เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 เมษายน 2025 at 19:56.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_8970.jpeg
      IMG_8970.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      288.6 KB
      เปิดดู:
      8
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันสงกรานต์ คราวนี้วันสงกรานต์โบราณกับวันสงกรานต์ปัจจุบันไม่ค่อยจะตรงกัน เนื่องเพราะว่าทางราชการไทยไปกำหนดวันตายตัว แต่สงกรานต์โบราณถือตามปฏิทินจันทรคติ จึงทำให้วันเวลาคลาดเคลื่อนกันเสมอ

    คราวนี้การมาอ้างโบราณก็อยู่ในลักษณะ "เล่าความหลัง" ตามแบบฉบับของคนแก่..! ก็คือคนแก่มักจะมีภาพจำเกี่ยวกับเรื่องเก่า ๆ อยู่มาก หรือไม่ก็อย่างที่พระบางท่านบอกเอาไว้ว่า "บวชนานนิทานมาก" ก็คือมีเรื่องเล่าต่าง ๆ ทั้งในวงการสงฆ์และชาวบ้านมากมายขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่ผ่านไป

    ถ้ามาเล่าความหลังเรื่องอื่น ๆ ก็จะมีประโยชน์น้อย วันนี้อยากจะเล่าความหลังเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของตนเอง เผื่อเป็นเนติ คือ แบบอย่างของทุกคน

    ตั้งแต่พอจำความได้ ตอนนั้นน่าจะประมาณ ๒ ขวบ โยมพ่อก็อุ้มคอพับคออ่อนสวดมนต์อยู่ทุกคืน อย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า ท่านไปได้คาถาวิเศษมาจากพระธุดงค์ แล้วพระท่านก็ให้ถวายข้าวพระ พร้อมกับสวดคาถาไว้ทุกวัน คาถานั้นก็คือ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ เต็มบท เพียงแต่ว่าโยมพ่อไม่ได้ถามรายละเอียดอื่นมากไปกว่านั้น ก็เลยไม่เข้าใจค่านิยมของคนไทยว่า การถวายข้าวพระก็คือให้ทำก่อนเพล โยมพ่อก็เลยอาศัยว่าพอทำงานเสร็จ อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาแล้ว ถึงจะมาถวายข้าวพระ แล้วก็สวดมนต์

    ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพโดนกรอกหูอยู่ทุกวัน ไม่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็คือการสร้างพื้นฐานของสมาธิ ฟังอยู่ทุกวันก็เลยจำได้ พอเริ่มเข้าชั้นเรียน ซึ่งสมัยนั้นก็อายุประมาณ ๗ หรือว่า ๘ ขวบ เริ่มเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไม่มีโรงเรียนอนุบาล เข้าเรียนเมื่อไรก็ชั้นประถมปีที่ ๑ ซึ่งสมัยนั้นเขาเรียกว่า "โรงเรียนประชาบาล" ซึ่งส่วนใหญ่มักจะตั้งอยู่กับวัด

    พอเข้าชั้นเรียนไป ปรากฏว่าเพื่อนร่วมห้องเรียนเป็นหนุ่มเป็นสาวกันเสียเกินครึ่งห้อง..! เนื่องจากสมัยนั้น ถ้าใครสอบได้ไม่ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เขาให้เรียนซ้ำชั้น เรียกว่า "สอบตก" เรียนซ้ำชั้นไปเรื่อย ๆ บางคนซ้ำชั้นมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ในเมื่อเข้าเรียนตอน ๗ หรือ ๘ ขวบ เรียนซ้ำชั้นไป ๑๐ ปีก็คืออายุ ๑๗ - ๑๘ กันหมดแล้ว สมัยนั้นเขาเรียกกันว่า "เจ้าพ่อโรงเรียน" หรือ "เจ้าแม่โรงเรียน" ขยันมาก ต้องไปเรียนทุกวัน แต่เรียนเท่าไรก็ไม่เข้าหัว

    พอกระผม/อาตมภาพเข้าเรียน สามารถสวดมนต์ได้ ครูก็เลยยกให้เป็นหัวหน้าชั้น ต้องไปคุม "เจ้าพ่อโรงเรียน" "เจ้าแม่โรงเรียน" เกินครึ่งห้อง..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    ไม่รู้ว่าพื้นฐานการสวดมนต์อยู่ทุกวันเป็นการสร้างสมาธิ เมื่อมีพื้นฐานสมาธิ ทำให้กำหนดจดจำหนังสือได้ง่าย กระผม/อาตมภาพจึงกลายเป็นคนเรียนเก่ง อยู่ไม่ทันจะถึง ๑ เทอม ซึ่งสมัยนั้นเรียนกัน ๓ เทอม ก็คือ เทอมต้น เทอมกลาง แล้วก็เทอมปลาย ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เรียนกันสองเทอม เพื่อน ๆ ก็รู้ว่าเรียนเก่งขนาดคนเก่าที่เรียนมาเป็นสิบปียังไล่ไม่ทัน..!

