักข่าวอ่านชื่อว่า ราม บรอมจัน ความจริงคำนั้นต้องอ่านว่า พรหมจรรย์ แต่ด้วยความที่เราไม่เคยชินกับภาษาอินเดีย ทำให้ไม่รู้ว่าจะอ่านเป็นภาษาไทยอย่างไร อย่างเช่นนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษ ก็คือนายริซี ซึ่งถ้าหากว่าออกเสียงเป็นภาษาไทยก็คือริสี หรือที่เราอ่านว่ารึสี แล้วก็กลายเป็นฤๅษีนั่นเอง

    เรื่องของ Buddha Boy นั้น ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติ เนื่องเพราะว่าแม้จะมีความสามารถในการเข้าฌานเป็นเดือนเป็นปีก็ตาม แต่ว่าไม่ใช่ความสามารถในการใช้กำลังใจตัดกิเลส เมื่อถึงเวลากำลังใจคลายตัวออกมา รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ ก็ประเดประดังเข้ามาเหมือนเดิม ถ้าสามารถที่จะจัดการได้ดี อย่างเก่งก็ "ว้าวุ่น" ไปพักหนึ่ง แต่ถ้าจัดการไม่ได้ ก็จะมีลักษณาการแบบที่เห็นอยู่ ก็คือมีการละเมิดศีล มีการประพฤติผิดข้อห้ามต่าง ๆ จนกลายเป็นที่ตำหนิติเตียนบ้าง ผิดพลาดถึงขนาดกลายเป็นอาชญากรรมบ้าง..!

    เรื่องพวกนี้นักปฏิบัติทั้งหลายต้องสังวรระวังให้ดี เพราะว่าเราท่านทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็อยู่ในลักษณะของการใช้กำลังใจข่มกิเลสเอาไว้ ซึ่งจะสามารถใช้ได้แค่ไม่นานเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วถ้าหากว่ากำลังใจไปถึงทางตัน ก็มักจะคลายออกมาเอง ถ้าเราไม่รีบหาวิปัสสนาญาณมาพินิจพิจารณา กำลังใจของเราก็จะวิ่งไปหา รัก โลภ โกรธ หลง แล้วสิ่งที่เราเก็บกดเอาไว้ทั้งหมด ก็จะมาแบบฟ้าถล่มดินทลาย..! ส่วนใหญ่แล้วก็จะรับมือไม่ไหว ทำให้เราสูญเสียครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงไปหลายต่อหลายรูปแล้ว

    ส่วนใหญ่ญาติโยมก็มักจะไม่เข้าใจว่า การประพฤติปฏิบัติในเรื่องของสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานนั้น มีทั้งในประเภทกดกิเลสเอาไว้ชั่วคราว และประเภทที่สามารถชำระสะสางกิเลสไปตามลำดับกำลังใจของตน เมื่อถึงเวลาเห็นท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีความสามารถพิเศษ ก็ไปรบกวนกันชนิด "หัวไม่วาง หางไม่เว้น" ทำให้ท่านไม่มีเวลารักษากำลังใจสำหรับตนเอง จนกลายเป็นตบะแตก กิเลสตีกลับ เสียหายมามากต่อมากแล้ว..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,414
    เรื่องต่อไปก็คือมีญาติโยมท่านหนึ่งปรารภว่า กระผม/อาตมภาพบอกว่า เรื่องของพระคาถาเงินล้านนั้น ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ จัง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือนก็จะเห็นผล "โยมอุตส่าห์ "ตั้งใจฟัง" พระคาถาเงินล้านอยู่ทุกวัน เป็นเวลา ๒ เดือนกว่า ๓ เดือนแล้ว ยังไม่เห็นผลอะไรเลย..!" กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วก็ออกอาการ "น้ำตาจิไหล..!"

    เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพได้บอกกล่าวอย่างชัดเจนแล้วว่า
    "ให้ภาวนา" ก็คือใช้พระคาถาเงินล้านเป็นคำภาวนา ควบกับลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่แค่ฟังเฉย ๆ เท่านั้น เหมือนอย่างกับมีคนมาบอกวิธีหาเงินให้กับท่านทั้งหลาย แล้วท่านบันทึกเสียงเอาไว้ เปิดฟังวิธีหาเงินอยู่ทุกวัน ถ้าไม่ลงมือทำเลย แล้วเงินนั้นจะมาเข้ากระเป๋าท่านได้หรือไม่ ?

    ดังนั้น..หลายท่านเมื่อฟังแล้วก็ตีความไม่แตก แถมยังมาตำหนิติเตียนกระผม/อาตมภาพอีก ว่าไปยืนยันว่าภายใน ๒ เดือนจะเห็นผล แล้วท่านฟังอย่างเคร่งครัดมาตลอดระยะเวลา ๒ - ๓ เดือน ไม่เห็นจะเป็นอย่างที่กระผม/อาตมภาพกล่าวไปเลย เรื่องนี้ต้องบอกว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ถ้าเจอแบบนี้ก็คงจะเครียดเหมือนกัน ก็คือ
    บอกอย่างหนึ่งแล้วไปทำอีกอย่างหนึ่ง ซ้ำยังมาตำหนิอีกว่าสอนไปแล้วไม่เห็นเป็นจริงตามนั้น..!

