เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 พฤศจิกายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    วันนี้ตรงวันเสาร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ เมื่อเช้าพระใหม่ของเราออกบิณฑบาตแล้วขออนุญาตไปฉันยาก่อน ได้ยินว่าเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจอยู่ กระผม/อาตมภาพก็สงสัยอยู่ว่า "ยาหนักขนาดพกติดตัวไม่ได้เลยหรือ ?" อะไรที่จำเป็นกับตัวเอง ถ้าติดตัวไปได้ก็ต้องติดตัวไป

    หลายท่านที่เคยสังเกต จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพถ้าเดินทางไปต่างประเทศ ก็จะมีกระเป๋าเดินทางที่หิ้วขึ้นเครื่องแค่ใบเดียว ไม่เคยใช้เยอะกว่านั้น ยกเว้นว่าไปที่หนาวจัดมาก ๆ ก็จะมีกระเป๋าอีกใบหนึ่งเอาไว้ใส่เครื่องกันหนาวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วก็กระเป๋าใบเดียว น้ำหนักอย่างเก่งก็หนัก ๔ - ๕ กิโลกรัมเท่านั้น แต่รับประกันว่ามีข้าวของทุกอย่างครบถ้วน คนอื่นอยู่ได้กี่เดือน อาตมภาพก็อยู่ได้เท่านั้น..!

    ความจริงเรื่องนี้ได้มาจากการออกธุดงค์ การเดินธุดงค์นั้นยิ่งเดินนานเท่าไรร่างกายก็จะยิ่งล้า พอไปถึงท้าย ๆ นี่ ขนาดไม้ขีดกล่องเดียวยังอยากจะโยนทิ้ง..! ก็คือทุกอย่างกลายเป็นเพิ่มน้ำหนักให้กับเราทั้งหมด ถ้าใครไม่เคยกินมื้อเดียว แถมข้าวปลาอาหารยังเลือกไม่ได้ แล้วก็เดินหนักทั้งวัน วันหนึ่ง ๗ - ๘ ชั่วโมงบ้าง ๑๐ ชั่วโมงบ้างตลอดทั้งเดือน ก็จะรู้เองว่าร่างกายของเรากรอบขนาดไหน ?!

    เรื่องนี้ต้องไปถามไอ้ทิด ๒ คน ก็คือทิดตู่ (อดีตพระชาญชัย จารุธมฺโม) กับทิดป๊อป (อดีตพระกิตติพงษ์ ปญฺญาสาโร) ไปพม่ามาด้วยกัน ถึงเวลาพ่อประคุณสองคนก็จ้ำอ้าว ๆ อยู่ข้างหน้าโน่น ยังหนุ่มอยู่..อายุเพิ่งจะ ๒๐ กว่า ส่วนอาตมภาพคนแก่แล้ว ตอนนั้นประมาณ
    พรรษา ๑๕ ได้ เดินตามหลังไป บอกว่า "ใจเย็น ๆ ไม่ต้องรีบ แรงหนุ่มมักจะสู้เดินนานไม่ได้" ไม่ฟังหรอก..โกยอ้าวอยู่ข้างหน้าโน่น อาตมภาพก็เดินตามไปเรื่อย

    พอผ่านไปสักชั่วโมงหนึ่ง "อ้าว..รูป..!" ไปพม่าก็ซื้อของฝากกลับมาเต็มย่าม รูปหลวงพ่อพระมหาอานทูกานตา รูปใหญ่ใส่กรอบ เป็นพระสำคัญที่เมืองเมเมี้ยว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐฉาน แต่ว่าโดนพม่าตัดมาอยู่กับมัณฑะเลย์ เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นผิ่นอูลวิน ไปอีกหน่อยหนึ่ง "อ้าว..ลูกประคำ..!" อะไรหนักกูทิ้งหมด..! อาตมภาพก็เดินเก็บไปเรื่อย

