เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 กันยายน 2024 at 16:59.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,721
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,456
    ค่าพลัง:
    +26,285
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,721
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,456
    ค่าพลัง:
    +26,285
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ หลังจากที่เจริญพระกรรมฐานและทำวัตรเช้าแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ขอสัตตาหะฯ ในท่ามกลางสงฆ์ เพื่อเดินทางไปกิจนิมนต์และงานอื่น ๆ ตามที่มีตารางกำหนดล่วงหน้าไว้แล้ว ได้วิ่งจากอำเภอทองผาภูมิลงมา ปรากฏว่าอากาศทางด้านนี้กลายเป็นฤดูหนาวไปแล้ว มีแต่หมอกท่วมไปทั้งเมือง บรรยากาศต่างกับที่อื่นเหมือนกับอยู่คนละโลก..!

    พวกเราวิ่งมารับพลขับมือหนึ่ง ก็คือคุณแดง (มงคล ม่วงน้อยเจริญ) ที่นนทบุรี แล้ววิ่งยาวขึ้นสู่ภาคเหนือ มาแวะฉันเพลที่ร้านข้าวแกงแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดอ่างทอง ปรากฏว่ารสชาติของก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นใช้ได้อยู่ แต่บรรยากาศไม่อำนวยให้เลย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ทั้งร้านใหญ่ ๆ โต ๆ ที่มีโต๊ะเกิน ๒๐ โต๊ะนั้น นอกจากโต๊ะกับเก้าอี้แล้ว ไม่มีอะไรให้แม้แต่อย่างเดียว ปกติถ้าเข้าร้านแบบนั้นก็จะมีพวงเครื่องปรุง มีที่ใส่ตะเกียบ จาน ช้อน กล่องกระดาษทิชชู่ เหล่านั้นเป็นต้น แต่ที่นี่ไม่มีอะไรให้เลย..!

    แล้วระยะหลังก็มีการจัดร้านในลักษณะนี้มากต่อมากแห่งด้วยกัน จึงทำให้กลายเป็นบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตร ก็คือคนกินก็ไม่อยากจะนั่งนาน เนื่องเพราะว่าทันทีที่เห็นเราวางมือจากถ้วยหรือจานอาหาร ก็จะมีคนเข้ามาเก็บแล้วเช็ดโต๊ะทันที ถ้าหากว่าให้คิดแบบคนมองโลกในแง่ร้ายก็คือ "อิ่มแล้วก็รีบ ๆ ไปได้เลย" ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า
    แม้ใกล้เที่ยงแล้วยังแทบหาคนเข้าร้านไม่ได้ เนื่องเพราะว่าบรรยากาศแบบนี้หาความเป็นมิตร หรือว่าหาความเป็นกันเองไม่ได้

    กระผม/อาตมภาพเจอร้านบางแห่ง คนแออัดยัดเยียดกันเข้าไปอย่างชนิดเหมือนกับกินฟรี ปรากฏว่ารอบบริเวณเขาจัดสถานที่เอาไว้ให้นั่งเล่น ให้ถ่ายรูป ให้ชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ ตลอดจนกระทั่งให้นั่งบนเบาะนุ่ม ๆ ตามสบาย จะกลิ้งซ้ายกลิ้งขวาก็ได้ มีทั้งแบบเป็นเก้าอี้หวาย มีทั้งแบบเป็นเก้าอี้เหล็ก และมีทั้งแบบเบาะกองกับพื้น ใครจะนอนเลยก็ไม่ว่า จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมร้านอาหารแบบนั้นถึงมีคนเข้ามากมายนัก เด็กนักเรียนบางคนถึงขนาดไปเสียบโน้ตบุ๊กทำการบ้านกันเป็นกลุ่ม ๆ ก็มี..!

    บรรยากาศในลักษณะนี้มีความเป็นกันเอง แล้วก็แสดงออกให้เห็นน้ำใจที่กว้างขวาง ยินดีต้อนรับคนทุกประเภท อะไรที่เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการเสียบชาร์จโทรศัพท์หรือโน้ตบุ๊กฟรี ตลอดจนกระทั่งน้ำดื่มฟรีที่มีให้กดเอง ก็ถือว่าเป็นของแถมให้กับลูกค้าไป คุณเข้ามาจะไม่ซื้ออะไรก็อยู่ในทำนองว่า "ไม่กินไม่เที่ยว แวะเยี่ยวก็ยังดี..!" ถ้าลักษณะนี้ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมสถานที่หนึ่งลูกค้าถึงได้ล้นเหลือ ขณะเดียวกันอีกที่หนึ่ง ดูกว้างขวางใหญ่โตโอ่อ่ากว่ามาก แต่บรรยากาศไม่ชวนให้ลูกค้าเข้าไปเลยแม้แต่นิดเดียว..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,721
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,456
    ค่าพลัง:
    +26,285
    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านที่จัดร้านในลักษณะที่ว่ามา ถ้าหากว่าได้ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนแล้วได้โปรดทราบว่า ถ้าหลวงพ่อเล็กวัดท่าขนุนที่เป็นคนเรื่องน้อยที่สุดในโลก ตามที่คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ประธานกรรมการบริษัทเอ็นซีทัวร์ได้กล่าวเอาไว้ ยังเป็นคนที่ "คอมเพลน" ออกมาในลักษณะอย่างนี้ ก็แปลว่าสิ่งที่ท่านทำนั้น ภาษาวัยรุ่นเขาบอกว่า "ไม่เวิร์ค"..!

    เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเปลี่ยนได้ให้รีบเปลี่ยน เรื่องพวกนี้อย่าไปล้อเล่นกับระบบ..! ขออภัย..อย่าไปล้อเล่นกับลูกค้า เนื่องเพราะว่าลูกค้าจะติดใจหรือไม่ติดใจ จะมาใหม่หรือไม่มาใหม่ บรรยากาศในร้านมีส่วนเกินครึ่ง

    ต่อให้อาหารของท่านไม่อร่อยขนาดติดดาวมิชลิน แต่ถ้ากลืนลงไปไม่ลำบากมากนัก แล้วบรรยากาศร้านชวนให้คนเข้าไปนั่ง ชวนให้คนเข้าไปนอนกลิ้งเล่น จะส่งไลน์หาเพื่อนแบบ "ชิลล์ ๆ" ก็ไม่มีใครว่าอะไร เขาก็จะมองข้ามรสชาติของอาหารไปเอง ดังนั้น..ถ้าเป็นไปได้ ท่านทั้งหลายที่จัดร้านใน "แบบไล่แขก" ได้โปรดเปลี่ยนการจัดร้านเป็น "แบบเรียกแขก" ให้ด้วย จะได้แวะเวียนกันเข้ามา ช่วยกันทำมาหากินใหม่

    เมื่ออิ่มแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ฝ่าฝนที่เริ่มตกปรอย ๆ ผ่านจากอ่างทองไปสู่ชัยนาท อุทัยธานี นครสวรรค์ เลี้ยวขวาผ่านพิจิตร เข้าสู่พิษณุโลก มาถึงปรากฏว่าวัดใหญ่ คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร นั้น กำลังมีงานแข่งเรือประจำปีอยู่ เสียงเชียร์เรือแข่งดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด และที่สำคัญก็คือสถานที่เคยจอดรถได้ กลายเป็นที่ตั้งร้านค้าไปหมด พวกเราจึงต้องอ้อมไปยังลานจอดรถทางด้านหลัง แล้วก็เดินฝ่าฝนที่ตกปรอย ๆ เพื่อเข้าไปกราบสักการะพระพุทธชินราช

    เมื่อไปถึงแล้วปรากฏว่าน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) บ่นว่า เข้ามาทางที่ไม่เคยชิน ทำเอาเกือบจะเดินหลงแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ขำอยู่คนเดียว เนื่องเพราะว่าทันทีที่เดินผ่านหลวงพ่อพระยืน ที่อาคารเก่าแก่ทางด้านหน้าลานจอดรถ ก็ส่งกำลังใจบอกเทวดาที่รักษาหลวงพ่อว่า "รบกวนนำทางให้หน่อย จะเข้าไปกราบหลวงพ่อพระพุทธชินราช" ท่านก็เลยนำทางเข้าไปทางด้านประตูเล็ก ข้างวิหารคตองค์พระปรางค์ข้างพระพุทธชินราช จากนั้นพาเลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวซ้ายอีกที ก็เห็นวิหารพระพุทธชินราชตั้งอยู่ตรงหน้า

    กระผม/อาตมภาพไปซื้อบายศรีเพื่อที่จะเอาไปถวายสักการะ เนื่องเพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ก็คือหลวงปู่มหาอำพัน - ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ท่านได้เมตตาสั่งไว้ว่า "ตราบใดที่คุณยังบวชอยู่ เมื่อออกพรรษาแล้ว ให้หาโอกาสไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ พระแก้วมรกต พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และองค์พระปฐมเจดีย์ให้ได้ แล้วท่านก็บรรยายถึงความศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละสถานที่ให้ฟังเป็นฉาก ๆ
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    18,721
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,456
    ค่าพลัง:
    +26,285
    กระผม/อาตมภาพเองมีความเลื่อมใสในสถานที่ทั้งหมดอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้มีข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ประจำตัว แต่เมื่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาบอกให้ ก็ได้ทำการถวายสักการะเป็นประจำทุกปีหลังจากออกพรรษา ช้าบ้างเร็วบ้าง ตามแต่งานที่รัดตัวอยู่ ถ้าตราบใดที่ยังพอที่จะเดินทางได้ไหว ก็คิดว่าจะมาถวายสักการะด้วยตนเองเช่นนี้ทุกปี

    เมื่อกราบพระ สวดมนต์ อธิษฐานและอุทิศส่วนกุศลเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อเทวดาก็นำทางกลับมาทางเดิม แต่ปรากฏว่าคุณแดง โชเฟอร์ของเรามัวแต่ไปดักอยู่หน้าประตูใหญ่ เจอ "เจ้าถิ่น" ที่ชำนาญทางกว่า จึงยืนรอเสีย "เงก" ไปเลย จนกระทั่งต้องโทรศัพท์ตามตัวถึงจะมา..!

