ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    6UYjuqRLAbIWs5z-W-foQv7I0YkGfegRG-wkUyskXbDayap-w5xATQKUlMOsBze2Kz6Bf_JA&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    (Feb 10) ความเข้มข้นของการแข่งขันอาจไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้สมัครเสมอไป: ข้อมูล PIER Statistics วันนี้ขอนำเสนอข้อมูล "จำนวนผู้ลงรับสมัครและความเข้มข้นของการแข่งขันในการเลือกตั้งปี 2554" โดยกราฟแสดงจำนวนผู้ลงรับสมัคร ส.ส. จำแนกรายเขตเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2554 และความเข้มข้นของการแข่งขัน (win margin) ซึ่งคำนวณจากความห่างของคะแนนระหว่างผู้สมัครที่ได้คะแนนเป็นอันดับที่ 1 และ 2

    ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ความเข้มข้นของการแข่งขันอาจไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้สมัครเสมอไป เช่น ภาคใต้มีผู้ลงรับสมัครเป็นจำนวนมาก แต่มีความเข้มข้นของการแข่งขันต่ำ

    ที่มา Data.go.th (https://data.go.th/DatasetDetail.aspx…)
    ท่านสามารถดูข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่https://www.pier.or.th/pier_stats/

    Source: PIER FB
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    2miP9fme_a7zHm7TrPk8EkG7_WJkKjwGACywk10cWcohtYsoI0OjNIb9hl2daSNDUpGpORQg&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.png
    (Feb 10 ) คลังหนักอกเพิ่มทุนรวม2แบงก์ ชี้ราคาหุ้นTCAPวิ่งแรงกดดันสวอปหุ้น : คลังคิดหนักดีลควบรวม "TMB-ธนชาต" ชี้ต้องใส่เงินเพิ่มทุนสูงสุดถึง 1.3 หมื่นล้านบาท กรณีรักษาสัดส่วนถือหุ้นกว่า 25% จับตาโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ โบรกฯ ASP ชี้ 7 ข้อหลังควบรวมภาพแบงก์ใหม่ ส่องหุ้นธนชาต ยิ่งใกล้ปิดดีล ราคาหุ้นยิ่งพุ่งขึ้นถึง 7% แรงกว่า TMB ที่ราคาหุ้นอืด

    แหล่งข่าวจากธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า คณะกรรมการ TMB จะประชุม 13 ก.พ.นี้ มีวาระสำคัญ คือการควบรวมกิจการระหว่าง TMB กับธนาคารธนชาต (TBANK) เนื่องจากต้องเร่งปิดดีลให้ได้ในรัฐบาลนี้ ซึ่งล่าสุดได้ให้ที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) วิเคราะห์แต่ละออปชั่น การควบรวมกิจการแล้ว และเมื่อเสนอให้บอร์ด TMB พิจารณาเห็นชอบแล้ว หลังจากนั้นจะให้ทุกฝ่ายแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ

    "มีหลายออปชั่นมาก แต่แนวทางก็คือ หลังการควบรวม กลุ่มไอเอ็นจีจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่ทางธนชาต หรือสโกเทีย ก็อาจจะอยู่อันดับ 2 และกระทรวงการคลังก็น่าจะอยู่ลำดับ 3 โดยต้องขึ้นกับคลังจะใส่เงินเพิ่มทุนหรือไม่ ซึ่งก็มีทั้งออปชั่นว่าต้องใส่เงินตั้งแต่ 7-8 พันล้านบาท หรือใส่ 1 หมื่นล้านบาท และสูงสุดต้องใส่เงินถึง 1.3 หมื่นล้านบาท หากต้องการรักษาสัดส่วนการถือหุ้นไว้ที่ราว 25% เท่าเดิม" แหล่งข่าวกล่าว

    แหล่งข่าวกล่าวว่า ดีลนี้โจทย์ที่ยากขึ้นอยู่กับทางกระทรวงการคลัง เพราะต้อง ใช้เงินเพิ่มทุนจำนวนมาก ขณะเดียวกันยังมีต้นทุนเก่าที่สูง โดยต้องนำราคาหุ้นที่ต้นทุนอยู่ที่ 3.80 บาท มาคำนวณรวมกับค่าเสียโอกาสต่าง ๆ โดยหักเงินปันผลที่ได้รับในช่วงที่ผ่านมาออกไป

    "ทางกระทรวงการคลังต้องรอบคอบ เพราะมีราคาหุ้นที่สูงค้ำคออยู่ ดังนั้นต้องดูว่า เมื่อควบรวมแล้วจะเกิดมูลค่า มากขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งช่วงที่ผ่านมา พอมีกระแสข่าวควบรวมกิจการ ค่อนข้าง มีผลกระทบต่อราคาหุ้น บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ TBANK เพิ่มขึ้น ค่อนข้างมากดังนั้น ราคาหุ้นที่จะสวอปกัน ก็ต้องไม่เอาราคาที่เปลี่ยนแปลงช่วงนี้มาคิด" แหล่งข่าวกล่าว

    นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้น TMB จะต้องพิจารณาว่า เมื่อมีการ ควบรวมแล้ว จะได้ประโยชน์มากขึ้นหรือ น้อยลงอย่างไร ส่วนจะใส่เงินเพิ่มทุนหรือไม่ ขึ้นกับว่าใส่เงินเพิ่มทุนแล้วเกิดประโยชน์มากกว่าการไม่เพิ่มทุน ประกอบกับการถือหุ้นใน TMB สำหรับกระทรวงการคลัง เป็นการถือเพื่อลงทุนที่ต้องการผลกำไร ไม่ได้ต้องการอำนาจการบริหารงาน

    "คลังต้องดูในฐานะผู้ถือหุ้น โดยเงินที่เราลงไปในหุ้นต้องตอบได้ว่า ถ้าทำอะไร ด้วยวิธีการอะไรแล้ว ผลตอบแทนเราต้องไม่แย่ หรือดีขึ้น" นายอภิศักดิ์กล่าว

    นายพบชัย ภัทราวิชญ์ ผู้ช่วย ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า หากดีลควบรวม 2 แบงก์นี้สำเร็จ จะส่งผลบวกต่อ
    1.ลดภาระต้นทุนการลงทุนด้านเทคโนโลยี
    2.สินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นมาที่ 1.9 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ สิ้นปี'61) ซึ่งไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และยังอยู่อันดับ 6
    3.สินเชื่อมีความหลากหลายมากขึ้น เนื่องจาก TBANK มีพอร์ตสินเชื่อรถยนต์ค่อนข้างสูง ในขณะที่พอร์ตสินเชื่อของ TMB อยู่ในสินเชื่อบ้าน
    4.ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของ TMB จะดีขึ้น ในขณะที่ NIM ของ TBANK ลดลง
    5.อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ของ TMB จะดีขึ้น ในขณะ ที่ TCAP ลดลงเช่นกัน
    6.สินเชื่อที่ไม่ก่อให้ เกิดรายได้ (NPL) หลังควบรวมอยู่ที่ 2.55% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 3.2% และ
    7.อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (coverage ratio) หลังควบรวมอยู่ที่ 143% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 148.8%

    "การควบรวมของทั้ง 2 ธนาคาร TMB เป็นฝ่ายที่จะได้รับประโยชน์ในแง่ที่ NIM และ ROE มีภาพรวมดีขึ้น ในขณะที่ TCAP มีภาพรวมที่แย่ลงหลังควบรวมอย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ด้านอื่น ๆ ไม่ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ" นายพบชัยกล่าวสรุป

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นของ บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) ซึ่งถือหุ้นใหญ่ใน ธนาคารธนชาต (TBANK) ในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นสูงกว่าหุ้น TMB โดย ราคาหุ้น TCAP ปรับขึ้นราว 7.4% จากวันที่ 2 ม.ค. ปิดที่ 50.50 บาท วิ่งขึ้นมา 54.25 บาท ณ 7 ก.พ. ขณะที่ราคาหุ้น TMB ขยับขึ้นราว 2.7% จากที่ปิดตลาดต้นปี 2.20 บาท ปรับขึ้นมา 2.26 บาท ปิด ณ 7 ก.พ. 62

    Source: ประชาชาติธุรกิจ

    ภาพจาก MThai
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    LEaoqmVfRAbDXo0VC-DKIx_ZfnyubZjG66enf97mUPWf_3K6ACRX7KI3ZN0WvsRCrElanRKg&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.png
    (Feb 10) บทความเรื่อง “Institutional Capital Allocation and Equity Returns: Evidence from Thai Mutual Funds’ Holdings” : การเลือกซื้อหุ้นตัวที่ได้กำไรดีนั้นไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ นักลงทุนที่สามารถทำกำไรจากการซื้อขายหุ้นมักจะต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ มีความสามารถในการคาดการณ์ และมีเวลาศึกษาติดตามข้อมูลผลประกอบการต่าง ๆ ของบริษัทและสภาวการณ์ของตลาด

    นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้นตัวเดียวก็ค่อนข้างมีความเสี่ยง กองทุนรวมเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนต่ำและไม่มีเวลาติดตามหุ้นมากนัก เพราะกองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นมืออาชีพทำหน้าที่เลือกและซื้อขายหุ้นแทน และเป็นการนำเงินของหลาย ๆ คนมารวมกันเพื่อไปลงทุนในหุ้นหลาย ๆ ตัว (portfolio) ความเสี่ยงจึงต่ำลง

    บทความนี้ใช้ข้อมูลการถือหุ้นของกองทุนรวมต่าง ๆ ของประเทศไทยเพื่อศึกษาว่า หุ้นใน portfolio ของ mutual fund นั้น มีผลตอบแทนดีกว่าหุ้นอื่น ๆ หรือไม่

    ผลพบว่าจริงแต่ไม่น่าจะเป็นเพราะผู้จัดการกองทุนมีความสามารถในการเลือกหุ้นที่ดีกว่า

    อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pier.or.th/wp-content/uploads/2018/10/pier_dp_097.pdf

    โดย ดร.รุ่งเกียรติ รัตนบานชื่น และ ดร.คณิสร์ แสงโชติ

    Source: PIER FB
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    images%252F2%252F0%252F3%252F9%252F19189302-2-eng-GB%252FCropped-1549250993GettyImages-859557906.jpg
    (Feb 10) โรงงานของเล่นจีนสะเทือน แห่ย้ายหนีสงครามสหรัฐ-จีน: ในระหว่างที่สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐอยู่ในช่วงหยุดยิงชั่วคราวตั้งแต่ ธ.ค.ปีที่แล้ว จนถึงวันที่ 1 มี.ค.นี้ เพื่อให้รัฐบาลปักกิ่งและวอชิงตันเจรจาหาทางออกอยู่นั้น บรรดาผู้เกี่ยวข้องทั้งแบรนด์สินค้าและโรงงานในจีน รวมถึงผู้นำเข้าในธุรกิจของเล่นซึ่งจีนเป็นฐานผลิตใหญ่ครองส่วนแบ่ง 80% ของโลก และมีสหรัฐเป็นลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีกำแพงภาษีเลย ต่างไม่รอลุ้นผลการเจรจา แต่เริ่มเคลื่อนไหวเตรียมพร้อมรับสถานการณ์เลวร้ายสุดเอาไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นหาลู่ทางย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศเพื่อตัดปัญหา ลดปริมาณ ออร์เดอร์รวมถึงหั่นเวลาส่งสินค้าให้สั้นลงเพื่อลดความเสี่ยง

    โดยสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โรงงานผลิตของเล่นหลายรายแห่ยื่นของตั้งฐานการผลิตในต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม สะท้อนจากตัวเลขของสมาคมธุรกิจจีนในเวียดนามที่ระบุว่า จำนวนคำขอเช่าโรงงานในเวียดนามเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจาก 11 ราย ในปี 2560 เป็น 27 ราย ในปี 2561 ที่ผ่านมา และในจำนวนนี้กลุ่มผู้ผลิตของเล่นแสดงความต้องการเร่งด่วนมากที่สุด หลายรายเสนอจ่ายค่าเช่าเป็นเงินสดล่วงหน้าเต็มจำนวน แม้โรงงานนั้น ๆ จะยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง

    ขณะเดียวกัน ส่งผลให้ราคาค่าเช่าพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย โดยช่วง 1-2 เดือน ล่าสุดค่าเช่าโรงงานในจังหวัดล็องอานทางตะวันตกเฉียงใต้ของโฮจิมินห์เพิ่มขึ้นอีก 20% เป็น 2.6 เหรียญสหรัฐต่อตารางเมตร

    "สแตนลี โล" เอ็มดีของเสิ่นเจิ้น โควิน อินเทลิเจนต์ ดีเวลอปเมนต์ บริษัทผลิตของเล่นเทคโนโลยีในเสิ่นเจิ้น อธิบายว่า แม้ที่ผ่านมามาตรการกำแพงภาษียังไม่ครอบคลุมมาถึงของเล่นโดยตรง แต่อาจต้องย้ายฐานตามซัพพลายเออร์ ด้านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงและมีแนวโน้ม จะย้ายฐานออกไปนอกประเทศ ทำให้ ผู้ผลิตสินค้าอื่น รวมถึงของเล่นต้องย้ายตามออกไปด้วย

    นอกจากนี้ ยังมีความกดดันจากผู้นำเข้ารายใหญ่ในสหรัฐที่เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นจากทั้งปัจจัยภาษีและการล้มละลายของช่องทางขายหลักอย่างทอยส์อาร์อัส โดยลดจำนวนสินค้าต่อรอบการสั่งซื้อลง รวมถึงลดเวลาส่งสินค้าจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน ส่วนบางราย เช่น วอลมาร์ต ระงับการสั่งสินค้าโดยสิ้นเชิง และอีกหลายรายที่เรียกร้องให้ผู้ผลิตย้ายฐานออกจากจีน ทำให้ผู้ผลิตบางราย เช่น "กวางตุ้ง ฉีจี เทคโนโลยี" ผู้ผลิตโดรนประกาศลดกำลังผลิตปีนี้ลง 30% และปรับเป้ายอดขายในสหรัฐเหลือ 3 แสนเครื่องจากเดิม 7.5 แสนเครื่อง ระหว่างที่รอความชัดเจนในการย้ายฐาน

    สอดคล้องกับความเห็นของผู้ผลิตรายอื่น ๆ ที่มองว่า สงครามการค้านี้เหมือนตะปูตอกฝาโลงสำหรับบรรดาผู้ผลิต หลังต้องเผชิญความท้าทายอื่นทั้งค่าแรง การขาดแคลนแรงงานและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น จนบางราย ทยอยย้ายฐานตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน ในขณะที่ อีกส่วนตัดสินใจเด็ดขาดในปีที่แล้ว และปีนี้

    อย่างไรก็ตาม แม้จะสามารถหนีภัยสงครามการค้าได้ แต่ยังมีความท้าทายอื่นรออยู่เช่นกัน อาทิ ค่าแรงในเวียดนามที่เริ่มสูงขึ้น และความพร้อมของซัพพลายเชน ที่ด้อยกว่าในจีน

    "โดมินิก ทัม" ประธานกิตติมศักดิ์ของสมาคมผู้ผลิตของเล่นฮ่องกง อธิบายว่า คลื่นการย้ายฐานนี้จะทำให้ความได้เปรียบด้านค่าแรงและค่าเช่าในเวียดนามลดลงอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าอีกไม่ถึง 5 ปี บรรดาผู้ผลิตจะเผชิญปัญหาแบบเดียวกับในจีนอีกครั้ง เพราะจำนวนแรงงานในเวียดนามต่ำกว่าจีนมาก ขณะเดียวกัน 95% ของชิ้นส่วนต่าง ๆ ยังมาจาก ผู้ผลิตในจีน และโรงงานในอาเซียนยังไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนตามมาตรฐานยุโรป และสหรัฐได้

    จากนี้ต้องจับตาดูว่าบรรดาผู้ผลิตของเล่นจะแก้โจทย์ความท้าทายทั้งในและนอกประเทศครั้งนี้อย่างไร รวมถึงผลการเจรจาระหว่างจีน-สหรัฐจะออกมาในทิศทางไหนและจะส่งผลกับอุตสาหกรรมของเล่นโดยรวม อย่างไร

    Source: ประชาชาติธุรกิจ

    เพิ่มเติม
    - Chinese toymakers shift overseas as trade war bites:
    https://asia.nikkei.com/Economy/Tra...FEvnXcikdd6xSmHLY5Xpi-P_-7xConWKm4eebDi8VmB5s
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    540&h=282&url=https%3A%2F%2Fwww.dutchnews.nl%2Fwpcms%2Fwp-content%2Fuploads%2F2019%2F02%2FBrexit.jpg

    (Feb 10) เนเธอร์แลนด์จีบบริษัทย้ายหนีอังกฤษ -กระทรวงเศรษฐกิจเนเธอร์แลนด์แถลงวานนี้ (9 ก.พ.) ว่า สำนักงานการลงทุนต่างประเทศกำลังเจรจากับอีก 250 บริษัทให้พิจารณาย้ายจากอังกฤษมาเนเธอร์แลนด์ก่อนที่สหราชอาณาจักรจะออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือ "เบร็กซิท" ในวันที่ 29 มี.ค. ส่วนในปีนี้มีหลายบริษัทประกาศแล้วว่า จะมาลงทุนในเนเธอร์แลนด์เพราะเบร็กซิท เช่น "ดิสคัฟเวอรี" และ "บลูมเบิร์ก" บริษัทสื่อชื่อดังของสหรัฐ

    แถลงการณ์ระบุว่า ทางการสามารถชักชวนบริษัทหรือสาขาให้ย้ายจากอังกฤษมาตั้ง สำนักงานในเนเธอร์แลนด์ได้ 42 แห่งเมื่อปีก่อน รวมตำแหน่งงาน 1,923 ตำแหน่ง

    คอลัมน์ กรุงเทพมอนิเตอร์

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
    - Brexit brings 42 foreign firms and 2,000 jobs to the Netherlands:
    https://www.dutchnews.nl/news/2019/...zJSc9WFcWDFMv3hNo08t_xkIUs6tYmhXboASi_vuEns8c
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    Fstatic.independent.co.uk%2Fs3fs-public%2Fthumbnails%2Fimage%2F2019%2F02%2F08%2F12%2Famazon-hq-2.jpg

    (Feb 11) ชุมชนนิวยอร์กรวมพลังต้านอเมซอนตั้งสนง.ใหญ่ : หวั่นยักษ์ใหญ่ค้าปลีกดันราคาสินค้าพุ่ง ทุบธุรกิจรายย่อยหมดทางทำรายได้
    หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า บริษัทอเมซอน กำลังตัดสินใจทบทวนโครงการสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่นิวยอร์ก ซิตี้

    เนื่องจากเผชิญกับการคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ โดยที่ผ่านมา อเมซอน เลือกลองไอส์แลนด์ ซิตี้ในนิวยอร์ก และเนชั่นแนล แลนดิ้งในเวอร์จิเนียเป็นสถานที่ตั้งของ 2 สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในย่านอีสต์โคสต์ โดยสำนักงานใหญ่แต่ละแห่งจะรองรับพนักงาน 25,000 คน

    อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ของนิวยอร์ก ซิตี้ และประชาชนในนิวยอร์ก ได้ออกมาคัดค้านโครงการก่อสร้างดังกล่าวของอเมซอน โดยวิตกว่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งขึ้น และทำให้ประชาชนในท้องถิ่นต้องถูกขับไล่ออกไป

    นายเจฟฟ์ เบโซส ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ)ของอเมซอน ระบุว่า สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ที่เมืองลองไอส์แลนด์ ในมหานครนิวยอร์ก จะดึงดูดผู้ที่มีศักยภาพระดับโลกให้มาร่วมงานกับบริษัทเพื่อพัฒนาสิ่งใหม่ๆเพื่อผู้บริโภคในอนาคตอันใกล้
    อเมซอน ซึ่งขณะนี้มีสำนักงานใหญ่หลักอยู่ที่นครซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน ต้องการตั้งสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ ที่จะรองรับงาน 50,000 ตำแหน่ง ซึ่งจำนวนการจ้างงานน่าจะแบ่งเป็นที่ละ 25,000 ตำแหน่งเท่าๆกัน โดยปัจจุบัน พนักงานของบริษัทมีรายได้เฉลี่ยปีละ 150,000 ดอลลาร์

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

    https://www.independent.co.uk/news/...zFj0_T2wY28RPvl9HfkaLxh3F9J__rq-KrAtorf103-Uc
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    EzLP5xUGvd_B1AjcBpqDOPaLlnS-9SQMk7m6EqQBKVobPPI0QWlJkw9DGsp2mbwLb_bYwgzQ&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.jpg
    (Feb 11) ทุนนอกเฮกลับหุ้นไทยลุ้นMSCI : กูรูประสานเสียงรับเงินต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยหลังความชัดเจนเลือกตั้ง และปัจจัยต่างประเทศเริ่มดีขึ้น ตลท.เผยต่างชาติถือครองหุ้นไทยผ่าน NVDR มากขึ้น ลุ้น MSCI ปรับเกณฑ์นำหุ้นใน NVDR ร่วมคำนวณ ด้านตราสารหนี้แม้เงินไหลออก แต่ยังเข้าซื้อระยะยาว

    ในปี 2561 ที่ผ่านมา ตลาดทุนไทยผันผวนเป็นอย่างมากตาม สภาพแวดล้อมและความกดดันทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ถาโถมเข้ามาได้ทุกเวลา โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยถึง 287,458.82 ล้านบาท ส่วนมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(Market Cap) ลดลง 1.6 ล้านล้านบาท หรือ 9.15% ลงมาอยู่ระดับ 15.98 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2561 ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่าในปี 2562 นี้ ทิศทางตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างเช่นปีก่อนหรือไม่

