น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. อำนาจ

    อำนาจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    579
    ค่าพลัง:
    +11,487
    ผมขอเรียนถามหลวงพี่เตชปญฺโญ ภิกขุ ดังต่อไปนี้

    1. ท่านบวชเพื่ออะไร

    2. ท่านจำคำพูดประโยคนี้ได้หรือไม่ (สัพพะทุกขะ นิสสะระณะ,นิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ , อิมัง กาสาวัง คะเหตวา,ปัพพาเชถะ มัง ภันเต , อะนุกัมปัง อุปาทายะ) ขอท่านโปรดอนุเคราะห์ รับผ้ากาสาวะนี้ ให้กระผมบวชเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เป็นเครื่องสลัดออกจากทุกข์ทั้งปวงเถิด ขอรับ (กล่าว ๓ หน)

    (สัพพะทุกขะ นิสสะระณะ,นิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ , เอตัง กาสาวัง ทัตวา,ปัพพาเชถะ มัง ภันเต , อะนุกัมปัง อุปาทายะ) ขอท่านโปรดอนุเคราะห์ ให้ผ้ากาสาวะนั้น ให้กระผมบวชเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เป็นเครื่องสลัดออกจากทุกข์ทั้งปวงเถิด ขอรับ (กล่าว ๓ หน)

    ถ้าจำได้ท่านได้ทำอะไรตามที่พูดแล้วหรือยัง ถ้าทำแล้วทำได้แค่ไหน

    3. ถ้าผ้าเหลืองเป็นธงชัยพระอรหันต์ ท่านใกล้ความเป็นพระอริยะเพียงไหน ท่านป็นพระอริยะหรือยัง

    4. ตั้งแต่บวชมาท่านปฎิบัติ ภาวนามากน้อยแค่ไหน คำถามคำตอบทั้งหมดที่ท่านกล่าวมาว่าพิสูจน์ไม่ได้ จริง ๆ แล้วพิสูจน์ได้ทั้งหมด ถ้าท่านปฎิบัติภาวนา ตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบอกไว้ จากอดีตจนถึงปัจจุบันมีผู้ปฏิบัติและสามารถยืนยันได้ ท่านเคยเจอท่านเหล่านั้นหรือไม่

    ขอรบกวนหลวงพี่เตชปญฺโญ ภิกขุ ช่วยตอบด้วยครับ
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    มิจฉาทิฎฐิ

    ความเห็นผิด2ประเภทได้แก่


    ๑. ทิฏฐิสามัญ เกิดกับสรรพสัตว์เป็นปกติ (ยกเว็น พระอาริยบุคคล)
    เรียกว่า สักกายะทิฎฐิ คือ มีความเห็นผิดว่า เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนของเรา​

    ๒.ทิฏฐิพิเศษ เปิดกับบางบุคคลบางโอกาส ได้แก่​
    • ๒.๑ นิตยมิจฉาทิฎฐิ ๓
      • ก. อเหตุกทิฏฐิ ความเห็นผิดว่าไม่มีเหตุ​
      • ข. นัตถิกทิฎฐิ ความเห็นผิดว่าไม่มีผล​
      • ค. อกิริยทิฎฐิ ความเห็นผิดว่าไม่มีทั้งเหตุและผล​
    • ๒.๒ สัสสตทิฎฐิ ความเห็นผิดว่าโลกเที่ยง
    • ๒.๓ อุจเฉททิฎฐิ ความเห็นผิดว่าโลกขาดสูญ
    ********************************************




    " ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้สักอย่างเดียว ที่มีโทษมากเหมือนอย่างมิจฉาทิฎฐิ

    ดูก่อนภิกขุทั้งหลาย ในบรรดาสิ่งที่มีโทษมากนั้น มีมิจฉาทิฎฐิเป็นอย่างยิ่ง "​

    (อังคุตรนิกาย เอกนิบาต)

     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    นมัสการ หลวงพี่ เตชปญฺโญ ภิกขุ

    หลุักสูตร พุทธศาสนาควรจะยึดหลักตามพระไตรปิฎก
    ศาสนาประกอบไปด้วยเรืองของความเชื่อและเรื่องของศรัทธา

    ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้า ทรงสอนไม่ให้เชื่ออะไร ตามหลักกามาลสูตร ๑๐ ทรงสอนไม่ให้เชื่อเพื่อเป็นมุลเหตุ การอยากรู้อยากเห็นอยากศึกษา ทดลองเพื่อให้เกิดปัญญา...