    บรรดา "เจ้าพ่อโรงเรียน" "เจ้าแม่โรงเรียน" ก็เลยต้องมาอาศัย ว่าอยากจะสอบผ่านเสียที ให้ช่วยกันบ้าง จึงเปิดโอกาสให้
    กระผม/อาตมภาพยื่นเงื่อนไขได้ว่า "ห้ามเกเร ถ้าสั่งอะไรแล้วไม่เชื่อฟังก็จะไม่ช่วย..!" จึงเป็นที่เหลือเชื่อว่าสามารถคุมเพื่อนตัวโต ๆ ที่เป็นหนุ่มเป็นสาวได้ทั้งหมด พอเรียนชั้นประถมปีที่ ๓ ก็กลายเป็นประธานนักเรียน คราวนี้คุมเพื่อนทั้งโรงเรียน..!

    การเรียนสมัยแรก ๆ นั้นยังหยุดวันโกน - วันพระ พอวันโกนก็หยุดครึ่งวัน เรียนแค่ช่วงเช้า ช่วงบ่ายครูบาอาจารย์จะพาไปวัด ซึ่งก็อยู่ติดกับโรงเรียนนั่นแหละ เพราะว่าเป็นพื้นที่เดียวกัน การตั้งโรงเรียนสมัยก่อนอาศัยวัดเป็นที่ตั้งทั้งสิ้น ไปช่วยกันทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูวัด ล้างถ้วยล้างจาน ล้างปิ่นโตคว่ำเอาไว้ สำหรับผู้ที่จะมาทำบุญในวันรุ่งขึ้น
    ก็คือวันพระได้ใช้ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นวันหยุดที่เข้ากับบริบทสังคมได้ดีมาก แม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพมาอยู่ทองผาภูมิปีแรก คือปี ๒๕๓๒ อยู่ทองผาภูมิเกือบ ๑๐ ปี พี่น้องมอญพม่าที่ทำงานอยู่กับหน่วยป่าไม้ก็ยังหยุดวันโกน - วันพระกันอยู่เลย

    แต่ว่าพอเรียนชั้นประถมปีที่ ๒ เทอมกลาง ทางราชการประกาศให้ใช้วันหยุดเสาร์ - อาทิตย์แทนเพื่อให้เป็นสากล กระผม/อาตมภาพรู้แต่วันขึ้นแรม รู้แต่ว่าถึงเวลาวันโกนจะได้หยุดครึ่งวัน วันพระจะได้หยุดเต็มวัน ไม่รู้ว่าวันเสาร์วันอาทิตย์หน้าตาเป็นอย่างไร ก็ได้พี่สาว ก็คือป้ามุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) ที่พวกท่านเรียกกัน พาไปดูปฏิทิน

    สมัยก่อนปฏิทินนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นรูปดารา แล้วก็มีแผ่นวันที่ โตสักครึ่งฝ่ามือของกระผม/อาตมภาพนี่แหละ ๓๖๕ แผ่นบ้าง ๓๖๖ แผ่นบ้าง ก็จะมีวันที่ มีวันขึ้น - แรม มีวัน เสาร์ - อาทิตย์ บอกกล่าวอยู่ในแผ่นนั้น พี่เขาก็ใช้วิธีง่าย ๆ เปิดให้ดู บอกว่า "นี่..ใบสีแดงนี่คือวันอาทิตย์" ซึ่งต้องบอกว่าคนทำปฏิทินเก่งมาก ก็คือพอครบ ๗ วัน วันที่ ๗ ก็จะเป็นกระดาษสีแดง ในเมื่อสีแดงเป็นวันอาทิตย์ ก่อนสีแดง ๑ วันก็คือวันเสาร์ ให้จำเอาไว้ เป็นวิธีสอนแบบเด็ก ๆ ที่ง่ายดีเหมือนกัน

