เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 มีนาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพวิ่งไปร่วมงานทำบุญ ๑๑๓ ปีชาตกาล พระราชอุดมมงคล หรือว่าหลวงพ่ออุตตะมะ ที่วัดวังก์วิเวการาม

    เมื่อเจริญพระพุทธมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ขอตัวกับพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ว่าจำเป็นที่จะต้องเร่งเดินทางไปยังศูนย์ปฏิบัติธรรมคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม (แห่งที่ ๒) เพื่อช่วยในการฝึกซ้อมภาคปฏิบัติของว่าที่พระอุปัชฌาย์ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ เนื่องจากว่าวันนี้บรรดากรรมการสอบภาคปฏิบัติเกือบทั้งหมดมาอยู่ที่วัดวังก์วิเวการาม..!

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรียังปรารภว่า "พระอาจารย์เล็กไปก็ดี จะได้เป็นตัวแทนของจังหวัดกาญจนบุรี ให้ผู้บังคับบัญชาเห็นว่า เราไม่ได้ทิ้งงานเสียทั้งหมด" แต่เมื่อกระผม/อาตมภาพเดินทางมาถึง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่กำลังเริ่มเก็บโต๊ะเก็บเก้าอี้ เนื่องเพราะว่าการสอบภาคปฏิบัติของวันนี้เสร็จสรรพเรียบร้อยพอดี..!

    ทุกท่านต้องเข้าใจว่า จากวัดวังก์วิเวการาม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวัดหลวงพ่ออุตตะมะ ที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ลงมาถึงศูนย์ปฏิบัติธรรมคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม (แห่งที่ ๒) นั้น เป็นระยะทางประมาณ ๓๕๐ กิโลเมตร กระผม/อาตมภาพสามารถวิ่งมาถึง ก่อนที่เขาจะปิดการอบรมในช่วงบ่ายได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันศุกร์ที่รถมักจะติดมากเป็นพิเศษ

    แต่ว่าเรื่องทั้งหมดที่ทำในวันนี้ ไม่ได้คิดที่จะนำมาบอกมากล่าวให้กับท่านทั้งหลาย ส่วนที่อยากจะนำมาบอกมากล่าวให้กับท่านทั้งหลายนั้น มีอยู่สองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรก..สำหรับคนใจร้อนใจเร็ว แต่อยากปฏิบัติธรรม มีการขายคอร์สปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในราคา ๒๕,๐๐๐ บาท..!

    กระผม/อาตมภาพคิดว่า ถ้าเรื่องการปฏิบัติธรรมจนเป็นพระอรหันต์ สามารถมีใครพาเราลัดไปได้ภายในชาตินี้ หรือภายในชาติหน้า อย่าว่าแต่ ๒๕,๐๐๐ บาท เลย ๒ ล้าน ๕ แสนบาท กระผม/อาตมภาพก็พร้อมที่จะจ่าย หรือว่า ๒๕ ล้านบาท ก็พร้อมที่จะจ่าย แต่ขอเวลาหาเงินหน่อยเท่านั้น..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ใกล้เคียงกับวิธีการอาบแสงทิพย์อริยธรรม เพื่อเลื่อนขั้นของความเป็นพระอริยเจ้า ที่สำนักหนึ่งเคยทำเอาไว้ กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า ถ้าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะทำได้ง่าย ๆ แบบนี้ พระพุทธเจ้าพาพวกเราไปพระนิพพานกันหมดแล้ว ไม่ใช่ว่ามีทางลัดให้ไป แล้วพระองค์ไม่ได้ชี้ทางให้ไป

    อย่าลืมว่า อุชุปฏิปันโน คือ ปฏิบัติตรง ถูกต้องตามมรรค ๘ ที่พระองค์ท่านสอนเอาไว้ ซึ่งมรรค ๘ นี่แหละคือมัชฌิมาปฏิปทา ความพอเหมาะพอดี ที่จะพาเราให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพานได้ง่ายที่สุดแล้ว

    ถ้าหากว่าง่ายกว่านี้ ขอให้ทุกท่านระแวงไว้ก่อนว่า อาจจะไม่ใช่ง่ายของพระพุทธเจ้า ท่านทั้งหลายที่มาปฏิบัติธรรม ต้องเป็นบุคคลที่ประกอบไปด้วยศรัทธา โดยเฉพาะตถาคตโพธิสัทธา ศรัทธาในการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่าไม่มีศรัทธาเสียแล้ว เราก็ไม่คิดที่จะมาปฏิบัติธรรม

    เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงขอโยงเข้ามาสู่เรื่องที่สอง ซึ่งมีนายแพทย์ท่านหนึ่ง สามารถที่จะเห็นผีเห็นวิญญาณได้ ท่านให้สัมภาษณ์ในลักษณะของผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดมาก ก็คือตั้งคำถามในทุกเรื่อง..! แต่ว่าการตั้งคำถามในทุกเรื่องของท่านนั้น ก็ยังไม่หนักเท่ากับการที่ท่านไปอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับพระอรหันต์ อย่างเช่นว่า พระอรหันต์ต้องมีความอยาก ถ้าหากว่าไม่อยาก ท่านจะปฏิบัติจนบรรลุความเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร ?