    ไม่ได้หมายความว่า ใช้หลักกามาลสูตร แล้วก็หยุดเอยู่ท่านั้น แล้วสรุปว่าไม่เชื่อไม่จริง ไม่ได้เกิดความเพียรพยายาม ศึกษาสิ่งที่ไม่เชื่อ

    แต่ พระองค์ก็ทรงสอนให้เชื่อให้ศรัทธา ตามหลัก ของ พละ ๕...
    คนเราทุกคนไม่สามารถจะทำการทดลองพิสูจน์สิ่งต่างๆได้ด้วยตัวเองหมดทุกอย่างก่อนที่จะเชื่อ...

    คนเราเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองและจากประสบการณ์ของคนอื่น


    แม้แต่ในสติปัฐฐาน๔ ตอนท้ายๆ พระองค์ก็สอนให้เชื่อพระองค์ไม่ต้องลังเลสงสัย

    ************************
    - ผลงานการค้นคว่าทางวิทยาศาสตร์ก็เช่นกัน เรื่องโลกกลม คนเราในปัจจุบันก็เชื่อแบบศรัทธา ไม่ได้ทดลอง พิสูจน์เองทุกคน...คนอื่นๆก็เชื่อตาม

    - การมีอยู่จริงของดินแดนประเทศอังกฤษ ทุกคนในโลกไม่ได้ทดลองมาเองหรอก มากันเองไม่กี่คนและ ส่วนมากได้เห็นจากภาพและ tv แต่ก็เชื่อกันดวยศรัทธาว่ามีดินแดนนี้อยู่จริง

    แม้แต่ผู้มีความรู้ นักวิทยาศาสตร์ต่างๆ ก็ไม่ได้ทดลองด้วยตัวเองพิสูจน์เองหมดทุกอย่าง ก่อนที่จะเชื่ออะไร

    **********************
    พระไตรปิฎก รวบรวมโดย พระอรหันต์
    พระอรหันต์คือ ผู้รู้
    เป็นผู้ได้สำเร็จการทดลอง พิสูจน์ธรรมตามพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นผู้สำเร็จวิชาสูงสุดในพุทธศาสนา

    ผู้ืำทำการทดลองพิสูจน์บางเรื่องในพุทธศาสนา ต้องประกอบไปด้วย ศิล สมาธิ และปัญญาจะเกิด

    ถ้ามีแต่ศิลอย่างเดียว แต่ไม่มีสมาธิ ปัญญาก็ไม่เกิด

    การจะพิสูจน์ เรื่อ่ง อภิญญาและนรกสวรรค์ ผู้ทำการพิสูจน์ ควรจะมี ศิล -->สมาธิ ---> แล้วปัญญา ก็จะเกิด ปัญญารู้ว่ามี สวรรค์หรือนรกหรือไม่

    ผุ้คัดค้านว่าไม่มีแดน สวรรค์ นรกจริง โดยมากมักจะไม่ได้ ขั้น สมาธิ พอไม่ได้ขั้นสมาธิ ปัญญาก็ไม่เกิด

    ************

    นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาทดลองเรื่องธรรมชาติต่างๆแล้ว นำมาความรู้รวบรวมเขียนเป็นตำราให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาตาม

    หลักสูตรวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่เขาออกให้เรียนกันใน ร.ร. และมหาลัย
    เขาก็ยึดหลักวิทยาศาสตร์ ที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองค้นคว้าไว้แล้ว เป้นที่ยอมรับของวงการ เช่น เรียนเรื่อง ของ atom , electron protron etc...