    แล้วปฏิทินสมัยก่อนก็ไม่มีการทิ้งการขว้าง เพราะว่าตัวแผ่นปฏิทินที่เป็นรูปดารา ส่วนใหญ่ก็โดนเอาไปทำปกสมุดหนังสือ เพราะว่าเป็นกระดาษแข็ง สามารถเก็บรักษาสมุดหรือหนังสือ ถนอมไว้ได้นาน เนื่องจากสมัยนั้นหนังสือจะส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่น รุ่นพี่เรียนต้องทะนุถนอมให้ดี ส่งต่อให้รุ่นน้องได้เรียนต่อไป
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    สมัยแรก ๆ ที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๑ ปีที่ ๒ ยังไม่ได้ใช้สมุด ต้องใช้ "กระดานชนวน" เพื่อนคนไหนที่สติน้อย ถึงเวลาเล่นกันรุนแรงมาก กระดานชนวนก็มักจะแตก บางคนเหลือกระดานชนวนแค่สักฝ่ามือเดียว ถึงเวลาเขียนด้วยดินสอ ขีดลงไปก็จะเป็นตัวหนังสือขึ้นมา แต่ว่าดินสอชนวนนั้นก็คือหินนั่นเอง ครูสอนให้ใช้ผ้าชุบน้ำลบอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เด็ก ๆ พอถึงเวลาไม่ทันใจ ก็ถ่มน้ำลายใส่แล้วก็ถู ๆ ๆ เพื่อที่จะเขียนใหม่..!

    ชุดนักเรียนที่ใส่ก็มักจะเป็นกางเกงสีกากีสั้นแล้วก็เสื้อขาว แต่จะมี "หมวกกะโล่" ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าสมัยนี้ยังพอจะมีตัวอย่างเหลืออยู่หรือเปล่า ? เป็นหมวกพลาสติกแข็ง ๆ แล้วก็มีสายรัดคาง ซึ่งมักจะเป็นของเล่นชนิดหนึ่งของเด็กผู้ชาย ก็คือถึงเวลาก็ร่อนใส่เพื่อน เพื่อนก็เตะคืนมา หมวกก็แตกบ้าง แหว่งบ้าง..!

    สรุปว่าการละเล่นทุกอย่างอาศัยสิ่งรอบตัวที่มีอยู่ พังบรรลัยอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าหากว่าไม่รู้จักรักษาก็รอไปเถอะ โน่น..ปีหน้าขายข้าวแล้วค่อยได้ของใหม่ เพราะว่าส่วนใหญ่พ่อแม่ก็เป็นชาวไร่ชาวนา ไม่ได้มีเงินมีทองมากมาย สมัยนั้นบ้านไหนมีเงิน ๑ ชั่งถือว่าเป็นมหาเศรษฐี ๑ ชั่งก็คือ ๘๐ บาท ส่วนใหญ่ก็เป็นเหรียญบาทใหญ่ ๆ เหรียญใหญ่มาก เหรียญสยามรัฐ แล้วก็มีรัศมีตรงตราแผ่นดิน

    กระผม/อาตมภาพจำได้ว่าพอเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๓ น้องชาย ก็คือพระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล ก็เข้าชั้นประถมปีที่ ๑ ไอ้เจ้านี่เป็นลูกผู้ชายคนเล็กที่สุดในบ้าน พ่อแม่ที่เป็นคนจีนจะรักลูกผู้ชายมาก โดยเฉพาะลูกคนเล็ก ร้อยวันพันปีกระผม/อาตมภาพกับพี่สาวไปเรียน ไม่เคยได้สตางค์ไปโรงเรียน พอน้องชายไปโรงเรียน แม่ให้เงินไป ๕๐ สตางค์ เป็นเหรียญสมัยรัชกาลที่ ๘ ใหญ่เท่าเหรียญบาทใหญ่รุ่นเก่า สีดำ ๆ บอกว่า "อยากกินอะไรก็เอาเงินนี้ให้แม่ค้า เขาก็จะขายให้เรา"