    ขณะที่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ปัจจัยต่างๆที่เป็นเชิงลบ กลับมีความชัดเจนและส่งผลเป็นบวกมากขึ้น เช่น การกำหนดวันเลือกตั้งไทยในวันที่ 24 มีนาคม 2562 การเจรจาสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนที่คาดจะได้ข้อสรุปก่อนวันที่ 2 มีนาคมนี้ และการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณชะลอปรับขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกว่าจะชะลอตัว เริ่มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

    ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่มีความชัดเจน ทำให้เงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market : EM) อีกครั้ง โดยนายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในเดือนมกราคม 2562 นักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่6,581 ล้านบาท เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดส่วนใหญ่ในเอเชีย มาจากความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่มีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น และความชัดเจนในการกำหนดวันเลือกตั้งในไทย

    ขณะเดียวกัน นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทย ผ่านใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย เป็นตราสารที่ออกโดยบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (NVDR) ในระดับค่อนข้างสูง โดยขณะนี้ MSCI อยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็น เรื่องการปรับเกณฑ์การนำหุ้นไทยเข้าคำนวณในดัชนี MSCI ซึ่งจะนำหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติถือครองผ่าน NVDR มาคำนวณร่วมด้วย ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยให้มีน้ำหนักมากขึ้น รวมถึงกองทุนต่างประเทศที่มีการลงทุนอ้างอิงน้ำหนักของดัชนี MSCI จะมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนมากขึ้น โดยปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนใน MSCI EM อยู่ที่ 2.5%

    ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติได้กลับเข้ามาลงทุนในไทย และคาดว่าจะยังต่อเนื่องไปจนถึงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในเดือนมีนาคมนี้ เพราะตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค ทำให้การเติบโตยังมีได้อีก ทั้งนี้ นักลงทุนยังรอดูโฉมหน้ารัฐบาลใหม่ว่าจะมีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดอีกครั้ง ว่าเงินทุนจะยังไหลเข้ามาอีกหรือไม่ในช่วงหลังการเลือกตั้งแล้วเสร็จ

    สำหรับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้นั้น นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ระบุว่า ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561-เดือนมกราคม 2562 พบว่า นักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิออกมาหลังจากในปี 2561 เป็นการซื้อสุทธิสวนทางกับตลาดหุ้น เนื่องจากปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นค่อนข้าง มีความผันผวน ทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดและความกังวลต่อวิกฤติเศรษฐกิจของกลุ่ม EM ทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย เพราะมองว่าเป็นที่ปลอดภัย

    อย่างไรก็ตาม การขายสุทธิในตราสารหนี้ไทยของต่างชาติช่วงเดือนมกราคม 2562 อยู่ที่ 12,966 ล้านบาท เป็นการขายในตราสารหนี้ระยะสั้นอายุต่ำกว่า 1 ปี ที่ 25,710 ล้านบาท ส่วนในตราสารหนี้ระยะยาว อายุมากกว่า 1 ปี มีสถานะซื้อสุทธิ 12,744 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติแค่ขายทำกำไร รวมถึงนำเงินไปกระจายความเสี่ยงในตลาดทุน หลังจากปัจจัยบวกของทางตลาดหุ้นเริ่มกลับมาดีขึ้น ขณะที่ในระยะยาวการถือครองของนักลงทุนต่างชาติยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งในระยะต่อไปยังมีโอกาสกลับมาซื้อได้อีก หากเกิดความกังวลจากปัจจัยในต่างประเทศเป็นหลัก

    Source: ฐานเศรษฐกิจ
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    h4Nul3rvvuZd8HEguFv8CVNGhdrQ0Eo0o-ezVy_eiT53_Lo46GnafzMTgKue9L8yZ_0ygYwA&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    (Feb 11) 'จีนเที่ยวไทย'ฟื้นสวนศก.ฟุบ ลุ้นนิวไฮ12ล้าน-จี้คุมบาทแข็ง:"แอตต้า"แนะธปท.ดูแลบาทแข็งหวั่นฉุดท่องเที่ยวจีนอีกรอบ หากหลุด 30 บาทต่อดอลล์ หลังสถานการณ์เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ โกลเด้นวีค คาดตลอดปีมีโอกาสทำนิวไฮแตะ 12 ล้านคน ดันรายได้ไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้าน

    โกลเด้นวีค ของเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 4-10 ก.พ.เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ตั้งความหวังว่าสถานการณ์ตลาดชาวจีนเที่ยวไทย ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 1 จะกลับสู่ภาวะปกติ หลังจาก ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ด้านลบ โดยเฉพาะเหตุเรือล่ม ที่จ.ภูเก็ต เมื่อเดือนก.ค.2561 ฉุดความเชื่อมั่น จนยอดนักท่องเที่ยวจีนร่วง ติดลบนาน 5 เดือน ต่อเนื่อง ก่อนจะพลิกฟื้นเป็นบวกอีกครั้งในเดือน ธ.ค. และสร้างสถิติใหม่แก่ภาคท่องเที่ยวไทย มีนักท่องเที่ยว จีนมาเยือนทะลุ 10 ล้านคนในปี 2561 เป็นปีแรก

    นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจ การท่องเที่ยว(แอตต้า) เชื่อมั่นว่า ภาพรวม ตลาดนักท่องเที่ยวจีนปี 2562 จะฟื้นตัวดีขึ้น เที่ยวไทย 100% แล้วตั้งแต่เทศกาลตรุษจีน กระแสการเดินทางในช่วงโกลเด้นวีค "ดีเกินคาด" และยังมียอดจองที่ดีต่อเนื่องหลังตรุษจีน มีโอกาส ทำให้ตลอดเดือน ก.พ. จะมีนักท่องเที่ยวจีน มากกว่า 1.2 ล้านคน

    แนะธปท.เร่งดูแลบาทแข็ง

    "ปีนี้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มมาเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 11 ล้านคน และ เป็นไปได้ที่จะแตะ 12 ล้านคน หากสถานการณ์ค่าเงินบาทไม่แข็งค่าไปมากกว่านี้ เพราะเป็นปัจจัยที่ทำให้กังวลว่าจะสะดุด อาจทำให้ตลาดจีนเที่ยวไทยไม่ถึงเป้าหมายทั้งในเชิง รายได้และจำนวนคน ถ้าปล่อยให้เงินบาทแข็งค่า"

    แอตต้าจึงต้องการเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแล เพราะเพียงแค่เดือนเดียว เงินบาทแข็งค่าขึ้น 4% ในสถานการณ์ที่ธุรกิจท่องเที่ยว เช่น บริษัทนำเที่ยวแข่งขันกันสูง กำไรน้อยอยู่ที่ 5-10% เท่านั้น หากปล่อยให้แข็งค่าขึ้น 7-8% ธุรกิจอาจขาดทุน ในภาวะที่ค่าเงินของประเทศคู่แข่ง อาทิ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนามแข็งค่าเพียงเล็กน้อย จึงมองว่าท่องเที่ยวไทยอาจเสียเปรียบในระยะสั้น และกลางได้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 และ 3

    "ค่าเงินบาทที่ธุรกิจท่องเที่ยวยอมรับได้ คือ 31 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนจุดที่เหมาะสม ในการทำธุรกิจคือ 32-33 บาท หากหลุดไปถึง ระดับ 30 บาท อาจขาดทุน ทำแล้วไม่ได้กำไร นอกจากนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ภาคเอกชนท่องเที่ยวอาจลำบากขึ้นไปอีก เพราะเมื่อมีการปรับดอกเบี้ยขึ้น ค่าเงินบาท ก็จะแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย"

    ไทยติด 1 ใน 3 จุดหมายยอดนิยม

    ด้านนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า แนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวจีนปีนี้ คาดว่า จะมีจำนวน 11.69-12 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 11% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ที่การ เก็บสถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ พบว่ามีจำนวน 10,535,955 คน เพิ่มขึ้น 7.44% จากปีก่อนหน้า สร้างรายได้ 580,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.52%

    ปัจจัยสนับสนุนคือ การที่ไทยเป็นแบรนด์ท่องเที่ยวที่เข้มแข็งและรู้จักอย่างกว้างขวางสำหรับนักท่องเที่ยวจีน ติด 1 ใน 3 ของจุดหมายที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง มีการขยายตลาดสู่เมืองรองอื่นๆ ในจีนมากขึ้น สอดคล้องไปกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้มีหนังสือเดินทางชาวจีน

    "นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟ.ไอ.ที.) จะมีความสำคัญมากขึ้น หลังแนวโน้มการเติบโตขยับเพิ่มเป็น 63% ของตลาดจีนเที่ยวไทยในปัจจุบันแล้ว โดยมีแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนคอยช่วยให้ชาวจีนเดินทางและสื่อสารกับผู้ประกอบการได้สะดวก ดังนั้นการเตรียมความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวก การสื่อสารไร้สาย และความปลอดภัยจะมีส่วนกระตุ้นให้ กลุ่ม เอฟ.ไอ.ที.ชาวจีนเดินทางมาไทย มากขึ้น"

    เร่งแก้ภาพลักษณ์เที่ยวทางน้ำ

    อย่างไรก็ดี ไทยยังมีปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างปัญหาภาพลักษณ์ความปลอดภัย ด้านการท่องเที่ยวทางน้ำ กระแสในโซเชียล และภาวะการแข่งขันสูงทั้งในระดับอนุภูมิภาค ระดับภูมิภาค และตลาดระยะไกลอื่นๆ รวมถึง การดูแลความปลอดภัยด้านการเดินทางและ ในแหล่งท่องเที่ยว

    ส่วนผลการดำเนินมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival (VoA) ที่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2561 - 13 ม.ค. 2562 มีผลกระตุ้นตลาดจีน รวมถึงตลาดอื่นๆ เช่น อินเดีย ทำให้รัฐบาลขยายระยะเวลาไปจนถึงวันที่ 30 เม.ย.นี้ เพื่อครอบคลุมเทศกาลตรุษจีนและสงกรานต์ พบว่าจากการเก็บสถิติล่าสุดตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2561 ถึงวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา มาตรการ VoA สามารถกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัว รวมกว่า 76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน ขยายตัว 82%

    1-28 ม.ค.จีนเที่ยวไทยเพิ่ม 8.6%

    นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนมาไทยตั้งแต่วันที่ 1-28 ม.ค. ที่ผ่านมา มีจำนวน 922,000 คน เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าวิกฤตในตลาดจีนเที่ยวไทยได้สิ้นสุดลงแล้ว