    ************

    ครู อาจารย์ที่ออกหลักสูตรวิทยาศาสตร์ เอง ก็ยึดหลักการค้นคว้าของ นักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อน มาให้นักเรียนได้เรียนกัน

    หลวงพี่ ออกแบบหลักสูตรพุทธศาสนา ควรยึกหลักพระไตรปิฎกที่พระอรหันต์ได้รวบรวมไว้นับว่าเป็นที่ยอมรับของวงการพุทธ

    ************
     
  4. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกผมไว้นานมากแล้ว ว่า จิตวิญญานของคนทั้งหลายที่มาเกิดเป็นปัจจะตัง คือมีเหตุแห่งการมาเกิด ผลจึงได้มาเกิดอยู่นี่ไง แล้วการมาเกิดก็มีวัตถุประสงค์มีจุดมุ่งหมายของการมาเกิดแต่มนุษย์ไม่เข้าใจเลยไม่ได้ปฏิบัติตามวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายนั้น ซึ่งวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายนี้ก็คือการพัฒนาจิตวิญญานให้เจริญขึ้นไปเรื่อยๆในแต่ละชาติที่เกิด ถ้าพวกเราทั้งหมดเข้าใจในเรื่องหลักการพัฒนาจิตวิญญาน รู้ความเป็นปัจจะตัง รู้เรื่องวิบากกรรม เข้าใจกฏของไตรลักษณ์ ผมเชื่อว่าการบิดเบือนความหมายการตีความที่ผิดเพี้ยนไปของเนื้อความต่างๆในพระไตรปิฎกคงไม่มีใครกล้ากระทำ เพราะมันเสี่ยงต่อการตกนรกภูมิอย่างแรง

    ขอให้โชคดีนะครับท่าน
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    กามาลสูตร ๑๐ บางอาจารย์ได้นำมาใช้ ในการไม่ให้เชื่อพระไตรปิฎกและตัดทอนส่วนต่างๆของพระไตรปิฎกออกเป็นจำนวณมาก​

    พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเพียงแต่ กามาลสูตร ๑๐ ไม่ให้เชื่ออะไร
    ทรงสอน พละ๕ ด้วย


    พละ ๕ คือธรรมอันเป็นกำลัง ซึ่งเป็นเครื่องเกื้อหนุนแก่อริยมรรค จัดอยู่ในจำพวกโพธิปักขิยธรรมมี ๕ คือ
    สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

    ---------------------------------


    พละ ๕ (อินทรีย์พละ ๕)
    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย

    [​IMG]
    วันนี้จะเทศน์เรื่อง
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    สวรรค์ในอก นรกในใจ

    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><TABLE borderColor=#000080 cellPadding=2 width="98%" border=0 ,><TBODY><TR><TD class=cd16 width="12%" bgColor=#ffa87d>ผู้ถาม</TD><TD class=cd16 width="88%" bgColor=#ffa87d>
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    เฉพาะ หลักกาลามสูตรอย่างเดียว ยังไม่สามารถที่จะเอาไว้ตรวจสอบพระไตรปิฎกได้

    ที่ผมได้อ่านงานเขียนของหลวงพี่และพระบางรูป เขียนในเชิงว่า ใช้แต่หลักกาลามสูตรแล้วก็ตัดพระไตรปิฎกออกได้เลย ที่ตัดออกเพราะว่า หลักกามาลสูตรบอกว่าไม่ให้เชื่ออะไร

    แล้วก็ไม่มีขั้นตอนอะไรต่อไป เช่น ไม่มีขั้นตอนการทดลองพิสูจน์ธรรมบางอย่างด้วยตัวเองเพื่อให้ตนเองทราบก่อน...

    และมีการเอาประวัติศาสตร์มาเทียบกับพระไตรปิฎก เป็นสาวกพระพุทธเจ้าแต่ไปเชื่อประวัติศาสตร์มากกว่าพระไตรปิฎก...
    ซึ่งทั้งประวัติศาสตร์และพระไตรปิฎกต่างก็เป็นกาจดบันทึก


    วิทยาศาสตร์

    หลักกาลามสูตร เป็นองค์ประกอบที่เป็นชนวนของการแสวงหาความรู้
    หลังจากนั้น ก็ใช้ วิธีการแสวงหาความรู้แล้วก็จะได้เป็นความรู้

    ความอยากรู้อยากเห็น และ ความไม่เชื่อถือ คือองค์ประกอบทาง
     
  8. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    ทำไม่เขาบอกว่าให้ลองปฎิบัติเอง จึงจะทราบ


    วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Sciencetific Method )

    มี 5 อย่าง

    1. Problem ตั้งปัญหา
    2. Observation สังเกต
    3. Hypothesis ตั้งสมมุติฐาน
    4. Experiment ทำการทดลอง
    5. Conclusion สรุปผล


