เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 19 มีนาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตามที่มหาเถรสมาคมมีมติให้คณะสงฆ์ไทยทุกวัด เจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสเจริญพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา โดยให้มีการเจริญบททสมปรเมนทมหาราชาภิถุติคาถา

    ขอให้พวกเราเจริญบทนี้กันทุกวัน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เหมือนอย่างสมัยที่พวกเราเจริญพระพุทธมนต์ถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ในโอกาสเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา จนกระทั่งไปถึงพระองค์ท่านสวรรคต ก็แค่เปลี่ยนปีอายุตามไปเท่านั้น ว่าจากที่เป็นทะเวสัตตะติสะมายุโก (๗๒ พรรษา) ปีต่อไปก็เป็น เตสัตตะติสะมายุโก (๗๓ พรรษา) ไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ

    เรื่องของราชวงศ์ต้องบอกว่าเป็นสถาบันหลักที่สำคัญมาก เป็นเครื่องยึดโยงใจของประชากรไทยที่ดีที่สุด ดังนั้น..สิ่งหนึ่งประการใด ที่คณะสงฆ์ของเราสามารถที่จะทำถวายเป็นพระราชกุศล หรือแบ่งเบาพระราชภาระธุระ ขอให้ทุกคนทำให้เต็มที่

    สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพเดินทางไปเยี่ยมพระนิสิตปริญญาตรี คณะพุทธศาสตร์ สาขาวิปัสสนาภาวนา ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ซึ่งไปเข้าปริวาส เพื่อปรับศีลของตนเองให้มั่นใจว่าบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ก่อนที่จะไปเจริญกรรมฐานภาคปฏิบัติ น่าจะ ๓ เดือน ที่สำนักกรรมฐานงุยเตาอู ประเทศพม่า เพราะว่า ๗ เดือนนั่นเป็นของปริญญาโท

    หลังจากที่ให้โอวาท โดยเน้นว่าเป็นโอกาสดีที่สุดในชีวิตของเราครั้งหนึ่ง อย่าปล่อยให้เสียเปล่า โดยเฉพาะทุกคน แบกเอาชื่อเสียงเกียรติคุณของพระพุทธศาสนาในเมืองไทยไปด้วย ถ้าทำอะไรไม่จริงจัง ให้เขานึกตำหนิติเตียนมาได้ก็ถือว่าขาดทุน ต่อให้ทำดีเท่าดี ก็ถือว่าเสมอตัวเท่านั้น

    ในเรื่องของการศึกษาพระปริยัติธรรม และพระปฏิบัติธรรมของคณะสงฆ์พม่า ไปไกลกว่าเรามาก แม้กระทั่งการศึกษาในเบื้องต้น คือธัมมะจริยะ ซึ่งเทียบเท่าประโยค ๙ ของเมืองไทย เมื่อจบแล้ว ผู้ที่จบธัมมะจริยะต้องปฏิบัติธรรมอย่างน้อย ๔ เดือน ก็คือปฏิบัติในอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถละ ๑ เดือน ดังนั้น..พระของพม่า ถ้าหากว่าจบธัมมะจริยะแล้ว สอนกรรมฐานได้ทุกรูป แต่ประเทศเราไม่มีการบังคับ จบแล้วจบเลย

    ของเขาจบจากธัมมะจริยะแล้ว ยังมีการเรียนบาลีปารคู คือใช้ภาษาบาลีในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันนี้บ้านเราเห็นมีที่สำนักวัดจองคำเท่านั้น หลังจากนั้นยังมีการสอบผู้ทรงพระไตรปิฎกอีก ก็คือต้องท่องพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ได้ ส่วนของบ้านเราพอจบประโยค ๙ ถ้าไม่ได้เป็นครูบาอาจารย์สอนบาลี ก็แทบจะไม่ได้ใช้วิชาความรู้ของตนเองเลย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    แม้กระทั่งล่าสุด การฝึกซ้อมอบรมความรู้เพื่อเป็นพระอุปัชฌาย์ ก็มียังมหาเปรียญ ๙ ประโยคสอบตกภาคปฏิบัติ..! ยังดีว่าเป็นการตกในระดับคณะสงฆ์ภาคเท่านั้น จึงมีการอะลุ้มอล่วยให้โอกาสท่านเข้าไปสอบในส่วนกลาง ช่วงระยะเวลา ๕ วันที่ส่วนกลาง ท่านต้องทุ่มเทมากกว่าคนอื่น ก็เพราะว่าความประมาท คิดว่าตนเองจบประโยค ๙ แล้วอย่างอื่นจะง่ายหมด ไม่จริงนะครับ