    ก็เลยกลายเป็นบทเรียนว่าเอาไปแต่ของที่จำเป็นจริง ๆ ที่ผ่านมาไปศรีลังกา มีโยมหลายคนขนข้าวของไปถวายที่นั่น อาตมาไม่รับสักรายเลย..! ถ้าอยากถวายขนไปถวายที่วัดท่าขนุน ไม่ใช่ให้กูแบกกลับ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับเราก็จะมีน้อยลงไปเรื่อย การธุดงค์ครั้งท้าย ๆ ก็แทบจะไม่มีอะไรเลย แรก ๆ ก็ทั้งกลด ทั้งบาตร ทั้งกระติกน้ำ แล้วกระติกน้ำก็ต้องขนาด ๒ ลิตรครึ่ง..สะใจ เป็นคนฉันน้ำเยอะ ไป ๆ มา ๆ ท้าย ๆ นะหรือ ? น้ำขวด ๓๐๐ ซีซี แค่นั้นแหละ..พอแล้ว ไปหาเพิ่มเอาข้างหน้า

    เจอพระธุดงค์อยู่ในป่า ท่านมากัน ๔ รูป ห่มดองพาดสังฆาฏิเต็มชุด แบกกลด สะพายบาตร ถือกาน้ำ เหมือนหลุดจากรูปถ่ายมาเลย เห็นพวกอาตมภาพมีแต่สบงกับอังสะ แล้วก็ย่ามใบเดียว บาตรอยู่ในย่าม
    เจอกันกลางป่า ท่านแปลกใจมาก ท่านถามว่า "นี่พวกท่านจะไปไหนกัน ?" ก็เลยตอบไปว่า "อ๋อ..มาธุดงค์เหมือนกับท่านนั่นแหละครับ แล้วผมมั่นใจว่าอยู่ได้นานกว่าท่านด้วย..!"

    บรรดาท่านที่ห่มดอง พาดสังฆาฏิ แบกกลด สะพายบาตร ถือกาน้ำ ไปยึดรูปแบบ ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือรูปหล่อพระสีวลี ท่านจะมาทรงนั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือครูบาอาจารย์ ท่านธุดงค์ไปถึงจุดมุ่งหมายของท่านแล้ว ท่านก็สรงน้ำสรงท่า ห่มดอง พาดสังฆาฏิ เตรียมสวดมนต์ทำวัตร ไอ้ลูกศิษย์อยากได้รูปครูบาอาจารย์เป็นที่ระลึก ก็ขอให้ท่านสะพายย่าม แบกกลด สะพายบาตร ถือกาน้ำถ่ายรูป ไอ้พวกนี้เห็นก็ทำตามแบบที่เห็นนั้น ปล่อยท่านไปเถอะ..!

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอ่านพระไตรปิฎกจะเห็นว่า แม้กระทั่งเวลาพระท่านออกบิณฑบาต พระไตรปิฎกจะระบุไว้ชัดเลยว่า "มีมือถือบาตรและจีวร เมื่อเข้าไปถึงเขตเมืองมนุษย์แล้ว..ฯลฯ" เขาใช้อย่างนั้นเลยนะ เมืองมนุษย์แยกให้ชัด ๆ ว่าต่างจากเขตของผี..! ไอ้เรื่องนี้ก็น่าเล่าให้ฟังมาก เอาทีละอย่างแล้วกัน "..ฯลฯ ก็ห่มคลุม ซ่อนบาตรไว้ใต้จีวร ออกโคจรบิณฑบาต.."

    เขาถามว่าทำไมถึงต้องถือจีวรไป ? ป่าไหนป่านั้นหนามทั้งนั้น
    แหละ..ป่าธรรมชาติ ถ้าห่มไปเดี๋ยวจีวรโดนหนามเกี่ยวขาดหมด เพราะฉะนั้น..พวกที่แต่งเต็มยศ คาดว่าป่านนี้คงได้บทเรียนไปเยอะแล้ว..! แต่เชื่อเถอะ..ไม่เปลี่ยนรูปแบบหรอก เพราะมั่นใจว่า "ทำแบบนี้ถึงจะถูก..!"