    ย่อ POHEC เพื่อให้จำได้
     
  9. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,019
    นมัสการหลวงพี่ เตชปญฺโญ ภิกขุ

    รวมๆ ที่หลวงพี่บอกว่า เรื่อง ตายแล้วเกิด สวรรค์นรก อภิญญา ตามพระไตรปิฎกพิสูจน์ไม่ได้ไม่ควรเชื่อ เพราะว่าต้องใช้กาลามสูตร 10


    เรื่องนี้ พิสูจนได้ครับ
    หลายเรื่องวงการ วิทยาศาสตร์ ยังไม่ได้รับรองและทำการพิสูจน์รับรองเป็นวงกว้าง

    หลายๆเรื่องเราสามารถทดลองพิสูจน์เองได้ โดยไม่ต้องรอให้นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วมาบอกเรา เราจึงเชื่อ....

    โดยเฉพาะเรื่อง วิทยาศาสต์ทางจิต ซึ่ง ทำการทดลองได้ยาก และวิทยาศาสตร์ฺแนวนี้ยังไม่เจริญ...

    ในอดีต วิทยาศาสตร์จะทำการทดลองค้นคว้า แบบ 5 สัมผัส คือ ทำด้วย ตา หู จมูก ลิ้น และสัมผัส

    วิทยาศาสตร์ จะศึกษาเรื่องธรรมชาติ โดยใช้วิธีและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

    แต่ธรรมชาติ จริงๆ มี 6 สัมผัส ที่ขาดหายไปคือ สัมผัสที่หก หรือ จิต
    ซึ่งต่อไปในอนาคตวิทยาศาสตร์ก็จะศึกษาและทำการทดลองเรื่องนี้ และได้ผลออกมา เพราะว่าเรื่องนี้เป้นธรรมชาิต อย่างหนึ่ง

    แต่ว่าไม่ทราบว่าจะนานเมือ่ไหร่ เราอาจจะตายไปแล้ว

    การทดลองการพิสูจน์เอง ทำให้เราได้ทราบ

    เช่น ส้มผลนี้มีรสเปรี้ยว เราก็ลองชิมดู เราก็รู้เฉพาะตัวเราก่อน

    คนที่เขาทำการทดลองและรู้ด้วยตัวเองแล้ว เวลาไปอ่านงานเขียนของคนที่ไม่รู้ เขาจะทราบเลยว่า คนนั้นไม่ได้ทำการทดลอง หรือไม่ได้ปฏิบัติ

    เช่น บางคนเขียนว่า อภิญญาในพระไตรปิฎกจะมีจริงหรือเปล่า ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เป็นต้น