    พอถึงเวลาหยุดกลางวัน น้องชายอยากจะกินข้าวเหนียวทุเรียน กระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจว่าเงินนั้นใหญ่แค่ไหน ก็ส่งเหรียญให้แม่ค้า บอกว่า "เอาข้าวเหนียวทุเรียนหมดนี่แหละ..!" แม่ค้าทำตาโต ถามว่า "กินหมดหรือ ?" ยืนยันว่าหมด ปรากฏว่าได้ข้าวเหนียวทุเรียนมาเกือบกะละมัง..! เพิ่งจะรู้ว่าตอนนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละสลึงเดียว แล้วเราไปซื้อข้าวเหนียวทุเรียน ๕๐ สตางค์..! ก็ถือว่าเป็นบทเรียนชีวิตอย่างหนึ่ง เริ่มใช้เงินครั้งแรกในชีวิตก็ "ปล่อยไก่" เสียแล้ว

    คราวนี้การไปวัด ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ชอบไปขนาดนั้น ? วัดสมัยก่อนส่วนใหญ่ก็ตั้งอยู่ชายทุ่ง บางทีก็ชายป่า แล้วก็จะมีป่าช้าด้วย อากาศเย็นมาก เย็นจนไปถึงวัดแล้วอยากจะนอนทันทีเลย โดยเฉพาะหลังจากถูศาลาเสร็จ ก็นอนกลิ้งเล่น เผลอหน่อยเดียวก็หลับไปแล้ว..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    ตอนนั้นไม่เข้าใจ รู้แต่ว่าไปวัดแล้วเย็น ไม่ได้รู้เรื่องของกระแสความศักดิ์สิทธิ์ความขลังอะไรเลย มารู้เอาตอนแก่แทบตายแล้วนี่แหละว่า กระแสคุณงามความดีที่พระภิกษุสามเณรท่านร่วมกันทำ ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ทำวัตร สิ่งหนึ่งประการใดที่เกี่ยวข้องด้วยศีล ด้วยธรรม คุณงามความดีเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน แต่ว่ารวมตัวกันอยู่ ทำให้กลายเป็นพลังงานฝ่ายดีที่คอยดึงดูด ใครที่มีวิสัย สามารถสัมผัสเรื่องเหล่านี้ได้ ก็จะรู้สึกว่าอยากเข้าวัด เพราะว่าเข้าไปแล้วจิตใจสงบ อยากจะหลับเดี๋ยวนั้นเลย..!

    คราวนี้ความสงบจากการปฏิบัติธรรมนั้นยังไม่รู้จัก มารู้จักความสงบครั้งแรกจากความซนของความเป็นเด็ก ก็คือพอหน้าฝน ริมถนนซึ่งสมัยก่อนก็มักจะขุดดินจากด้านข้างขึ้นมาพูนเป็นคันสูง เพื่อที่ให้รถยนต์วิ่งได้ จำได้ว่าเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๒ กำลังจะขึ้นประถมปีที่ ๓ มีรถยนต์คันแรกเข้ามาในหมู่บ้าน เป็นรถยนต์ที่ผู้ใหญ่บ้านซื้อมา เด็กทั้งหมู่บ้านวิ่งไปดูรถกัน เป็นรถจี๊ปหน้ากบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ การสร้างถนนต้องขุดดินด้านข้างขึ้นมา จึงทำให้สองฝั่งเป็นคูน้ำ ยิ่งหน้าฝนน้ำก็ยิ่งมาก เด็ก ๆ ก็ไปเล่นน้ำกัน กระโดดน้ำกันทั้งวัน ขี้โคลนพอกตัวจนผู้ใหญ่เขาบอกว่า "พอที่จะลอกออกมาปั้นช้างได้..!"

    คราวนี้ความซนยังไม่พอ ยังไปช่วยกันทำแพ โดยการตัดเอาต้นกล้วย ๓ - ๔ ต้นมาสลับหัวท้ายกัน แล้วก็เหลาไม้แหลม ๆ ตอกให้ติดกันเป็นแพ เริ่มออกผจญภัย แต่ด้วยความที่
    กระผม/อาตมภาพเพิ่งจะถ่อแพเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าการถ่อแพนั้น เขาแค่ออกแรงยันเล็กน้อยเท่านั้น จึงใส่เสียเต็มที่เลย ไม้ถ่อจมลงไปในโคลน พอถึงเวลาดึง แพก็เคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว แต่ไม้ถ่อไม่ตามมา จึงตกน้ำตูมไปเลย..!