    ทั้งนี้ ททท.เตรียมประเมินรายได้สะพัดในเทศกาลตรุษจีนอีกครั้งหลังจบเทศกาล แต่เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นไปตามคาดการณ์เดิมคือ มีนักท่องเที่ยวจีนมาไทยในช่วงโกลเด้นวีคตั้งแต่วันที่ 4-10 ก.พ. รวม 330,000 คน เพิ่มขึ้น 4.12% เมื่อเทียบกับตรุษจีนปีที่แล้ว สร้างรายได้ 10,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.48% ขณะที่ภาพรวมคาดว่า มีชาวต่างชาติเดินทางเที่ยวไทยช่วงตรุษจีน ที่ผ่านมา 1,030,000 คน เพิ่มขึ้น 8.29% สร้างรายได้กว่า 24,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.5% "แม้ในปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ช่วงตรุษจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราการ เติบโตที่ไม่สูงมากนัก เนื่องจากยังได้รับ ผลกระทบจากเรือล่มที่ภูเก็ต แต่สถานการณ์ เริ่มปรับตัวดีขึ้น แม้จะยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ โดยได้ปัจจัยบวกจากการยกเว้นค่าธรรมเนียม VoA ที่ได้รับการขยายเวลาเพิ่มเติม"
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    jOrE4rdyLMuAnLH5Y4CkH0_s0munqkq3U7VkURD_srVZq7FbO52xmCN9zcIFCIPG3CAYl_CQ&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.png
    (Feb 11) กนง.ห่วง หนี้ครัวเรือนพุ่ง : จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา กนง.มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% นั้น ที่ประชุมมีการพิจารณาในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ เสถียรภาพการเงิน ที่คณะกรรมการได้ให้น้ำหนักในแต่ละเรื่องต่างกัน

    ซึ่งการคงดอกเบี้ยครั้งนี้ได้ให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องใกล้เคียงศักยภาพแม้ต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นตามการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลง ผลของมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งผลจากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ชะลอลง

    ขณะที่การท่องเที่ยวมีแนวโน้มดีขึ้น การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวตามรายได้ครัวเรือนทั้งในและนอกภาคเกษตรที่ปรับดีขึ้นและกระจายตัวมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ แต่ยังได้รับแรงกดดันจากหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

    แต่ประเด็นที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือ เสถียรภาพระบบการเงินที่เปราะบาง แม้ว่าเศรษฐกิจยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ กนง. บอกว่า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงในเรื่องศักยภาพระบบการเงิน ที่เปราะบาง โดยเฉพาะในส่วนของ หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากไตรมาส 2 ของปี 2561 อยู่ที่ 77.7% ไตรมาส 3 ของปี 2561 ที่อยู่ที่ 77.8% และมีแนวโน้มจะ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ปี 2561 อีกด้วย

    "หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นมาจาก สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้าน และอื่นๆ ทำให้ตัวเลขสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์หลายตัวเริ่มปรับตัวสูงขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ ธปท.มีมาตรการและนโยบายในการบริหารจัดการอยู่แล้ว แต่หากเพิ่มขึ้นมากเกินก็จะเข้าไปดูแลใน ส่วนนี้ โดยจะต้องไปดูไส้ในว่า หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นมาจากอะไร เพิ่มขึ้นเพราะเหตุใด เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ต่อไป" ทิตนันทิ์ กล่าว

    ทั้งนี้ การที่ กนง.ออกมาแสดงความวิตกกังวลของหนี้ครัวเรือน ที่เพิ่มขึ้น จะเป็นเสมือนการส่งสัญญาณอะไรออกมาหรือไม่ โดยเฉพาะภาพรวมเศรษฐกิจไทย หลังจากนี้

    เพราะหากติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.50% เป็น 1.75% โดยให้เหตุผลว่าดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำมานาน เศรษฐกิจขยายตัวสอดคล้องกับศักยภาพและกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาการ ผ่อนคลายนโยบายการเงินลดลง

    ทำให้ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้น ถึงแม้จะไม่ได้ปรับขึ้นในสัดส่วนที่มากนัก เมื่อเทียบกับการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. แต่ก็ปฏิเสธ ไม่ได้ว่าในส่วนของผู้กู้จะต้องแบกรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

    อีกทั้งในส่วนของสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้น แม้ธนาคารต่างๆ เหล่านี้จะเข้มงวดต่อการปล่อยสินเชื่อก็ตาม ก็อาจจะเป็นหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) เพิ่มขึ้นตามมาด้วย

    แม้แบงก์ชาติจะมองว่าเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องก็จริง แต่หากพิจารณากันอย่างถ้วนถี่แล้ว จะเห็นความเป็นจริงว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มที่จะขยายตัวชะลอตัวลง ทำให้นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก ได้ออกมาปรับลดคาดการณ์การ ขยายตัวเศรษฐกิจปี 2562 ขยายตัว ได้ไม่ถึง 4%

    ซึ่งการชะลอลงของเศรษฐกิจไทยจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เป็นหนี้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้บ้าน หนี้รถยนต์ ซึ่งหากรวมๆ กันในแต่ละเดือนจะทำให้มียอดการใช้จ่ายที่สูง

    ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนยังคงเท่าเดิมหรือ ลดลง จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อต่อการทำธุรกิจ เงินทุนหมุนเวียน ไม่เพียงพอกับความต้องการ ดังนั้นสิ่งที่จะตามมาคือการผิดนัดชำระหนี้ จนเป็นที่มาของหนี้เสียของเหล่าธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายที่ได้ปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มคนเหล่าหนี้

    สิ่งที่น่ากังวลอีกประเด็นหนึ่งคือ การกลับไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ เพราะเมื่อตัวเลขหนี้เสียเพิ่มขึ้น เป็นธรรมดาที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาการ ปล่อยสินเชื่อ ทำให้การขอกู้ไม่ผ่าน เงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ และอาจจะทำให้ธุรกิจล้มหายไป

    อย่างไรก็ตาม จากการตัดสินใจไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ แบงก์ชาติในครั้งนี้ ก็อาจจะเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนได้รับรู้ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในภายภาคหน้า ให้การจับตามองปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือน ค่าเงินบาท และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสม สอดคล้องกับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

    ก็ได้แต่หวังว่าหลังจากนี้แบงก์ชาติจะมีนโยบายพร้อมนำเอามาตรการต่างๆ ออกมาใช้เพื่อดูแลระบบการเงินของไทยให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจไทยอย่างจริงจัง ไม่ต้องรอให้ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ หรือประชาชนได้รับความเดือดร้อนก่อนค่อยแก้ปัญหา

    โดย กัลย์ทิชา นับทอง

    Source: Posttoday
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    มูฮัมหมัดคาร ฮารุดีน

    มาดูโร สั่งฝึกซ้อมรบทางทหารครั้งใหญ่ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเวเนซุเอลา เตรียมรับมือภัยคุกคาม
    K2CuG98LDCG7F_WkLrlgf5BERqzqtLeja-XCQ-Bsa9_jPZnq2_TAfaRmLcWuF2sxyCMZPHfA&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    -=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
    ERp4o7q5xGsE9o3O0Y4yhrqca0HGpKzM6yDGc0-sq3QdIZT50kenCjGw0U-8YDCfEvk4izfw&_nc_ht=scontent.fbkk7-3.jpg
    Nicolas Maduro ผู้นำของเวเนซุเอลาได้เปิดตัวสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นการฝึกซ้อมที่ 'สำคัญที่สุด' ในประวัติศาสตร์เตรียมที่จะขับไล่ผู้รบุกรุกที่อาจเกิดขึ้นจาก สหรัฐอเมริกาและพันธมิตร

    การฝึกซ้อมจะมีไปจนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะกลายเป็นการซ้อมรบทางทหารที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศในรอบ 200 ปี

    “ เราจะต้องเตรียมพร้อมที่จะปกป้องอำนาจอธิปไตยของ เวเนซุเอลา บูรณภาพการเลือกตั้งประมุขของรัฐแห่งดินแดนความเป็นอิสระ ที่ไม่ยอมเป็นทาสซาตาน

    BY>>>>>Giant Khan<<<<<

    https://www.rt.com/news/451155-madu...x5Q0GBYv8J4wM427kdSUEngqSZwC-5Nzb52A3gb62s3u4
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกาหลีใต้กัดฟันยอมทนไร้ทางเลือก เป๋าฉีกจ่ายค่าคุ้มครองเพิ่มให้สหรัฐฯ เผยแพร่: 10 ก.พ. 2562 19:37 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001481901.jpg

    รอยเตอร์ – เกาหลีใต้ลงนามข้อตกลงระยะสั้นเพื่อเพิ่มเงินสมทบสำหรับการคงทหารอเมริกันบนคาบสมุทรเกาหลี หลังจากข้อตกลงก่อนหน้านี้สิ้นสุดลงโดยที่ทรัมป์เฝ้ารบเร้าให้แดนกิมจิจ่ายเพิ่ม

    อเมริกาส่งทหารไปประจำในเกาหลีใต้นับตั้งแต่สงครามเกาหลีช่วงปี 1950-1953 และปัจจุบันมีทหารอยู่ในประเทศนี้ราว 28,500 นาย

    ข้อตกลงใหม่ซึ่งจะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาเกาหลีใต้นั้น ระบุเงินสมทบที่เกาหลีใต้ต้องจ่ายที่ 1.03 ล้านล้านวอน (890 ล้านดอลลาร์) เพิ่มจาก 960,000 ล้านวอนเมื่อปีที่แล้ว ที่สำคัญข้อตกลงใหม่ยังมีระยะเวลาแค่ปีเดียว ขณะที่ข้อตกลงเก่ามีระยะเวลา 5 ปี ซึ่งบีบให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากันนานหลายเดือนโดยไม่สามารถตกลงกันได้

    เงินสมทบของเกาหลีใต้ราว 70% ครอบคลุมเงินเดือนของลูกจ้างเกาหลีใต้ 8,700 คนที่ทำงานด้านธุรการ เทคนิค และจัดหาบริการอื่นๆ ให้แก่กองทัพอเมริกัน

    ปลายปีที่แล้ว กองทัพสหรัฐฯ เตือนพนักงานเกาหลีใต้ในฐานทัพว่า อาจถูกพักงานตั้งแต่กลางเดือนเมษายน หากรัฐบาลสองประเทศยังตกลงกันไม่ได้

    ก่อนเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้จะลงนามข้อตกลงในวันอาทิตย์ (10 ก.พ.) คัง คยุง-วา รัฐมนตรีต่างประเทศ กล่าวว่า กระบวนการเจรจาใช้เวลายาวนานมากแต่สุดท้ายถือว่า ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และแม้มีเสียงวิจารณ์ภายในประเทศ แต่ผลตอบรับถือว่าดีทีเดียว

    ทั้งนี้ ทิโมธี เบ็ตส์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการเจรจาและข้อตกลงเกี่ยวกับความมั่นคงของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เข้าพบคังก่อนลงนามให้ฝ่ายสหรัฐฯ และบอกกับคังว่า แม้จำนวนเงินในข้อตกลงไม่ได้มากมาย แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การสนับสนุนของเกาหลีใต้เพื่อสันติภาพและเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลี

    ก่อนหน้านี้เกาหลีใต้และอเมริกาหารือกันถึง 10 รอบนับจากเดือนมีนาคมแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เฝ้าเรียกร้องให้เกาหลีใต้สมทบเงินเพิ่ม

    เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้เผยว่า พยายามจำกัดภาระของตัวเองไว้ที่ 1 ล้านล้านวอนและผลักดันให้ข้อตกลงมีอายุอย่างน้อย 3 ปี

    สมาชิกรัฐสภาอาวุโสคนหนึ่งในพรรครัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเผยเมื่อเดือนที่แล้วว่า การเจรจาเจอทางตันหลังจากอเมริกายื่นข้อเสนอเร่งด่วนที่ไม่อาจยอมรับได้โดยขอให้โซลสมทบเงินปีละกว่า 1.4 ล้านล้านวอน

    อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายร่วมกันร่างข้อตกลงเพื่อลดผลกระทบต่อปฏิบัติการของเกาหลีใต้ในฐานทัพอเมริกัน โดยมุ่งเน้นการหารือในประเด็นนิวเคลียร์ก่อนที่ทรัมป์จะประชุมสุดยอดครั้งที่สองกับ คิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ช่วงปลายเดือนนี้ที่เวียดนาม

    การไม่สามารถตกลงกันได้ทำให้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นที่ทรัมป์จะตัดสินใจถอนทหารอย่างน้อยบางส่วนออกจากเกาหลีใต้อย่างที่ทำในซีเรีย แต่ถึงกระนั้น ในวันอาทิตย์ เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ก็เปิดเผยกับสำนักข่าวยอนฮัป โดยระบุว่า วอชิงตันยืนยันจะไม่เปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการประจำการณ์ทางทหารบนคาบสมุทรเกาหลี

    ยอนฮัป ยังรายงานว่า ประธานาธิบดี มุน แจ-อิน ของเกาหลีใต้ จะหารือกับทรัมป์เรื่องซัมมิตที่เวียดนาม และก่อนที่ซัมมิตจะเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่อเมริกันและเกาหลีเหนือจะหารือกันที่ประเทศหนึ่งในเอเชีย แต่ยังไม่มีการระบุชื่อประเทศ

    ทั้งนี้ ภายหลังซัมมิตกับคิมครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ทรัมป์ประกาศระงับการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้โดยบอกว่า สิ้นเปลืองและอเมริกาเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่

    นับจากนั้นอเมริการะงับการซ้อมรบร่วมขนาดใหญ่ แต่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมายังคงมีการซ้อมรบขนาดเล็กบ้าง ท่ามกลางเสียงตำหนิของสื่อของทางการเปียงยาง

    https://mgronline.com/around/detail/9620000014349
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘ทรัมป์’ทำลายความหวังของตลาดการเงิน บอกจะไม่พบกับ ‘สี’ ในเดือนนี้ เผยแพร่: 10 ก.พ. 2562 23:58 ปรับปรุง: 11 ก.พ. 2562 00:24 โดย: กองบรรณาธิการเอเชียไทมส์
    562000001488601.jpg

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ (ภาพจากแฟ้มถ่ายเมื่อ 31 ม.ค. 2019) ระบุว่าเขาไม่มีแผนการพบหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ก่อนถึงกำหนดเส้นตายวันที่ 1 มีนาคมที่วอชิงตันขีดเอาไว้

    (เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)

    Trump dashes hopes he will meet Xi this month
    By Asia Times staff
    08/02/2019

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยืนยันตามที่พวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวพากันส่งสัญญาณ ว่าเขาไม่มีแผนพบปะหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ก่อนกำหนดเส้นตาย 1 มีนาคม ที่วอชิงตันจะเริ่มขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจีน 200,000 ล้านดอลลาร์ ข่าวนี้ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ย่ำแย่ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างๆ ก็ไม่สดใส

    พวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวพากันส่งสัญญาณในวันพฤหัสบดี (7 ก.พ.) ที่ผ่านมาว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่มีการพบปะหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ก่อนถึงกำหนดเส้นตายอันสำคัญยิ่งยวดในวันที่ 1 มีนาคมนี้ กระแสข่าวเรื่องนี้ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯพากันร่วง

    ในเวลาต่อมาทรัมป์ยังออกมายืนยันข่าวนี้ โดยตอบว่า “ไม่มี” เมื่อถูกพวกผู้สื่อข่าวสอบถามในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีการพบปะหารือกับประมุขแดนมังกร พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯพูดกันเอาไว้ว่าจะมีการขึ้นพิกัดศุลกากรเอากับสินค้าเข้าของจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ ถ้าสองประเทศยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

    ตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯตอนปิดเมื่อวันพฤหัสบดี (7 ก.พ.) ปรากฏว่าทั้งดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ และดัชนีเอสแอนด์พี 500 ต่างลดต่ำลงมา 0.87% และ 0.94% ตามลำดับ ทั้งนี้นอกเหนือจากความกังวลเกี่ยวกับเรื่องการค้านี้แล้ว ตัวเลขข้อมูลทางเศรษฐกิจซึ่งเผยแพร่ออกมาในวันนั้นยังสะท้อนให้เห็นว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั่วโลกกำลังชะลอลง

    แลร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจระดับท็อปของทำเนียบขาว ได้กล่าวย้ำในช่วงก่อนหน้านั้นของวันดังกล่าวว่า สหรัฐฯกับจีน “ยังจะต้องไปกันอีกไกลทีเดียว” กว่าจะทำข้อตกลงกันได้ แต่เขาก็เน้นว่าประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงมองโลกในแง่ดีอยู่

    “ท่านประธานาธิบดีแสดงท่าทว่าท่านยังคงมองโลกในแง่ดีในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะสามารถทำดีลทางการค้าจีน แต่, แต่, แต่, แต่, เรายังต้องไปกันอีกไกลโขทีเดียวจากตรงนี้” คุดโลว์กล่าวในการให้สัมภาษณ์ ฟอกซ์ บิสซิเนส เนตเวิร์ก (Fox Business Network)

    ทางด้านไฟแนนเชียลไทมส์ (Financial Times) รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวรายหนึ่งที่กล่าวว่า ตัวทรัมป์เองเป็นผู้เสนอแนะว่าให้นัดหมายพบปะเจรจากับสีที่เวียดนาม ซึ่งตัวประธานาธิบดีอเมริกันเองมีกำหนดการจะหารือประชุมซัมมิตกับคิม จองอึนผู้นำเกาหลีเหนืออยู่แล้วในช่วงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ แต่บุคคลที่เป็นแหล่งข่าวของไฟแนนเชียลไทมส์คนดังกล่าวเล่าต่อไปว่า ปักกิ่งเสนอกลับให้จัดการพบปะหารือกันที่เกาะไหหลำ (ไห่หนาน) ซึ่งเป็นเกาะใหญ่มีฐานะเป็นมณฑลหนึ่งของจีนซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับเวียดนาม ทว่าพวกเจ้าหน้าที่คณะบริหารทรัมป์ปฏิเสธไม่เอาแผนนี้

    562000001488602.jpg

    สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ (ภาพจากแฟ้มถ่ายเมื่อ 26 ม.ค. 2019) เป็นหนึ่งในคณะผู้แทนระดับสูงของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดจะไปเจรจากับฝ่ายจีนที่กรุงปักกิ่งในสัปดาห์นี้

    หมายเหตุผู้แปล

    สำนักข่าวรอยเตอร์ได้เสนอรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่าไม่มีแผนการพบหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ แต่สหรัฐฯก็จัดส่งคณะผู้เจรจาเดินทางไปปักกิ่งเพื่อพูดคุยกับฝ่ายจีนต่อตั้งแต่วันจันทร์ (11ก.พ.) จึงขอเก็บความนำมาเสนอในที่นี้


    https://mgronline.com/around/detail/9620000014391
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เที่ยวบินจากนิวซีแลนด์ไปจีน ถูกบังคับให้เลี้ยวกลับภายหลังเดินทางมา 5 ชั่วโมง เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจอด เผยแพร่: 11 ก.พ. 2562 03:34 ปรับปรุง: 11 ก.พ. 2562 03:38 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001489701.jpg

    เอเอฟพี/MGRออนไลน์ – เครื่องบินโดยสารลำหนึ่งที่กำลังบินจากเมืองโอคแลนด์ ของนิวซีแลนด์ มุ่งหน้าไปยังเมืองเซี่ยงไฮ้ ของประเทศจีน ถูกบังคับให้ต้องเลี้ยวกลับทั้งๆ ที่อยู่ในอากาศมาเป็นเวลานาน 5 ชั่วโมงแล้ว เนื่องจากเครื่องบินไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจอด พวกผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่เผยในวันอาทิตย์ (10 ก.พ.)

    ผู้โดยสารหลายรายเล่าว่า กัปตันของเครื่องบินแจ้งให้พวกเขาทราบขณะอยู่กลางอากาศว่า เครื่องบินของแอร์นิวซีแลนด์ลำนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจอดในจีน และจำเป็นจะต้องเลี้ยวกลับ

    “ขณะเที่ยวบินของเราอยู่ระหว่างการเดินทาง นักบินก็แจ้งให้พวกเราทราบว่า พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของจีนยังไม่ได้อนุญาตให้เครื่องบินลำนี้ลงจอด ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องหันหัวกลับ นี่เป็นประเด็นปัญหาเรื่องการขออนุญาต ผมเข้าใจว่ายังงั้นนะ” ผู้โดยสารคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า อีริค ฮุนด์แมน บอกกับหนังสือพิมพ์นิวซีแลนด์เฮรัลด์

    “ผมจะต้องรู้สึกตะลึงงันเลย ถ้าหากแอร์นิวซีแลนด์ยินยอมให้เครื่องบินที่มีผู้โดยสารนั่งกันเต็มลำ เทคออฟออกไปโดยที่ยังไม่ได้มีความแน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถเอาเครื่องบินลำนี้ลงจอดที่เซี่ยงไฮ้ได้หรือเปล่า” ฮุนด์แมน ซึ่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เซี่ยงไฮ้ (New York University Shanghai) กล่าวต่อ

    ทางด้านสายการบินได้ออกคำแถลงระบุว่า “เป็นกระบวนการตามปกติอยู่แล้วที่แผนเที่ยวบิน (flight plan) จะต้องได้รับอนุญาตจากพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบท้องถิ่นก่อนหน้าจะออกเดินทาง และเรื่องนี้ก็ได้กระทำในคราวนี้ และได้รับการอนุมัติรับรองจากพวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของจีนแล้ว

    “เป็นโชคร้าย เมื่อมีการค้นพบระหว่างการเดินทางว่า เครื่องบินลำที่กำลังบินอยู่ ในความเป็นจริงไม่ได้รับการอนุญาตที่จำเป็นสำหรับการลงจอด”