    อย่างบางท่านที่เคยบอกกล่าวกระผม/อาตมภาพว่า โดนไล่ออกจากงาน ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ เพราะว่าบุคคลผู้นั้นเกรงว่าการปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ นั้น จะเผลอไปพูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ หรือว่าพูดโกหกมดเท็จ ก็เลยใช้วิธีไม่พูดกับใครไปเลย..! ทำให้ถึงเวลาไม่ว่าจะผู้บังคับบัญชาหรือว่าเพื่อนร่วมงาน บอกกล่าวอะไรก็นั่งอมลิ้นนิ่งอยู่อย่างเดียว แล้วก็ต้องมาเสียใจทีหลัง ว่าตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่แล้ว ทำไมถึงโดนไล่ออกจากงาน กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วก็ได้แต่ถอนใจ ว่าบุคคลประเภท "ไม่มีวัวปนเลย" สมัยนี้ทำไมถึงได้มีมากขนาดนี้..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,414
    เรื่องต่อไปก็คือ เรื่องที่มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ไปช่วยเหลือญาติโยมผู้หญิงที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยที่กล่าวว่า "เรื่องของศีลพระเอาไว้ทีหลัง ชีวิตคนนั้นสำคัญกว่า..!" ส่วนอีกท่านหนึ่งก็ดูแลแม่ของตนเอง มีการอาบน้ำ เช็ดตัว ป้อนข้าวให้ โดยที่กล่าวว่า "แม่คือพระอรหันต์ของลูก ตนเองเป็นแค่พระธรรมดา ทำไมจะดูแลปรนนิบัติพระอรหันต์ไม่ได้ ?" ฟังดูแล้วก็เป็นเรื่องที่ดี มีแต่คนสาธุการ แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ผิดล้วน ๆ..!

    ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า อย่างพระเดชพระคุณหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านก็นำโยมแม่ของท่านมาอยู่วัด ปรนนิบัติรับใช้ เช็ดเนื้อ เช็ดตัว ซักผ้า ซักผ่อนให้ แล้วก็มีคนไปตำหนิท่านว่า "เป็นพระทำไมเอาผ้านุ่งผู้หญิง
    ซึ่งเป็นของต่ำไปตากไว้แถวกุฏิ ไม่สมควรที่พระจะทำอย่างนั้น" กระผม/อาตมภาพยังสะใจ ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านตอบว่า "แกยังขึ้นกุฏิข้าได้ แกออกมาจากตรงนั้นของแม่เลย ไม่ต่ำกว่าผ้าถุงอีกหรือ ?" ซึ่งทำเอาบรรดาทายกผู้รู้ดี ถึงขนาดพูดไม่ออกไปตาม ๆ กัน..!

    แต่ในเรื่องนั้น ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า
    หลวงปู่ปาน วัดบางนมโคนั้น ท่านทรงสมาบัติ ๘ ได้คล่องตัว ชนิดที่จะเข้าเมื่อไรก็ได้ จะออกเมื่อไรก็ได้ สามารถตั้งเวลาได้ตามใจนึกของตน ท่านแค่เข้าสมาบัติไปก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง โดนระงับลงชั่วคราว ข้ออาบัติของพระภิกษุก็คือ ภิกษุจับต้องกายหญิง แม้แรกเกิดในวันนั้นด้วยจิตกำหนัด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส คือขาดจากการเป็นพระไปเลย จนกว่าจะโดนลงโทษด้วยการอยู่ปริวาส เมื่อเก็บมานัตต์ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว จึงมารับการสวดอัพภาณคืนความเป็นสงฆ์ให้อีกครั้งหนึ่ง

    เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย กับพระรูปที่ไปช่วยผู้หญิงที่เกิดอุบัติเหตุ เนื่องเพราะว่า
    ศีลพระ ทำให้ท่านเป็นพระหรือไม่เป็นพระ ถ้าหากว่าท่านไปจับต้องกายหญิงด้วยจิตกำหนัดแม้เพียงแวบเดียว ก็ขาดความเป็นพระไปแล้ว ไม่ได้คุ้มค่าอะไรเลย ถ้ามีความจำเป็นในลักษณะนั้น สวมถุงมือยางหนา ๆ เสียยังดีกว่า ทำให้ท่านทั้งหลายสามารถที่จะจับต้องกายหญิงได้