    คนที่เขารู้แล้วลองแล้วมาอ่าน เขาก็รู้ว่าคนนั้นไม่ได้ทำการทดลองปฎิบัติ
     
  10. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เรื่องอภิญญา ที่แปลว่า ความรู้อันยิ่งนั้น เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้นก็คือ อริยสัจ ๔ ดังนั้นอภิญญาหรือความรู้อันยิ่งก็คือความรู้อย่างยิ่งในเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ อภิญญาในความหมายอื่นจึงไม่ใช่หลักอภิญญาของพุทธศาสนา <o:p></o:p>
    ส่วนมโนมยิทธิหรือฤทธิ์ทางใจหรือการแสดงฤทธิ์ต่างๆเช่น เหาะได้ เดินทะลุกำแพงได้ เนรมิตสิ่งของได้ มีตาทิพย์มองเห็นนรก-สวรรค์ได้ เป็นต้นนั้นมีจริงแต่ไม่ใช่ของจริง คือมันมีได้แต่เฉพาะภายในจิตของผู้ที่มีสมาธิเท่านั้น มันเหมือนความฝันที่เราสามารถน้อมจิตให้มันเป็นไปตามที่เราต้องการได้ง่ายๆ แต่จะมาแสดงให้คนอื่นชมไม่ได้ เพราะมันไม่มีจริง <o:p></o:p>
    คนที่มีความยึดมั่นอยู่ในเรื่องใด พอจิตมีสมาธิเข้าหน่อยจิตมันก็จะสร้างมโนภาพของสิ่งนั้นขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นคนที่เชื่อเรื่องนรก ก็จะเห็นนรกขึ้นมาจริงๆเหมือนกัน แต่ถ้าเพ่งพิจารณาให้ดีนรกมันก็จะหายไปเพราะมันไม่ใช่ของจริง ซึ่งนรกที่เห็นนั้นก็จะเหมือนกับที่เราเคยเห็นมาในภาพที่จิตรกรเขาวาดเอาไว้นั่นเอง <o:p></o:p>
    แม้แต่การเห็นพระพุทธเจ้าก็ด้วยเหมือนกัน คือใครยึดมั่นอย่างไรก็จะเห็นพระพุทธเจ้าอย่างนั้น แล้วก็มาทึกทักเอาว่าเห็นพระพุทธเจ้า ถ้าเห็นจริงทำไม่ถามว่าธรรมะข้อใดผิดข้อใดถูก? เพื่อพระองค์จะได้สอนให้เข้าใจ จะได้ไม่ต้องมานั่งทุ่มเถียงกัน เป็นต้น
    การเป็นชาวพุทธนั้น เป็นกันเพียงแค่เชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เชื่อเรื่องเวรกรรมจากชาติปางก่อน แล้วก็ทำบุญกับพระสงฆ์ และหลับหูหลับตานั่งสมาธิเท่านั้นหรือ? มันง่ายเกินไป <o:p></o:p>
    คำว่าพุทธะ หมายถึงความรู้แจ้งเห็นจริง ดังนั้นการเป็นชาวพุทธจึงควรจะเริ่มต้นที่การศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้บังเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อให้บังเกิดสภาวะของพุทธะในขั้นต้นๆขึ้นมาก่อน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริง<o:p></o:p>
    จากพระไตรปิฎกที่ขู่เอาไว้ว่า
     