    เรื่องนี้แม้ว่าท่านจะเป็นคุณหมอ แต่อาจจะแยกไม่ออก แม้ท่านจะใช้คำว่า "ฉันทะ" แทนความอยากนั้นก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อฉันทะเกิดขึ้น แล้วท่านกำลังอยากอยู่ ท่านจะเป็นพระอรหันต์ได้ ท่านต้องวางความอยากทั้งปวงเสียก่อน ถึงจะเป็นพระอรหันต์ได้ เหมือนอย่างกับว่า ถ้าท่านอยากจะที่จะข้ามแม่น้ำ ท่านก็ต้องหาเรือ หาแพ หรือว่าหาห่วงยาง หรือท้ายที่สุด หาอะไรไม่ได้เลย ก็ขอนไม้ที่ท่านจะเกาะลอยตัวข้ามแม่น้ำไป

    การที่ท่านแสวงหานั่นแหละ ก็คือการแสวงหาหลักธรรมที่เหมาะกับตนเอง เมื่อท่านได้หลักธรรมนั้นแล้ว นำมาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ในช่วงนั้น ท่านก็ไม่ต้องอยากข้ามน้ำแล้ว เพราะว่าท่านอยู่ในระหว่างที่ข้ามน้ำนั้น เมื่อข้ามพ้นไปแล้ว ท่านก็ไม่ต้องอยากที่จะพ้น ไม่ต้องแบกเอาเรือ คือหลักธรรมนั้นไปด้วย ดังนั้น..ตรงนี้ต้องแยกแยะให้ออกว่าเมื่อฉันทะเกิด ไม่ได้แปลว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ยังมีขั้นตอนต่าง ๆ โดยประมาณดังที่กล่าวมานี้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    แล้วท่านก็ยังอธิบายต่อไปว่า พระอรหันต์ยังมีความอยากอยู่ อย่างเช่นว่าอยากสงเคราะห์ชาวบ้าน อยากที่จะก่อสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนิกชน หรือเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ตรงนี้อยากจะเรียนคุณหมอให้ทราบไว้ว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ความอยาก บุคคลถ้าหากว่าเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์จริง ๆ แล้ว ไม่มีใครที่คิดอยากทำสิ่งหนึ่งประการใดต่อ ยกเว้นว่ามีบุญสัมพันธ์ มีกรรมสัมพันธ์ หรือว่ามีภาระหน้าที่ซึ่งได้ตั้งใจเอาไว้ก่อนหน้านั้น

    ถ้าหากว่ามีบุญสัมพันธ์ มีกรรมสัมพันธ์ กับบุคคลหนึ่ง หรือคณะบุคคลหนึ่งก็ดี หรือว่ามีภาระหน้าที่ซึ่งได้อธิษฐาน หรือตั้งใจไว้ว่าจะมาทำงานนั้นก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถึงจะต้องทำงานต่อ แต่เป็นการทำตามบุญ
    ตามกรรมนั้น ๆ หรือว่าเป็นการทำตามภาระหน้าที่ซึ่งได้ตั้งใจเอาไว้ ไม่ใช่ทำเพราะว่าท่านอยากทำ

    โดยเฉพาะในจุดที่ว่า ท่านมาอธิบายถึงอารมณ์ใจของพระอริยเจ้าระดับสูงอย่างพระอรหันต์เลย บุคคลที่จะอธิบายได้อย่างถูกต้องแท้จริง ก็ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ไม่ใช่บุคคลทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจจะเรียนจบแพทย์มาด้วยเกียรตินิยมอันดับ ๑ หรือว่าเรียนจบปริญญาเอกมาด้วยคะแนนยอดเยี่ยม วิทยานิพนธ์ยอดเยี่ยม เนื่องเพราะว่าสิ่งที่ท่านรู้ ท่านรู้ด้วยไอคิว ด้วยกำลังของสมองซึ่งเป็นปัญญาทางโลก ๆ จัดเป็นได้แค่สุตมยปัญญา และจินตมยปัญญาเท่านั้น หาได้เข้าถึงความเป็นภาวนามยปัญญาไม่

    บุคคลที่จะเข้ามาสู่หนทางแห่งธรรม ตามที่คุณหมอได้อธิบายเอาไว้มากมาย ฟังดูสำนวนแล้วก็เหมาะกับคนรุ่นใหม่มาก แต่ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ตั้งคำถามกับทุกเรื่อง เหมือนอย่างกับมีอาหารอยู่ตรงหน้า ๑ จาน สมมติว่าเป็นผัดกะเพราไข่ดาวก็แล้วกัน คุณหมอก็จะมาตั้งคำถามว่า ข้าวจานนี้หุงมาจากข้าวยี่ห้ออะไร ? ผัดกะเพราะนี้ เป็นเนื้อที่เก็บมาแล้วกี่วัน ? ต้องใช้กะเพรากี่ยอด ? ต้องใช้พริกกี่เม็ด ? หรือว่าไข่ดาวนี้เป็นไข่ดาวที่ทอดมาจากไข่ไก่เบอร์อะไร ? ถ้าอย่างนั้นคาดว่าคุณหมอจะต้องหิวท้องกิ่วต่อไป..!