    การฝึกซ้อมอบรมผู้เข้าสอบความรู้เพื่อเป็นพระอุปัชฌาย์ของคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ปีนี้ ทำเอากระผม/อาตมภาพผิดหวังกับเหล่ามหาเปรียญมากเป็นพิเศษ เนื่องเพราะว่าประโยค ๖ สองรูป ประโยค ๙ อีกหนึ่งรูปเขียนบาลีผิด..! ซึ่งระดับนั้นแล้วไม่ควรที่จะผิด ไม่รู้ว่าจะรีบไปไหน หรือว่าจำผิดก็เลยเขียนผิดก็ไม่รู้ ?!

    ดังนั้น..การที่เราจบประโยคสูง ๆ หรือว่าจบทางโลกสูง ๆ ไม่แน่ว่าในเรื่องของการสอบเพื่อเป็นพระอุปัชฌาย์จะผ่านได้ แค่หลักการคิดเลขง่าย ๆ คือคิดอายุ เราก็ตายคาที่แล้ว..! ส่วนใหญ่ด้วยความเคยชิน พอวันบวชมากกว่าวันเกิด ก็จะต้องไปยืมเดือนเกิดมา ด้วยความเคยชิน เรายืมมาก็บวก ๑ อย่าลืมว่าเรายืมเดือนมาเป็นวัน ต้องบวก ๓๐ แล้วพอยืมปีมาเป็นเดือน ต้องบวก ๑๒ ใครเผลอเมื่อไรก็สอบตกเมื่อนั้น..!

    เหตุที่เขาบังคับให้ตกเพราะว่าการคิดอายุ ถ้าเราคิดผิด ผู้ที่บวชเข้าไป อายุอาจจะไม่ครบก็ได้ จึงต้องเข้มงวดกันหน่อย แต่ก็มีหลวงปู่หลวงพ่อบางท่านที่เขียนหนังสือไม่เก่ง คิดเลขไม่เก่ง แต่ท่านงอนิ้วนับได้ เขาก็ให้ผ่าน เพราะว่าท่านสวดได้หมด เพียงแต่ว่าต้องดูว่าเป็นพระมหาเถระรุ่นเก่า ๆ ที่แทบจะไม่ได้เรียนหนังสือจริง ๆ

    หลังจากนั้นแล้ว วันนี้กระผม/อาตมภาพก็ไปตรวจงานบูรณะอุโบสถวัดราษฎร์ประชุมชนาราม หรือวัดท่ามะขาม หลังฉันเพลแล้ว ก็ไปร่วมงานฌาปนกิจศพนางจุไร ชุติมันต์ คุณแม่ของดร.ธีรชัย ชุติมันต์ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี

    ปรากฏว่าพบหลวงพ่อเจ้าคุณประสงค์ - พระเทพเมธาภรณ์ (ประสงค์ วราสโย ป.ธ.๘) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีฝ่ายธรรมยุต ท่านถามว่า "ระยะนี้เทศน์ปะทะทางความคิดกับคนอื่นบ่อย ไม่กลัวบ้างหรือครับ ?" กราบเรียนหลวงพ่อไปว่า "มีอะไรเกิดขึ้น ผมเดือดร้อนคนเดียว แต่ถ้าหากว่าไม่คอยดึงสติ กระตุกบังเหียนเอาไว้บ้าง ศาสนาพุทธของเราพัง จะพังทั้งศาสนา..!"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    ขณะเดียวกัน เพื่อนกันก็คือพระครูวาทีวรวัฒน์, ดร. (กล้า วีรรตโน) รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบุรี เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งท่านก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ด้วย คือกระผม/อาตมภาพนี่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ไปเรียนหนังสือที่ไหนไม่นานหรอก เพื่อนกลายเป็นลูกศิษย์หมด เพราะว่าเวลาอาจารย์ไม่มา กระผม/อาตมภาพก็ไปบรรยายแทน..!