    ดังนั้น..ในเรื่องที่จำเป็นสำหรับชีวิตของเราก็แทบไม่มีอะไรเลย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค มีแค่นี้เอง พวกเราก็หนักแค่เรื่องอาหารเรื่องเดียว แต่ถ้าสำหรับพระแล้ว มีก็ฉัน ไม่มีก็ไม่ฉัน..แค่นั้นเอง..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    บรรดารุ่นน้องจากวัดท่าซุงได้ยินหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ (พระราชภาวนาโกศล วิ.) ตอนนั้นยังเป็นพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณอยู่ ท่านบอกว่า "ถ้าพวกคุณอยากธุดงค์แบบมีเสือมีช้าง ให้ไปหาอาจารย์เล็กนะ" ไอ้รุ่นน้องก็มากันเลย

    ขอนินทาหน่อย อาตมภาพก็ถามพวกท่านว่า "จะฉันไหม ?" ท่านบอกว่า "แล้วแต่หลวงพี่ครับ" "ถ้าแล้วแต่ผมก็ไม่ต้องฉันหรอก..ไปกันเถอะ..!" เก็บข้าวของเล็กน้อยใส่บาตรได้ก็พาเดินเลย พอวันที่ ๒ เท่านั้นแหละหน้าเหี่ยวมาเชียว "หลวงพี่ครับ ไม่ไหวแล้ว ขอกลับเถอะครับ" ไม่ได้กินแค่ ๒ วันจะตายแล้ว..! ตั้งแต่นั้นมาเขาลือกันให้หึ่งเลยว่า "อาจารย์เล็กพารุ่นน้องไปอยู่ด้วยธรรมปีติ..!" ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีพระวัดท่าซุงมาขอธุดงค์ด้วยอีกเลย..!

    ไอ้ที่เมื่อครู่กล่าวอยู่คำหนึ่งว่า "เมืองมนุษย์" โดยเฉพาะสมัยยุคต้น ๆ จะบอกว่าต้นกัปก็นานเกินไปนะ คน สัตว์ ผี เปรต อสุรกายอยู่ปนกันหมด ความจริงทุกวันนี้เขาก็อยู่ปนกัน เพียงแต่ว่าสภาพจิตที่สัมผัสได้เหมือนมนุษย์ยุคต้นกัปมันไม่ค่อยมีแล้ว ฝึกกันแทบเป็นแทบตายกว่าที่จะได้สักคนหนึ่ง..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พอถึงเวลาเจอกัน เขาก็จะถาม อย่างเช่นว่า "ท่านเป็นคนหรือเปล่า ?" ถ้าภาษาโบราณ ๆ แถวบ้านเราก็ "เจ้าเป็นไทบ้านใด๋ ?" ไอ้คำว่า "ไท" นี่แปลว่า "คน" นะ คือป้องกันว่าไอ้เจ้านี่จะเป็นผีหรือเปล่า ? ถามกันให้ชัดก่อน ไปไกลเกินไปหรือเปล่า ? เกิดไม่ทันยังไม่พอ ตามไม่ทันอีกต่างหาก..ใช่ไหม ?

    เวลาอยู่ในป่า หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนว่าอย่าขี้สงสัย เพราะว่าหลวงพ่อเองขี้สงสัยจนอดข้าวมา ๓ วันมาแล้ว ก็คือพอเช้าเดินออกบิณฑบาต อยู่ในป่าลึกแท้ ๆ มีเด็กมาใส่บาตร ด้วยความที่ปากคัน หลวงพ่อรูปหนึ่งก็ถามว่า "อีหนู..บ้านอยู่ไหน ?" เด็กนั่นหัวเราะ..แล้วเดินลับหายหลังต้นไม้ไป หายไป ๓ วันไม่มาใส่บาตรอีกเลย..อดกันหน้าแห้ง..!