    เนื่องเพราะว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เมื่อท่านเชื่อถือศรัทธาก็จะตั้งหน้าตั้งตาลงมือทำ ถูกต้องที่คุณหมอกล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าให้เชื่อ ซ้ำพระองค์ท่านยังบอกเสียด้วยว่า อย่าเชื่อด้วยเหตุประการต่าง ๆ ๑๐ อย่างด้วยกัน แล้วให้เชื่อก็ต่อเมื่อพิสูจน์แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    ดังนั้น..หลักธรรมในพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าไม่ให้เริ่มด้วยศรัทธาจะไม่สามารถไปต่อได้ มีศรัทธาแล้ว ถ้าหากว่าไม่มีวิริยะ ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ท่านก็ไม่สามารถที่จะไปได้จนถึงปลายทาง เนื่องเพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น ต้องมีสมบูรณ์บริบูรณ์ หรือที่ภาษาบาลีใช้คำว่า เสมอกัน

    แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ การปฏิบัติบางสายก็บอกว่า สมาธิไม่ต้องไปทำมาก เพราะว่าจะทำให้เราติดอยู่ในสมาธิเฉย ๆ เกิดโกสัชชะ คือความเกียจคร้านขึ้นมา ให้ทำแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ระดับขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิก็พอ ขอเพียงสามารถทำให้อินทรีย์ ๕ พละ ๕ เสมอกันแล้ว เราก็เข้าถึงมรรคถึงผลได้ ซึ่ง
    คำอธิบายนี้มีทั้งส่วนถูกและส่วนผิด

    เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมาสายสมถะ สามารถปฏิบัติจนได้ฌาน ๔ หรือว่าสมาบัติ ๘ ก็เหมือนอย่างกับบุคคลที่มีสมบัติมหาศาลอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องลดตัวเองลงไปเป็นคนยากคนจน ที่มีเงินแค่บาทแค่ร้อยเท่านั้น ? "เหตุใดเราจึงไม่ยกเอาศรัทธา วิริยะ สติ และปัญญา ขึ้นมาให้เท่ากับสมาธิ แต่กลับให้ลดสมาธิลงไปให้เท่ากัน ?" เป็นต้น

    ดังนั้น..สิ่งที่คุณหมออธิบายมา บางอย่างก็ฟังดูเข้าท่าดี แต่บางอย่างก็ไม่น่าจะใช่ ถ้าหากว่ายังอยู่ในลักษณะนี้ต่อไป แล้วมีคนเชื่อตาม คุณหมออาจจะสร้างมิจฉาทิฏฐิให้กับคนเป็นจำนวนมาก ก็คือตั้งคำถามในพระพุทธศาสนาทุกเรื่อง เสียเวลาในการคิดในการวิเคราะห์แบบโลก ๆ แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปเลย แล้วเราจะได้เสวยวิมุตติรส คือ ผลจากการปฏิบัติตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ไม่ใช่ไปตั้งแง่ว่า พระไตรปิฎกไม่ใช่สิ่งที่ออกจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีการสังคายนามาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แม้แต่ครั้งล่าสุด ก็ยังสังคายนาหลังจากการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว เป็นต้น
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    เรื่องพวกนี้ญาติโยมทั้งหลายหรือว่าพระภิกษุสามเณรของเราฟังแล้ว โปรดใช้ปัญญาของตนเองตรองดู ว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่กระผม/อาตมภาพพูดมานี้เป็นไปตามพระไตรปิฏกหรือไม่ ?

    เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพบวชมา ก็ด้วยศรัทธาในครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านเคารพศรัทธาในพระไตรปิฎก ก็คือเคารพในพระพุทธเจ้าที่เทศนาสั่งสอนมา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จนกระทั่งมีพระสงฆ์สาวกปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสืบ ๆ กันมา จนถึงองค์ครูบาอาจารย์ท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพก็เชื่อถือศรัทธาในพระไตรปิฎกด้วย

    เนื่องเพราะว่าบุคคลนั้นมีหลายจำพวกด้วยกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไม่ได้ตรัสหลักธรรมตรง ๆ ทื่อ ๆ แต่ประการเดียวสำหรับทุกคน หากแต่ต้องยักย้ายถ่ายเทให้เหมาะสมกับบุคคล กาลเทศะ หรือสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วพระองค์ท่านตรัสหลักธรรมหัวข้อเดียว สามารถพาทุกคนไปพระนิพพานได้ แล้วพระองค์จะเทศน์ไปให้เหนื่อยยากทำไมถึง ๔๕ พรรษา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์..!?

    จึงขอฝากเอาไว้ในฐานะสหธรรมิกผู้ร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกัน ว่าคุณหมอโปรดใช้ปัญญาตรองดูว่า สิ่งที่กระผม/อาตมภาพว่ามานี้ ใช่หรือไม่ใช่ จะแย้งประการใดก็ไม่ได้ว่า
    กระผม/อาตมภาพยินดีรับเอาไว้พิจารณาด้วยความเคารพ

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...