    ภายหลังเดินทางกลับถึงโอคแลนด์แล้ว สายการบินแห่งนี้ได้ส่งข้อความถึงพวกผู้โดยสารซึ่งได้รับค่าชดเชยเพียงเล็กๆ น้อย โดยบอกว่า เที่ยวบินดังกล่าวถูกเปลี่ยนกำหนดเวลาใหม่ และออกเดินทางในคืนวันอาทิตย์

    ไอรีน คิง คอมเมนเตเตอร์อิสระด้านการบิน ให้ความเห็นกับนิวซีแลนด์เฮรัลด์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนนี้ถือว่าผิดปกติมาก และเท่าที่เธอทราบในอดีตมีอยู่กรณีเดียวซึ่งเกิดขึ้นแบบเดียวกับเครื่องบินแอร์นิวซีแลนด์ประสบมา

    เธอกล่าวว่าสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ ถึงแม้ทางสายการบินได้ทำเรื่องขอให้เครื่องบินลงจอด แต่แล้วจู่ๆ ก็ได้มีการใช้เครื่องบินซึ่งแตกต่างไปอย่างกะทันหัน ซึ่งเรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของจีนจะไม่มีทางยอมรับเลย

    “ประเทศจีนเข้มงวดมากในเรื่องการยื่นคำขอสล็อตสำหรับการลงจอด ปกติแล้ว พวกสายการบินซึ่งก็หมกมุ่นอยู่กับระบบของพวกเขา จะจัดแจงยื่นคำขอสล็อตลงจอดล่วงหน้ากันเป็นหลายๆ วัน หลายๆ อาทิตย์ หลายๆ เดือน (แต่ในคราวนี้) เห็นได้ชัดว่า มีความประมาทเลินเล่อทางการบริหารอย่างร้ายแรงขึ้นมา จึงทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น”

    คิงบอกว่า พวกสายการบินต่างๆ และโลกการบินต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่า ฝ่ายจีนนั้นเข้มงวดเคร่งครัด “เป็นพิเศษมาก” เกี่ยวกับน่านฟ้าของพวกเขา ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นจึงเป็นความผิดของทางสายการบิน

    “ตามกฎหมายการบินพลเรือน (ของนิวซีแลนด์) ในมาตราว่าด้วยการชดเชย ผู้โดยสารสามารถยื่นเรียกร้องขอเงินชดเชยเป็นจำนวนสูงถึง 10 เท่าได้ทีเดียว เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย หรือปัญหาทางวิศวกรรม หรือปัญหาทางเทคนิค

    “เรื่องนี้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องทางการบริหาร ซึ่งฉันขอเรียกว่าเป็นความประมาทเลินเล่อ และผู้โดยสารควรยื่นเรื่องและเรียกร้องขอค่าชดเชย มันไม่ควรจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมา” เธอบอก

    https://mgronline.com/around/detail/9620000014402
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    งามไส้! สื่อแฉชั่วโมงทำงาน 60% ของ ‘ทรัมป์’ หมดไปกับ ‘เวลาส่วนตัว’ เผยแพร่: 11 ก.พ. 2562 09:32 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001491701.jpg

    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ

    เอเอฟพี - ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกมาชี้แจงกรณีที่สื่อรายงานว่า เขาใช้ชั่วโมงทำงานส่วนใหญ่ไปกับการพักผ่อน ขณะที่ทำเนียบขาวเร่งล่าตัวมือดีที่เอาตารางงานของผู้นำสหรัฐฯ ไปเผยให้สื่อมวลชนทราบ

    เว็บไซต์ Axios.com รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ช่วงเวลางาน 60% ของ ทรัมป์ ในแต่ละวันถูกจัดให้เป็น executive time ซึ่งหมายถึงเวลาว่างสำหรับการคุยโทรศัพท์ อ่านหนังสือพิมพ์ ทวีตข้อความ และดูโทรทัศน์

    ผู้นำสหรัฐฯ ออกมาทวีตแก้ตัว โดยเรียกร้องให้สาธารณชนมองเวลาว่างของเขา “ในแง่ดี ไม่ใช่แง่ลบ”

    “ในส่วนที่ระบุว่าเป็น executive time นั้น ผมก็ยังคงทำงานเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้พักผ่อนเลย” ทรัมป์ กล่าว “ผมอาจมีชั่วโมงทำงานมากกว่าประธานาธิบดีคนก่อนๆ ด้วยซ้ำ”

    “ความจริงก็คือ ผมเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงที่ประเทศของเรากำลังสับสนวุ่นวาย”

    “กองทัพขาดแคลนงบประมาณ สงครามที่ยืดเยื้อไม่รู้จบ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามกับเกาหลีเหนือ กิจการทหารผ่านศึก อัตราภาษีสูงและมีกฎระเบียบมากเกินไป ปัญหาชายแดน ผู้อพยพ ปัญหาสาธารณสุข และอีกสารพัดอย่าง... ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำงานยาวนานหลายชั่วโมง!”

    คู่มือที่สำนักงานสื่อสารของทำเนียบขาวเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน ระบุว่า ทรัมป์แทบจะไม่เคยเริ่มงานอย่างเป็นทางการก่อน 11.00 น.

    มิค มัลวานีย์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ปฏิเสธการตั้งข้อสังเกตของสื่อมวลชนว่าตารางงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบุคคลทรงอิทธิพลที่สุดของโลกดูเหยาะแหยะเกินไปหรือไม่

    “ช่วง executive time มีไว้เพื่อให้ประธานาธิบดีได้เตรียมตัวสำหรับการประชุมครั้งถัดไป หรือรับฟังการสรุปข้อมูลจากการประชุมครั้งก่อนหน้า” เขาให้สัมภาษณ์ในรายการ Meet the Press ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีซึ่งออกอากาศเมื่อวานนี้ (10)

    “ประธานาธิบดีต้องเริ่มรับโทรศัพท์ตั้งแต่ 6.30 น. และอาจกินเวลาไปถึง 23.00 น. เพราะฉะนั้นผมยืนยันได้ว่า ท่านสุภาพบุรุษของเราทำงานมากกว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ในตาราง”

    มีรายงานว่า ทรัมป์ ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เร่งสืบหาให้ได้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวนี้ออกไป

    มัลวานีย์ พูดในรายการ Fox News Sunday ว่า ทำเนียบขาวหวังจะระบุตัวคนแพร่ข้อมูลให้ได้ “ภายในสัปดาห์นี้”

    https://mgronline.com/around/detail/9620000014431
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รบ.ซาอุฯ อ้างยังไม่รู้ว่าศพ ‘คาช็อกกี’ ถูกนำไปทิ้งที่ไหน เผยแพร่: 11 ก.พ. 2562 10:43 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000001493501.jpg

    เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย (ขวา) และ จามาล คาช็อกกี คอลิมนัสต์ชาวซาอุฯ
    เอเอฟพี - รัฐบาลซาอุดีอาระเบียยังไม่ทราบว่าศพของ จามาล คาช็อกกี นักหนังสือพิมพ์คนดังที่ถูกฆาตกรรมภายในสถานกงสุลที่นครอิสตันบูลเมื่อปีที่แล้ว ถูกนำไปทิ้งหรือซุกซ่อนไว้ที่ไหน แม้ทีมสังหารจะถูกจับแล้วก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศซาอุฯ เผยในบทสัมภาษณ์ซึ่งออกอากาศเมื่อวานนี้ (10 ก.พ.)

    คาช็อกกี ซึ่งทำงานเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ถูกกลุ่มคนร้ายฆ่าหั่นศพขณะเข้าไปติดต่อสถานกงสุลซาอุฯ เมื่อวันที่ 2 ต.ค. เพื่อทำเรื่องขอจดทะเบียนสมรสกับแฟนสาวชาวตุรกี

    อะเดล อัล-จูเบร์ รัฐมนตรีช่วยฝ่ายกิจการต่างประเทศซาอุฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการ Face the Nation ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสในสหรัฐฯ โดยยืนยันว่า คดีฆาตกรรมครั้งนี้เป็นฝีมือของกลุ่มเจ้าหน้าที่ซาอุฯ ซึ่ง “ทำเกินอำนาจหน้าที่” และผู้ร่วมก่อเหตุทั้ง 11 คนก็ถูกตั้งข้อหาแล้ว

    อย่างไรก็ตาม เมื่อพิธีกรถามว่าศพของ คาช็อกกี อยู่ที่ไหน เขากลับตอบว่า “เราไม่รู้”

    อัล-จูเบร์ อ้างว่า อัยการซาอุฯ ที่รับผิดชอบคดีนี้พยายามขอหลักฐานเพิ่มเติมจากรัฐบาลตุรกี แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง

    สำหรับคำถามที่ว่า เหตุใดจึงไม่เค้นสอบจากกลุ่มคนร้ายว่าเอาศพ คาช็อกกี ไปทิ้งที่ไหน อัล-จูเบร์ ก็ให้คำตอบแบบกว้างๆ ว่า “เรากำลังสอบสวนอยู่”

    “เวลานี้เรามีข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้หลายอย่าง เรากำลังสอบถามว่าพวกเขาทำอะไรกับศพ ซึ่งผมเชื่อว่ากระบวนการสอบสวนกำลังดำเนินอยู่ และเราคงจะได้รับรู้ความจริงในที่สุด”

    บทสัมภาษณ์ อัล-จูเบร์ ถูกบันทึกเทปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (8) ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ก้าวข้ามเส้นตายของสภาคองเกรสที่เรียกร้องให้เขายืนยันว่าใครเป็นผู้บงการฆ่า คาช็อกกี

    สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) สรุปยืนยันแล้วว่า ปฏิบัติการปลิดชีพ คาช็อกกี น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเจ้าชาย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารผู้ทรงอิทธิพลของซาอุฯ ทว่าทำเนียบขาวยังคงเพิกเฉยกับข้อมูลนี้ ท่ามกลางคำปฏิเสธจากริยาดซึ่งเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (8) หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า ซีไอเอสามารถดักฟังบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างเจ้าชายโมฮัมเหม็ดกับผู้ช่วยคนสนิทรายหนึ่งในปี 2017 โดยองค์มกุฎราชกุมารตรัสว่าจะทรงตามล่า คาช็อกกี “ด้วยลูกปืน” หากนักข่าวผู้วิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์รายนี้ไม่ยอมเดินทางกลับซาอุดีอาระเบีย

    อัล-จูเบร์ ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับ “รายงานซึ่งไม่ทราบแหล่งที่มา”

    “แต่เรารู้แน่นอนว่า มกุฎราชกุมารไม่ได้ทรงเป็นผู้ออกคำสั่ง และนี่ก็ไม่ใช่ปฏิบัติการที่รัฐสนับสนุน” เขากล่าว

    https://mgronline.com/around/detail/9620000014455
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กรมอุตุฯ คาดไทยเข้าสู่ฤดูร้อนช้ากว่าปี 61 เหนือ-อีสานอาจร้อน 40-43 องศา