    ท่านถามมาว่า "ลูกพี่..ขอความชัดเจนหน่อยครับ ในสังฆกรรม ถ้ามีผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยเฉพาะพระที่ร่วมสังฆกรรมมีความผิดหรือไม่ ? ประการที่สอง การอยู่ปริวาส เริ่มตั้งแต่วันที่ท่านสารภาพใช่ไหมครับ ? ประการที่สาม เรารู้แล้วไม่บอกต่อคนอื่น เพราะเกรงใจเพื่อน หรือกลัวเพื่อนจะอาย มีความผิดไหมครับ ?"

    อันดับแรกเลย การต้องสังฆาทิเสสจัดอยู่ในครุกาบัติ คืออาบัติหนัก ขาดจากความเป็นพระชั่วคราว จนกว่าจะได้รับการลงโทษ ก็คืออยู่ปริวาสตามจำนวนที่ท่านปกปิดเอาไว้ บวกอีก ๖ วัน ๖ คืน เมื่อเก็บมานัตต์ครบถ้วนแล้ว จึงมารับการสวดอัพภานด้วยคณะสงฆ์ ๒๐ รูป ถึงสามารถคืนความเป็นพระได้อีกครั้งหนึ่ง

    ถ้าปกปิดเอาไว้นานมาก ต้องคิดตามจำนวนที่ปกปิดไว้บวก ๖ วัน ๖ คืน
    อย่างเช่นว่าปิดไว้ ๓ เดือน ปิดไว้ ๑ ปี ก็อยู่ปริวาส ๓ เดือนบวก ๖ วัน ๖ คืน อยู่ปริวาส ๑ ปี บวก ๖ วัน ๖ คืน แต่ถ้าจำไม่ได้ว่าปกปิดไว้นานเท่าไร ท่านให้นับเท่าอายุบวช บวก ๖ วัน ๖ คืน..! ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพก็ตายก่อน ไม่ทันได้คืนความบริสุทธิ์หรอก เพราะว่าคงจะไม่อยู่ต่ออีกเกือบ ๔๐ ปีแน่นอน..!

    คราวนี้ในปัจจุบันมักจะอ้างสุทธันตปริวาส ว่าคณะสงฆ์กำหนดให้ ๙ วัน ๙ คืน เป็นอันว่าพ้นจากอาบัติ ใช้หัวแม่ตีนข้างไหนตรองดูก็ไม่ได้ทั้งนั้น..! สมมติว่าปกปิดมา ๑๐ ปี แล้วอยู่แค่ ๙ วัน ๙ คืน จบแล้ว ท่านคิดว่าใช่ไหม ? โดยที่พยายามเมินในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ให้กำหนดสุทธันตปริวาสมากกว่าเวลาที่ต้องอาบัติเสมอ เพื่อที่จะได้บริสุทธิ์จริง ๆ

    ประการที่สอง สังฆกรรมนั้นเป็นอย่างไร ? ก็บรรลัยสิครับท่าน เพราะว่าสังฆกรรมต้องทำโดยสงฆ์ที่เป็นอุปสัมบัน ก็คือผู้มีศีลเสมอกัน บุคคลที่ต้องสังฆาทิเสส หรือปาราชิก เป็นอนุปสัมบันอยู่ภายในองค์การสงฆ์นั้น ก็เป็นอันว่าเหนื่อยฟรี ถ้าเป็นการอุปสมบท ผู้ที่บวชเป็นได้แค่เณร เนื่องเพราะว่าปริสวิบัติ คือจำนวนสงฆ์ในสังฆกรรมนั้น มีอนุปสัมบันปะปนอยู่ด้วย..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,827
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,570
    ค่าพลัง:
    +26,413
    ปัจจุบันนี้มีผู้พยายามอธิบายว่า ถ้าเรามีพระสงฆ์อยู่เกินจำนวนที่พระพุทธเจ้าอนุญาต ถือว่าทดแทนกันได้ ทดแทนไม่ได้หรอกครับ ตีเสียว่าถ้าหากว่านั่งอยู่ตรงนี้ แล้วพอท่านออกไป ตรงนี้ก็โบ๋..หัตถบาสไม่ถึง สังฆกรรมเจ๊งอีก..! ก็คือต้องคิดว่าไม่มีท่านอยู่ตรงนั้นเลย เพราะว่าท่านเป็นอนุปสัมบัน