    เรื่องพวกนี้หลายท่านบางทีก็สังเกตว่า กระผม/อาตมภาพไปถึงสถานที่นั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกัน แต่ทำไมเดินเหมือนอย่างกับคนที่คุ้นเคยมาก ? ก็เกิดจากสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือเคยเกิดอยู่บริเวณสถานที่นั้นมาก่อน สาเหตุที่สองก็คือมีเจ้าถิ่นพาไปแบบในลักษณะนี้

    แต่ไม่ใช่แบบตอนที่ไปประเทศในยุโรป เพื่อดูงานในฐานะนิสิตปริญญาเอก เพื่อน ๆ หลายคนถึงขนาดปรารภว่า "พระครูวิลาศฯ รู้ได้อย่างไรวะว่าห้องน้ำอยู่ทางด้านนี้ ?" แล้วก็มีเพื่อนฟันธงว่า "ผมว่าท่านต้องดมกลิ่นเอาแน่เลย..!" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ไล่เตะเพื่อนฝูงปากปีจอ พร้อมกับบอกว่า "อย่าโง่สิวะ..! เขาให้มองที่พื้น ถ้าหากว่ามีตัวอักษร WC ก็ให้รู้ไว้ว่านั่นคือทางไปห้องน้ำ ฝรั่งเขาไม่ได้ติดป้ายเอาไว้ในระดับสายตาแบบพวกเรา แต่เขาใช้ตัวอักษรบนพื้น พร้อมกับลูกศรชี้ทางเท่านั้น โง่แล้วยังว่าคนอื่นให้เสียหายอีก..!"

    ในฐานะที่เป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงกัน บางทีเราก็เล่นกันแรง ๆ จนกระทั่งครูบาอาจารย์บางท่านก็เป็นห่วงว่าจะโกรธจะเคืองกันหรือเปล่า ? แต่ก็เห็นรักใคร่สามัคคีกันดีมาจนทุกวันนี้ แม้กระทั่งเพื่อนฝูงร่วมรุ่นปริญญาเอกหลายต่อหลายท่าน ก็กลายเป็น FC วัดท่าขนุนตัวจริงไปเสียแล้ว..!

    เมื่อกราบสักการะพระพุทธชินราชและหาสถานที่เข้าห้องน้ำแล้ว พวกเราก็ฝ่าฝนตรงไปยังจังหวัดสุโขทัยเพื่อเข้าสู่ที่พักคืนนี้ เนื่องเพราะว่าพรุ่งนี้นั้นมีงานสืบชะตาหลวงของหลวงพ่อบุญส่ง อุปสโม - ท่านพระครูพิศาลสันติคุณ เจ้าอาวาสวัดเขาแร่ในพระสังฆราชูปถัมภ์ จึงตั้งใจว่าจะเดินทางไปพักอยู่ใกล้ ๆ

    เหตุที่ไม่ยอมเข้าไปวัดก็เพราะว่า กระผม/อาตมภาพเข็ดกับที่พักในวัดเขาแร่ไปแล้ว เนื่องจากว่าแต่ละห้องนั้น ประเดประดังเอากลิ่นน้ำอบน้ำหอมสารพัดเอาไว้จนปวดหัวไปหมด แทนที่จะได้พักผ่อนก็กลายเป็นนอนไม่หลับแทน จึงใช้วิธีหาที่พักทางด้านนอก แล้วช่วงเช้าค่อยเดินทางเข้าไปยังหน้างาน

    ที่พักคืนนี้รู้สึกว่าดีมากเสียด้วย ก็คือบ้านทุ่งรีสอร์ต อยู่ในบริเวณอำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ซึ่งตรงบริเวณนั้นน่าจะเป็นเพราะว่าห่างจากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จึงทำให้ที่พักนอกจากจะเหลือเฟือ เพราะว่าเป็นช่วง "โลว์ซีซั่น" และพายุฝนมาแล้ว ยังเป็นสถานที่ไม่ได้ใกล้แหล่งเที่ยวอะไรมากมาย นอกจากหลวงพ่อศิลา วัดทุ่งเสลี่ยมเท่านั้น จึงเหลือที่พักที่เป็นบ้านเป็นหลัง ๆ ให้กับพวกเรา อ่านในรีวิวแล้วรู้สึกว่าจะมีหมอนวดเสียด้วย ถ้าหากว่าไปถึงแล้วมีหมอนวดผู้ชาย จะลองให้ช่วยซ่อมสุขภาพดูสักหน่อย

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...