    แต่ว่าต้อง
    "รีบทำรีบจบ" ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้สวมถุงมืออยู่ ถ้าท่านเกิดจิตกำหนัดขึ้นมา กระผม/อาตมภาพถ้าพิจารณาตามมหาปเทส ๔ ก็ต้องบอกว่า เรื่องที่ไม่สมควร เมื่อพิจารณาแล้วว่าไม่สมควร ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเช่นกัน
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,414
    ส่วนพระอีกรูปหนึ่งที่ท่านดูแลแม่ของตนเอง แล้วบอกว่า "แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ๆ ตนเองเป็นพระธรรมดา ทำไมจะปรนนิบัติพระอรหันต์ไม่ได้ ?" ขอเรียนถวายว่าท่านกำลังเข้าใจผิด แล้วจะสอนให้ญาติโยมเข้าใจผิด ๆ หนักยิ่งขึ้นไปอีก

    พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เรื่องนี้มีที่มาจากพระพุทธศาสนามหายาน ซึ่งเกิดจากบุคคลผู้หนึ่ง ตั้งใจจะแสวงหาพระอรหันต์ในโลก แล้วเดินทางไกลไปหลาย ๆ เมือง ทิ้งแม่ของตัวเองให้อยู่กับบ้าน ไปเจอผู้วิเศษท่านหนึ่ง ซึ่งใคร ๆ ลือว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านบอกว่า "ทำไมเจ้าต้องเดินทางมาไกลขนาดนี้ด้วย ในเมื่อแถวบ้านของเจ้าก็มีพระอรหันต์อยู่ บุคคลนั้นใส่รองเท้ากลับข้าง ใส่เสื้อกลับตะเข็บ..!"

    เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็ดีใจมาก จึงรีบเดินทางกลับบ้านที่ห่างมาเป็นเดือนเป็นปี เมื่อไปถึงบ้านในเวลาใกล้สว่าง จึงตะโกนเรียกให้แม่ตนเองมาเปิดประตูบ้าน ด้วยความดีใจที่ได้ยินเสียงลูก แม่คว้ารองเท้าและเสื้อได้ก็ใส่แบบลวก ๆ วิ่งมาเปิดประตูให้ ลูกชายเห็นแล้วก็คุกเข่าลง กราบแม่ตรงนั้นเอง เพราะว่าแม่ใส่รองเท้ากลับข้าง และใส่เสื้อกลับตะเข็บ..!

    ดังนั้น..เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่มาจากพระพุทธศาสนามหายาน ไม่ใช่เถรวาทที่เราเชื่อว่าเป็นพุทธพจน์บทพระบาลี องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ตรัสว่า "บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร" เนื่องเพราะว่าประกอบไปด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คล้ายกับพรหมวิหาร ซึ่งพรหมทั้งหลายทรงอยู่

    เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่ถ้าเผลอนานไป ก็จะกลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป ปะปนกันไปหมด ทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น กลายเป็นจดจำสิ่งที่ผิด ๆ ต่อเนื่องกันไป
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,840
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,572
    ค่าพลัง:
    +26,414
    ตัวอย่างอีกอย่างหนึ่งที่จำกันผิดก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงบัว ๓ เหล่า ก็คือ บัวพ้นน้ำ บัวปริ่มน้ำ และบัวใต้น้ำ ขณะเดียวกันก็กล่าวถึงบุคคล ๔ ประเภท คืออุคฆฏิตัญญู ฟังหัวข้อธรรมก็บรรลุได้เลย

    วิปจิตัญญู ฟังหัวข้อธรรมแล้วขยายความเล็กน้อยก็สามารถบรรลุธรรมได้

    ส่วนเนยยะนั้น เป็นบุคคลที่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช ปากเปียกปากแฉะ ถึงจะสามารถเข้าถึงธรรมได้บ้าง

    ขณะเดียวกัน พวกปทปรมะ ก็เป็นประเภทที่ฉลาดเกินจนไม่ยอมรับความคิดของผู้อื่น จนทำให้เข้าถึงธรรมไม่ได้

    แล้วเราก็เอาบัว ๓ เหล่า กับบุคคล ๔ จำพวกมายำใหญ่รวมกัน กลายเป็นบัว ๔ เหล่า ก็คือไปเพิ่มบัวที่อยู่ในโคลนตม รังแต่เป็นอาหารของปลาและเต่ามาด้วย..!

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้านาน ๆ ไป ก็จะกลายเป็นการเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ มากล่าวว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา รังแต่จะทำให้พระพุทธศาสนาของเราวิปริตผิดเพี้ยนไปเรื่อย จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายควรที่จะศึกษาให้เข้าใจ แล้วสามารถที่จะชี้แจงต่อผู้อื่นได้อย่างชัดเจน เรียกว่าสามารถเป็น "ทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนา" ได้ อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระมงคลเทพมุนี หรือว่าหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านได้กล่าวเอาไว้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัท ๔ อย่างแท้จริง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...