    ทันทีที่จมน้ำ ใบหูตกอยู่ใต้น้ำ ความรู้สึกว่าเงียบ "วิ้ง" ขึ้นมา รู้สึกว่าเราคุ้นเคยกับความสงบแบบนี้อย่างบอกไม่ถูก ก็เลยไม่ดิ้นไม่รนไม่อะไร นั่งเงียบ ๆ อยู่ใต้น้ำนั่นแหละ ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ปรากฏว่าพี่มุกดาแกควานไปเจอ ก็ดึงผมขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่มีผมอยู่หน่อยเดียวนั่นแหละ..! ทุกคนตกอกตกใจจนเลิกล่องแพกันหมด แต่อาตมภาพกลายเป็นเด็กใบ้ไปเลย คนเขาว่า "ตกใจขวัญหายที่ตกน้ำ" แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ หากแต่จิตนิ่งสงบจนไม่อยากจะพูดกับใคร

    แล้วก็ไม่รู้ว่าที่ตัวเองจมน้ำอยูนานเป็น ๑๐ นาทีนั้นหายใจอย่างไร มารู้ทีหลังว่าการที่เราฝึกสมาธิ พอไปถึงระดับหนึ่งจะเหลือแต่ลมหายใจละเอียด ซึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัยจมูกก็ได้ ก็แปลว่า
    สิ่งต่าง ๆ ที่เคยฝึกฝนมาตั้งแต่อดีตชาติ สามารถข้ามชาติข้ามภพมาจนถึงปัจจุบันได้ ทรงสมาธิโดยไม่รู้ตัว แล้วเป็นสมาธิระดับสูงชนิดที่ไม่ต้องหายใจอีกด้วย..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,710
    ค่าพลัง:
    +26,569
    หลังจากนั้นในเรื่องของสมาธิพวกนี้ ก็ยังมีผลตามมาอีก ก็คือบ้านนอกถึงเวลามีงานศพ เขาจะมีการเล่นการพนันกัน เขาอ้างว่า "เล่นเป็นเพื่อนศพ" แต่ความจริงก็คืออยากเล่นการพนันนั่นแหละ..!

    กระผม/อาตมภาพไปนั่งดูรุ่นพี่ ๆ เขาเล่นไพ่กัน พอถึงเวลาดึกแล้วกลับมานอน ปรากฏว่านอนไม่หลับ โพธิ์ดำ โพธิ์แดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด ติดตาบินว่อนไปหมด ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าลักษณะนั้นก็คือการทรงกสิณได้ ก็คือตั้งใจดูอะไรก็ติดหูติดตา เพราะว่าความเคยชินจากของเก่าเดิม ๆ มีอยู่ แม้กระทั่งเขาเปิดหน้าศพให้ดู ภาพศพก็ติดตาไป ๓ - ๔ วัน จนคิดว่าโดนผีหลอก หันไปทางไหนก็เห็นแต่หน้าศพนั่นแหละ..!

    ด้วยความที่ไม่รู้ว่านั่นก็คือภาพอุคหนิมิตติดตาของกสิณ จึงกลัวจนกระทั่งไม่กล้าออกไปฉี่นอกบ้าน อั้นจนหูตาลายทุกคืน..! สมัยก่อนเป็นส้วมหลุม เขาต้องไปทำไว้ไกล ๆ บ้าน อย่างน้อยก็ ๓๐๐ - ๔๐๐ เมตร ส่วนใหญ่ก็ท้ายไร่ ป้องกันไม่ให้กลิ่นเข้ามาถึงบ้านได้

    กลายเป็นว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เคยฝึกเคยฝนเอาไว้ ไม่ว่าในอดีตก็ดี มาเพิ่มเติมในปัจจุบันก็ดี พวกสถานการณ์ต่าง ๆ ค่อย ๆ บังคับ เริ่มตั้งแต่โยมพ่อจับนอนหลับคอพับคออ่อนสวดมนต์ตั้งแต่ประมาณ ๒ ขวบ จนกระทั่งโรงเรียนที่หยุดวันโกน - วันพระ การนำเพื่อนสวดมนต์ทุกวัน การอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาปริตร แม้กระทั่งการไปดูคนอื่นเขาเล่นการพนันหรือว่าดูหน้าศพ ช่วยฟื้นของเก่าที่ตัวเองทำมา โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่านั่นคือกรรมฐาน

    เอ้า..หมดเวลาแล้ว เอาแค่นี้ก่อน ถ้าไม่ลืมเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเล่าต่อให้ฟัง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...