    กรมอุตุนิยมวิทยา คาดประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนช้ากว่าปี 2561 ถึง 1-2 สัปดาห์ คาดภาคเหนืออาจอุณหภูมิสูงสุด อยู่ที่ 40-43 องศาเซลเซียส

    วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2562 นายภูเวียง ประคำมินทร์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ปีนี้ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูร้อน ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งถือว่าช้ากว่าปีก่อน 1-2 สัปดาห์ และจะสิ้นสุดประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งลักษณะอากาศ จะมีความร้อนอบอ้าวเกือบทั่วไป โดยประเทศไทยตอนบน จะมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 35-37 องศาเซลเซียส โดยจะสูงกว่าค่าปกติ (ค่าปกติ 35.4 องศาเซลเซียส) และจะสูงกว่าปีก่อน ที่มีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 34.2 องศาเซลเซียส ขณะที่ปริมาณฝนโดยรวมเฉลี่ยจะต่ำกว่าค่าปกติ
    222030145.jpg
    ทั้งนี้ มีการคาดการณ์อุณหภูมิสูงสุดในภาคต่าง ๆ เช่น บริเวณภาคเหนือ และภาคอีสาน จะมีอุณหภูมิสูงสุด อยู่ที่ 40-43 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน หนองบัวลำภู อุดรธานี มุกดาหาร และชัยภูมิ เป็นต้น ส่วนภาคกลาง และภาคตะวันออก จะมีอุณหภูมิสูงสุด อยู่ที่ 40-42 องศาเซลเซียส เช่น จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ปราจีนบุรี สระแก้ว และฉะเชิงเทรา เป็นต้น ขณะที่ภาคใต้ ทั้ง 2 ฝั่ง จะมีอุณหภูมิสูงสุด อยู่ที่ 38-39 องศาเซลเซียส ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีอุณหภูมิสูงสุด อยู่ที่ 38-39 องศาเซลเซียส

    อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาเตรียมที่จะประกาศการเข้าสู่ฤดูร้อนของไทยอย่างเป็นทางการ ในช่วงสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ 2562 คาดว่า สภาพอากาศจะนิ่งจากความกดอากาศเข้าปกคลุมภาคกลาง จากนั้นมีฝนตกเล็กน้อยก่อนที่อุณหภูมิจะลดต่ำลง และหากหน่วยงานต่าง ๆ จะดำเนินมาตรการแก้ปัญหา เช่น ตรวจควันดำ จะช่วยทำให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ไม่เกินมาตรฐาน

    สำหรับปัจจัยที่ทำให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลลดลงในช่วงนี้ เนื่องจากมีเมฆเข้าปกคลุมอากาศเปิด ส่งผลให้ลมด้านบนช่วยพัดฝุ่นละอองลอยขึ้นสูงไปที่อื่น

    ข้อมูลจาก สำนักข่าว INN

    https://hilight.kapook.com/view/183...L20a4SBW-Jr02MSkfayMhg9QCbaU-2FOZI8F9dq_tB9zI
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai


    ... “แผนปล้นเวเนซุเอล่า คว่ำบาตรอิหร่าน คือเกมดันราคาน้ำมันของอเมริกา เตรียมเป็นผู้ส่งออก”


    ... จากปี 2014 ที่ “อเมริกา” บีบ “ซาอุดิอาระเบีย” ให้คงจำนวนการผลิตสูงไว้ทำให้น้ำมันล้นตลาด ทำให้ “เวเนซุเอล่า” กับ “รัสเซีย” และอีกหลายประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนักจนนำไปสู่การล่มสลายของการเงิน รายได้ของเวเนซุเอล่าที่มาจากน้ำมันเป็นหลักลดขายไป และเงินรูเบิ้ลของรัสเซีย ตก รวมทั้งทำให้ อิหร่าน ไนจีเรียเดือดร้อนกับรายได้ที่ลดลง จากนั้นราคาน้ำมันโลกก็ขึ้นๆลงๆเหมือนนั่งอยู่บนโรลเลอร์โคสเตอร์ โดยช่วงต้นปี 2015 นั้นราคาตกต่ำลงที่ $36.05 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล


    ... ตลาดน้ำมันดิบที่ Brent Crude นั้นในครึ่งปีแรกของปี 2018 ได้มีการซื้อสูงขึ้นมากกว่า 20% ทำให้ราคน้ำมันดีดขึ้นมาสูงสุดในรอบ 4 ปี ที่ราคา $86.07 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลในต้นเดือนตุลาคม 2018 แต่หลังจากนั้นราคาก็ดิ่งลงอีก เพราะความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกตกต่ำ กลัวว่าน้ำมันจะล้นตลาดอีก ทำให้ราคาตกมาที่ $ 54 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล อีกครั้งในเดือนธันวาคมสิ้นปี 2018 ( ทั้งเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก่อนนั้น ที่จะทำให้เงินไหลเวียนน้อย และ สงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา )


    ... “รัสเซีย” กับ “โอเปก” ตกลงกันประกาศว่าจะลดจำนวนการผลิตลงเพื่อจะดันราคาสูงขึ้นอีกครั้งในปี 2019 นี้


    ... จนมาถึง “วิกฤติการปล้นเวเนซุเอล่า” ของ “อเมริกา” ในต้นปี 2019 นี้ ก็ยิ่งทำให้ “ราคาน้ำมันโลก” ผันผวนอีกครั้ง โดยปี 2018 ที่ผ่านมา อเมริกา เป็นผู้ซื้อน้ำมันจาก เวเนซุเอล่า รายใหญ่ ที่ ร้อยละ 39 จากการส่งออกทั้งหมดของเวเนซุเอล่า ทำให้หลายบริษัทจากอเมริกาที่เคยซื้อจากเวเนซุเอล่า ต้องหันไปซื้อเจ้าอื่นแทน ซึ่งก็จะเป็นผู้ผลิตภายในประเทศอย่างเชลออยของอเมริกาเอง โดยปริมาณการซื้อจากเวเนซุเอล่าลดลงฮวบฮาบประมาณ 3 – 5 แสนบาร์เรลต่อวัน ทำให้เวเนซุเอล่าขายไม่ได้ ไม่มีเงินเข้าประเทศทันทีแบบฉุกละหุก เป็นคนจนแบบพริบตา ( ไม่ได้ประชานิยมสุดโต่งแบบสื่ออเมริกาโจมตี แต่จนเพราะถูกแกล้ง )


    ... และเมื่อปริมาณน้ำมันหายไปจากตลาดโลกทั้ง “อิหร่าน” ก่อนหน้านี้ตามด้วย “เวเนซุเอล่า” ทำให้ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้นทันที่ระดับ ที่ $61.70 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลทันที


    ... ตลาดน้ำมันดิบเบรนท์ ลดลงเล็กน้อยที่อยู่ที่ 60.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงเที่ยงของวันจันทร์ปลายเดือน มกราคม 2019สะท้อนความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานใหม่หลังจากข้อมูลเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันของ “อเมริกา” เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อกัน


    ... Baker Hughes บริษัท ผู้ให้บริการด้านแหล่งน้ำมันรายงานเมื่อวันศุกร์ที่ 25 มการคม 2019 ว่าจำนวนแท่นขุดเจาะของ “อเมริกา” ที่ใช้งานได้เพิ่มขึ้นกระฉูดจาก 10 แท่น เป็นมากถึง 862 แท่นเจาะ ในเพียงสัปดาห์เดียว โดยข่าวแท่นเจาะที่เพิ่มขึ้นนั้น ตามหลังแค่หนึ่งวันจากข่าวสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของอเมริกา ที่รายงานว่า “อุปทานน้ำมันดิบในประเทศอเมริกา” พุ่งขึ้น 8 ล้านบาร์เรลสู่ระดับสูงสุดในรอบสองเดือน


    … ( เหมือนการบีบบริษัทเอกชน โรงงานของอเมริกาต้องเลิกซื้อจากเวเนซุเอล่า ไปซื้อน้ำมันจากบริษัทของอเมริกาเอง โดยการสร้างวิกฤติในเวเนซุเอล่าและการคว่ำบาตร ปล้นเวเนซุเอล่าขึ้น )


    ... ขระที่ผลกระทบทั่วโลก ประเทศใหญ่ที่นำเข้าน้ำมันอย่างเช่น อินเดีย จีน เดือดร้อนหนักเพราะต้องซื้อน้ำมันแพงขึ้น ขณะที่ “ซาอุดิอาระเบีย” ที่เพิ่งซื้ออาวุธล็อตใหญ่จากอเมริกาจะได้ประโยชน์อย่างมาก เพราะกำลังถังแตกจากวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศและสงครามเยเมน ที่ลงทุนไปมาก และจะดีมากขึ้นเพราะว่าซาอุดิอาระเบียกำลังจะสร้างระบบขนส่งทางรางขนาดใหญ่ภายในประเทศ ที่ต้องใช้เงินมากมหาศาล


    ... “อเมริกา” วางแผนตั้งแต่ปีที่แล้ว 2018 ว่าปี 2019 นี้พวกเขาจะเปลี่ยนตัวเองเป็น “ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก” จากที่มีเชลออยหรือน้ำมันดิบในชั้นหินดินดานมากที่สุดในโลก เพื่อจะแข่งกับ “รัสเซีย” ตะวันออกกลาง อิหร่าน จึงต้องพยายามสร้างกลไกควบคุมราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ให้อยู่ใต้อุ้งเท้าของพวกเขาอยู่ได้ ไม่ต่ำเกินไป


    ... มีการพยากรณ์ว่า “ราคาน้ำมันดิบโลก” ในปี 2019 นี้ อาจจะสูงขึ้นมากแตะที่ 72 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล ที่จะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สูงขึ้นตาม ยังไม่ตก ราคาทองคำยังไม่ขึ้นแบบอิสระ หลายประเทศไม่กล้าขายทิ้งเงินดอลล่าร์จากกองทุนเงินตราระหว่างประเทศของตัวเอง และยังจะทำให้ “บทบาทของเงินดอลล่าร์ในการค้าโลกยังจะคงอยู่อีกต่อไป”

    ( นอกจากว่าจะเกิดวิกฤติหนี้สินของอเมริกาเอง จะระเบิดเสียก่อน )


    .

    .

    ... Brent Crude, the major benchmark price for oil purchases worldwide, increased by more than 20% in the first half of 2018, before hitting a four-year high of $86.07 a barrel in early October.


    ... RBC Capital Markets predicted that US sanctions could nearly double projected output shortfalls from Venezuela to between 300,000 and 500,000 barrels a day.


    This caused crude prices to hit $61.70 over the past week “but concerns over surging US fuel stocks and global economic woes weighed on


    sentiment”, says CNBC. Meanwhile, “the ongoing US-China trade dispute and broader gloom over world economic growth put a check on prices”, it said.