    พอคืนวันที่ ๓ เห็นหลวงปู่ปานมา ท่านบอกว่า "รุกขเทวดาเขามาใส่บาตรยังทะลึ่งไปถามเขาอีก เราต้องการอะไร ? ต้องการข้าว เขาให้ข้าวก็พอแล้ว ไม่ต้องเสือกไปรู้เรื่องคนอื่น พรุ่งนี้เขาจะมาใส่บาตรอีก แล้วอย่าถามอีกนะ..ถ้าถามอดแน่..!"
    พอรุ่งขึ้นเขามาใส่บาตรใหม่ หลวงพ่อ ๓ รูปก้มหน้าดูบาตรอย่างสำรวมสุด ๆ หน้ายังไม่มองเลย กลัวอดข้าว

    อาตมภาพเวลาเดินธุดงค์ในบางช่วง ช่วงแรก ๆ คนขอตามกันเยอะ มาระยะหลังเขาไม่ตามด้วยหรอก ด้วยสาเหตุที่ว่า ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือชอบเดิน เดินแบบมาตรฐานคือวันละ ๔๐ กิโลเมตร นี่ปกติ ๆ เลยนะ ถ้าเร่ง ๆ ทุ่งใหญ่ ๙๓ กิโลเมตร วันเดียวเดินทะลุเลย..! คนอื่นเขาตามกันไม่ไหว
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,817
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,568
    ค่าพลัง:
    +26,408
    ประการที่ ๒ ก็คือไปกับอาตมภาพมีสิทธิ์อดตาย บางทีเดินไปนี่ ๑๐ กว่าวันไม่เจอบ้านคนเลย มีแต่ป่าใหญ่ไพรทึบทั้งนั้น แรก ๆ ก็พออาศัยน้ำตาลโน่นนิด ไอ้นี่หน่อย ช็อกโกแล็ตชิ้นหนึ่ง หรือท็อฟฟี่ ๒ เม็ด อยู่ไปได้ ๑ วัน เพราะว่ามีพกมาบ้าง วันท้าย ๆ ไม่เหลืออะไรเลย นอกจากน้ำในลำธาร ไปกรองเอาก็แล้วกัน..!

    ผ่านไปหลายวันชักไส้แขวน เดิน ๆ ไป มีแม่ค้าส้มตำหาบผ่านมา "จะเชื่อดีไหมนี่ ? นี่กูอยู่กลางป่านะ..!" มีแต่รอยเท้าเสือรอยเท้าช้าง "นิมนต์เจ้าค่ะ" เอ้า..นิมนต์ก็นิมนต์..กำลังหิว เขาก็ทำส้มตำถวาย ก้มหน้าก้มตาฉัน หน้ากูยังไม่มองเลย..กลัวอด..! พอฉันเสร็จ อวยชัยให้พร ยถาฯ สัพพีฯ เสร็จ เขาลุกขึ้นแบกหาบเดิน อาตมภาพก็มองตามไป

    พวกเราเคยเห็นคนเขาหาบของใช่ไหม ? จะมีกระจาดใบใหญ่อยู่ ด้านหนึ่งก็คือเครื่องมือเครื่องไม้ในการตำส้มตำนั่นแหละ ครกกะบากสากกะเบือเครื่องปรุงอะไร อีกด้านหนึ่งมีมะละกออยู่ลูกหนึ่ง ลูกใหญ่เต็มกระจาดพอดีเลย ใหญ่กว่าขันใส่เงินใบนี้อีก มะละกอโคตรพ่อโคตรแม่มัน เอามาจากไหนลูกใหญ่ขนาดนั้น..!? ไม่กล้าถาม..กลัวว่าครั้งหน้าเขาจะไม่เลี้ยง แล้วหลังจากนั้นก็มั่นใจว่า "ถ้าอดนี่อดไม่นานหรอก เดี๋ยวก็มีคนมาเลี้ยง เพียงแต่อย่าขี้สงสัยเท่านั้น"

    ดังนั้น..ไปไหนก็เลยไม่ขนของไปเยอะ ไปหาเอาข้างหน้า ถ้าบุญไม่ดีพอก็อดเอา ไอ้รุ่นน้องท่านทนไม่พอ ถ้าทนได้ ๓ วันได้กินแน่เลย วันที่ ๒ ท่านขอกลับแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยท่านไปเถอะ เอ้า..เดี๋ยวพวกเราทำวัตรค่ำรอบ ๒ กัน คุยมากไปไม่ดี..เรื่องพวกนี้คนเขาว่าฟุ้งซ่าน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...