    ส่วนสงฆ์ที่ร่วมสังฆกรรมนั้น ไม่มีความผิดอะไร เพราะว่าไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้วไม่บอกต่อคณะสงฆ์ก็ดี จะเป็นเพราะเกรงใจเพื่อน หรือกลัวเพื่อนอาย หรือว่ากลัวเขาจะเล่นงานเราก็ตาม โดนอาบัติข้อ "ช่วยปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น"

    แต่อย่าลืมว่าเราบอกฆราวาสไม่ได้ ต้องบอกต่อสงฆ์เท่านั้น ถ้าหากว่าเป็นผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาส หรือเจ้าคณะปกครอง เมื่อรู้แล้ว ต้องเรียกตัวมาสอบสวน ได้ความชัดเจนแล้ว ก็จัดให้อยู่ปริวาสไปจนกว่าจะพ้น แล้วค่อยจัดคณะสงฆ์อย่างต่ำ ๒๐ รูป สวดอัพภานคืนความเป็นสงฆ์ให้ท่านไป เห็นหรือยังว่าปวดหัวแค่ไหน ?

    คราวนี้ ดร.พระครูกล้าท่านบอกว่า "ผมค้นในอินเตอร์เน็ตจนหมดแล้ว มีแต่กำกวม ไม่ได้บอกชัดเจนเหมือนที่ลูกพี่ว่ามา" ก็แน่ละครับ ใครจะไปกล้าฟันธง เพราะจะกลายเป็น "ตำบลกระสุนตก" เนื่องจากว่าส่วนใหญ่ทำไปแบบนั้นกันหมดแล้ว ก็แปลว่า ถ้าเราเข้าใจถูกต้อง เราก็รักษารูปแบบที่ถูกต้องเอาไว้ ต้องบอกว่าทำเพื่อพระพุทธศาสนาของเรา

    อย่างหนึ่งที่ ดร.พระครูกล้าท่านปรารภมาก็คือ เราต้องเห็นแก่พระพุทธศาสนามากกว่า อย่าไปเห็นแก่เพื่อน แล้วช่วยกันปกปิดอาบัตินั้น เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าเป็นการบวชพระ แล้วเป็นแค่เณร บุคคลที่บวชไม่รู้ว่าตัวเองเป็นแค่เณร ไปร่วมกินกับพระ ไปร่วมนอนกับพระ ไปร่วมสังฆกรรมกับพระ เท่ากับว่าไปทำลายงานของคณะสงฆ์อยู่ตลอดเวลา เนื่องจากว่าตัวเองเป็นอนุปสัมบัน คือผู้มีศีลน้อยกว่า เกิดโทษอยู่ทุกวันโดยไม่รู้ตัว..!

    ในเมื่อเป็นเรื่องใหญ่ แล้วในขณะเดียวกัน ก็ไม่ค่อยจะมีใครออกมาบอกมากล่าวให้ชัดเจน วันนี้เมื่อหลวงพ่อเจ้าคุณประสงค์ท่านปรารภ กระผมถึงได้บอกว่า "ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น กระผมเดือดร้อนคนเดียว แต่ถ้าปล่อยไป พระพุทธศาสนาของเราพังหมด" จึงจำเป็นที่ต้องมีการบอกกล่าวเพื่อเตือนสติกันบ้าง ส่วนจะได้ผลมากน้อยแค่ไหน ถือว่าเราทำหน้าที่ของตนเองดีที่สุดแล้ว

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...