    … “With its booming manufacturing industries, supplemented by services and technology industries, the Indian economy swelled on the back of cheap oil prices with Brent posting sub-$30 per barrel levels at one point during the recent oil price slump of 2015-16,” he writes, “but that was then for a country reliant on imports for 82% of its crude oil needs.”


    Fitch-owned research outfit India Ratings opined that the Indian economy has the resilience to withstand and absorb the oil price shocks for a few months, but if oil prices remain high beyond two to three months, it will “adversely impact all the major macroeconomic variables such as current account, currency, inflation, interest rate, fiscal deficit, GDP growth and conduct of monetary policy”.


    … Barclays last week cut its 2019 average Brent forecast to $70 a barrel, from $72 previously, saying record US production would likely offset any short-term disruptions to Venezuelan supply due to possible sanctions.


    . https://www.theweek.co.uk/oil-price/95286/what-is-the-price-of-oil-and-which-way-will-it-go

    https://www.theguardian.com/business/2018/oct/12/oil-price-barrel-markets-iran-sanctions

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai


    ... “แผนปล้นเวเนซุเอล่า คว่ำบาตรอิหร่าน คือเกมดันราคาน้ำมันของอเมริกา เตรียมเป็นผู้ส่งออก”


    ... จากปี 2014 ที่ “อเมริกา” บีบ “ซาอุดิอาระเบีย” ให้คงจำนวนการผลิตสูงไว้ทำให้น้ำมันล้นตลาด ทำให้ “เวเนซุเอล่า” กับ “รัสเซีย” และอีกหลายประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนักจนนำไปสู่การล่มสลายของการเงิน รายได้ของเวเนซุเอล่าที่มาจากน้ำมันเป็นหลักลดขายไป และเงินรูเบิ้ลของรัสเซีย ตก รวมทั้งทำให้ อิหร่าน ไนจีเรียเดือดร้อนกับรายได้ที่ลดลง จากนั้นราคาน้ำมันโลกก็ขึ้นๆลงๆเหมือนนั่งอยู่บนโรลเลอร์โคสเตอร์ โดยช่วงต้นปี 2015 นั้นราคาตกต่ำลงที่ $36.05 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล


    ... ตลาดน้ำมันดิบที่ Brent Crude นั้นในครึ่งปีแรกของปี 2018 ได้มีการซื้อสูงขึ้นมากกว่า 20% ทำให้ราคน้ำมันดีดขึ้นมาสูงสุดในรอบ 4 ปี ที่ราคา $86.07 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลในต้นเดือนตุลาคม 2018 แต่หลังจากนั้นราคาก็ดิ่งลงอีก เพราะความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกตกต่ำ กลัวว่าน้ำมันจะล้นตลาดอีก ทำให้ราคาตกมาที่ $ 54 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล อีกครั้งในเดือนธันวาคมสิ้นปี 2018 ( ทั้งเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดก่อนนั้น ที่จะทำให้เงินไหลเวียนน้อย และ สงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา )


    ... “รัสเซีย” กับ “โอเปก” ตกลงกันประกาศว่าจะลดจำนวนการผลิตลงเพื่อจะดันราคาสูงขึ้นอีกครั้งในปี 2019 นี้


    ... จนมาถึง “วิกฤติการปล้นเวเนซุเอล่า” ของ “อเมริกา” ในต้นปี 2019 นี้ ก็ยิ่งทำให้ “ราคาน้ำมันโลก” ผันผวนอีกครั้ง โดยปี 2018 ที่ผ่านมา อเมริกา เป็นผู้ซื้อน้ำมันจาก เวเนซุเอล่า รายใหญ่ ที่ ร้อยละ 39 จากการส่งออกทั้งหมดของเวเนซุเอล่า ทำให้หลายบริษัทจากอเมริกาที่เคยซื้อจากเวเนซุเอล่า ต้องหันไปซื้อเจ้าอื่นแทน ซึ่งก็จะเป็นผู้ผลิตภายในประเทศอย่างเชลออยของอเมริกาเอง โดยปริมาณการซื้อจากเวเนซุเอล่าลดลงฮวบฮาบประมาณ 3 – 5 แสนบาร์เรลต่อวัน ทำให้เวเนซุเอล่าขายไม่ได้ ไม่มีเงินเข้าประเทศทันทีแบบฉุกละหุก เป็นคนจนแบบพริบตา ( ไม่ได้ประชานิยมสุดโต่งแบบสื่ออเมริกาโจมตี แต่จนเพราะถูกแกล้ง )


    ... และเมื่อปริมาณน้ำมันหายไปจากตลาดโลกทั้ง “อิหร่าน” ก่อนหน้านี้ตามด้วย “เวเนซุเอล่า” ทำให้ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้นทันที่ระดับ ที่ $61.70 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรลทันที


    ... ตลาดน้ำมันดิบเบรนท์ ลดลงเล็กน้อยที่อยู่ที่ 60.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในช่วงเที่ยงของวันจันทร์ปลายเดือน มกราคม 2019สะท้อนความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานใหม่หลังจากข้อมูลเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันของ “อเมริกา” เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อกัน


    ... Baker Hughes บริษัท ผู้ให้บริการด้านแหล่งน้ำมันรายงานเมื่อวันศุกร์ที่ 25 มการคม 2019 ว่าจำนวนแท่นขุดเจาะของ “อเมริกา” ที่ใช้งานได้เพิ่มขึ้นกระฉูดจาก 10 แท่น เป็นมากถึง 862 แท่นเจาะ ในเพียงสัปดาห์เดียว โดยข่าวแท่นเจาะที่เพิ่มขึ้นนั้น ตามหลังแค่หนึ่งวันจากข่าวสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของอเมริกา ที่รายงานว่า “อุปทานน้ำมันดิบในประเทศอเมริกา” พุ่งขึ้น 8 ล้านบาร์เรลสู่ระดับสูงสุดในรอบสองเดือน


    … ( เหมือนการบีบบริษัทเอกชน โรงงานของอเมริกาต้องเลิกซื้อจากเวเนซุเอล่า ไปซื้อน้ำมันจากบริษัทของอเมริกาเอง โดยการสร้างวิกฤติในเวเนซุเอล่าและการคว่ำบาตร ปล้นเวเนซุเอล่าขึ้น )


    ... ขระที่ผลกระทบทั่วโลก ประเทศใหญ่ที่นำเข้าน้ำมันอย่างเช่น อินเดีย จีน เดือดร้อนหนักเพราะต้องซื้อน้ำมันแพงขึ้น ขณะที่ “ซาอุดิอาระเบีย” ที่เพิ่งซื้ออาวุธล็อตใหญ่จากอเมริกาจะได้ประโยชน์อย่างมาก เพราะกำลังถังแตกจากวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศและสงครามเยเมน ที่ลงทุนไปมาก และจะดีมากขึ้นเพราะว่าซาอุดิอาระเบียกำลังจะสร้างระบบขนส่งทางรางขนาดใหญ่ภายในประเทศ ที่ต้องใช้เงินมากมหาศาล


    ... “อเมริกา” วางแผนตั้งแต่ปีที่แล้ว 2018 ว่าปี 2019 นี้พวกเขาจะเปลี่ยนตัวเองเป็น “ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก” จากที่มีเชลออยหรือน้ำมันดิบในชั้นหินดินดานมากที่สุดในโลก เพื่อจะแข่งกับ “รัสเซีย” ตะวันออกกลาง อิหร่าน จึงต้องพยายามสร้างกลไกควบคุมราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ให้อยู่ใต้อุ้งเท้าของพวกเขาอยู่ได้ ไม่ต่ำเกินไป


    ... มีการพยากรณ์ว่า “ราคาน้ำมันดิบโลก” ในปี 2019 นี้ อาจจะสูงขึ้นมากแตะที่ 72 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล ที่จะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สูงขึ้นตาม ยังไม่ตก ราคาทองคำยังไม่ขึ้นแบบอิสระ หลายประเทศไม่กล้าขายทิ้งเงินดอลล่าร์จากกองทุนเงินตราระหว่างประเทศของตัวเอง และยังจะทำให้ “บทบาทของเงินดอลล่าร์ในการค้าโลกยังจะคงอยู่อีกต่อไป”

    ( นอกจากว่าจะเกิดวิกฤติหนี้สินของอเมริกาเอง จะระเบิดเสียก่อน )


    .

    .

    ... Brent Crude, the major benchmark price for oil purchases worldwide, increased by more than 20% in the first half of 2018, before hitting a four-year high of $86.07 a barrel in early October.


    ... RBC Capital Markets predicted that US sanctions could nearly double projected output shortfalls from Venezuela to between 300,000 and 500,000 barrels a day.


    This caused crude prices to hit $61.70 over the past week “but concerns over surging US fuel stocks and global economic woes weighed on


    sentiment”, says CNBC. Meanwhile, “the ongoing US-China trade dispute and broader gloom over world economic growth put a check on prices”, it said.


    … “With its booming manufacturing industries, supplemented by services and technology industries, the Indian economy swelled on the back of cheap oil prices with Brent posting sub-$30 per barrel levels at one point during the recent oil price slump of 2015-16,” he writes, “but that was then for a country reliant on imports for 82% of its crude oil needs.”


    Fitch-owned research outfit India Ratings opined that the Indian economy has the resilience to withstand and absorb the oil price shocks for a few months, but if oil prices remain high beyond two to three months, it will “adversely impact all the major macroeconomic variables such as current account, currency, inflation, interest rate, fiscal deficit, GDP growth and conduct of monetary policy”.


    … Barclays last week cut its 2019 average Brent forecast to $70 a barrel, from $72 previously, saying record US production would likely offset any short-term disruptions to Venezuelan supply due to possible sanctions.


    . https://www.theweek.co.uk/oil-price/95286/what-is-the-price-of-oil-and-which-way-will-it-go

    https://www.theguardian.com/business/2018/oct/12/oil-price-barrel-markets-iran-sanctions


     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers

    #สังเกตพฤติกรรมสัตว์

    ฝูงนกกิ้งโครง ('Sturnus vulagris') บนป่าสนใน.ทูเดลา ,นาวาร์รา,ทางตอนเหนือของ #สเปน

    วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2019 นกกิ้งโครงเป็นที่รู้จักในการสร้างฝูงฝูงใหญ่เพื่อเดินทาง

    IMG_9132.JPG IMG_9133.JPG IMG_9134.JPG

    เครดิต : EPA-EFE/JESUS DIGES

    #Watchers


     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,658
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers

    IMG_9135.JPG
    #Earthquake

    วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562

    เวลา 09:46 น. ตามเวลาประเทศไทย

    แผ่นดินไหว อ.ลอง จ.แพร่

    พิกัด (18.22,99.84)

    ขนาด 2.4

    ความลึก 10 กม.

    [TMD] (link: http://dlvr.it/Qyd2Dn)

    #Watchers


     

แชร์หน้านี้

Loading...