  11. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังทุกท่านที่เข้ามาอ่านข้อความในกระทู้นี้<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    หลักสูตรที่อาตมาเขียนขึ้นนั้นใช้สอนจริงๆ สอนมากว่า ๓หรือ ๔ปีแล้ว แต่สอนเฉพาะที่โรงเรียนเกาะสีชังที่เขานิมนต์อาตมาไปสอนเท่านั้น ไม่ใช่หลักสูตรระดับประเทศ แต่อาตมาคิดจะทำเป็นหลักสูตรระดับนานาชาติในอนาคต ตอนนี้มีคนกำลังจะมาช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษอยู่<o:p></o:p>
    อ้อหลักกามลามสูตรไม่ได้สอนว่าไม่ให้เชื่ออะไรเลย ลองอ่านดู.....
    หลักกาลามสูตร <o:p></o:p>
    พุทธศาสนาจะเน้นสอนให้ใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อ โดยมีหลักในการสร้างความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ที่เรียกว่าหลักกาลามสูตร(สูตรที่สอนแก่ชาวกาลามะ)ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้ : <o:p></o:p>
    ๑. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ฟังบอกฟังเล่าต่อๆกันมา <o:p></o:p>
    ๒. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ได้ทำสืบๆกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ <o:p></o:p>
    ๓. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า กำลังเป็นที่เลื่องลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน <o:p></o:p>
    ๔. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีที่อ้างอิงจากตำราหรือหนังสือต่างๆ <o:p></o:p>
    ๕. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีเหตุผลตรงๆทางมารองรับ(ตรรกะ) <o:p></o:p>
    ๖. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มีเหตุผลแวดล้อมมารองรับ(ปรัชญา) <o:p></o:p>
    ๗. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า คิดไปตามสามัญสำนึกของเราเอง <o:p></o:p>
    ๘. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า มันตรงกับความเห็นเดิมที่เรามีอยู่ <o:p></o:p>
    ๙. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ผู้บอกผู้สอนนั้นอยู่ในฐานะที่น่าเชื่อถือ <o:p></o:p>
    ๑๐. อย่าเชื่อและรับเอามาปฏิบัติด้วยเหตุเพียงสักว่า ผู้บอกผู้สอนนี้เป็นครูอาจารย์ของเราเอง <o:p></o:p>
    เมื่อใดที่เรารู้ด้วยตนเองว่า ธรรม(คำสอน)เหล่านี้เป็นอกุศล(ผิด,ไม่ดีงาม), ธรรมเหล่านี้มีโทษ, ธรรมเหล่านี้วิญญูชน(ผู้มีสติปัญญาและมีใจเป็นกลาง)ติเตียน, ธรรมเหล่านี้ถ้ากระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล พึงละเว้นธรรมเหล่านี้เสีย <o:p></o:p>
    ส่วนธรรมเหล่าใด ที่เรารู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล(ถูกต้อง, ดีงาม) ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ, ธรรมเหล่านี้วิญญูชนสรรเสริญ,ธรรมเหล่านี้ถ้ากระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความสุข เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล พึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น. <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    คือสรุปว่าให้ใช้เหตุผลพิจาณาดูก่อน ถ้าเห็นว่าไม่ดีไม่มีประโยชน์ก็ให้ละทิ้งเสีย แต่ถ้าเห็นว่าดีก็ให้นำมาทดลองปฏิบัติ ถ้าได้ผลจึงค่อยเชื่อ ถ้าไม่ได้ผลก็ให้ละทิ้งอีกเหมือนกัน นี่เป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่ได้ผ่านการพิสูจน์มาจนเห็นจริงแล้ว แต่ถ้ายังไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นจริงก็จัดว่ายังเป็นแค่ปรัชญาที่เป็นการใช้เหตุผลมาแวดล้อมเท่านั้น ยังไม่ใช่วิทยาศาสตร์แท้<o:p></o:p>
    สิ่งที่จะพิสูจน์ว่าอะไรผิด อะไรถูกนั้นจะอยู่ที่การทดลองของเราเอง ว่าทุกข์ได้ลดลงหรือไม่? นี่คือสิ่งที่เราจะต้องพิสูจน์ แต่ก็อย่าถามว่าใครพิสูจน์ได้แล้วหรือยัง? เพราะมันเป็นคำถามโง่ๆ ที่ใครๆก็ตอบได้ แต่คนถามจะรู้ได้อย่างไรว่าคนตอบนั้นพูดจริงหรือโกหก <o:p></o:p>
    การพิสูจน์เรื่องการทำจิตให้ว่างจากตัวตนนั้นจัดว่าง่ายกว่าการไปพิสูจน์เรื่องทำสมาธิสูงๆมาก เพราะเพียงแค่ทำจิตให้มีสมาธิอ่อนๆก็จะเห็นผลแล้ว ไม่เชื่อก็ลองทำดู
    ส่วนการพิสูจน์เรื่องทำสมาธิสูงๆนั้นมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนส่วนมากที่ไม่มีเวลามาปฏิบัติอย่างจริงจัง แต่ถ้ามัวแต่รอให้คนทำสมาธิสูงๆได้ก่อนจึงจะพิสูจน์นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้าละก็มีหวังพุทธศาสนาคงสาบสูญไปจากโลกนี้ก่อนเป็นแน่.<o:p></o:p>
    เตชปญฺโญ ภิกขุ<o:p></o:p>
     
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ จาก เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังคุณโยมปานโสม ที่ถามมาว่า<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    วิทยาศาสตร์ หมายถึง ธรรมในธรรม ที่ได้รับการพิสูจน์ ให้เป็นรูปธรรม
    แต่ธรรมในธรรม ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์เป็นรูปธรรม ไม่ได้หมายความว่าไม่มี หรือ ไม่ใช่ ตรงนี้ จึงใช้คำว่า ปัจจตัง เป็นการรองรับ ใช่หรือไม่คะ- ปานโสม<o:p></o:p>
    หลักวิทยาศาสตร์จะใช้การพิสูจน์ทดลองจนแน่ชัดก่อนจึงเขียนเป็นทฤษฎีขึ้นมาใช้สอน ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ก็จะยังไม่รับรองหรือตั้งเป็นทฤษฎี (ไม่ได้หมายความว่ายอมรับหรือไม่ยอมรับ) และเมื่อสอนก็จะสอนให้นำมาทดลองก่อน เมื่อได้ผลจึงค่อยเชื่อ
    คำว่า ปัตจัตตัง หมายถึงการที่เราจะพึงรู้ได้เฉพาะตนเอง คือรู้เอง เห็นเอง ใครคนอื่นมารู้ด้วยไม่ได้ (เพราะจิตไม่ได้ติดถึงกัน)<o:p></o:p>
    เตชปญฺโญ ภิกขุ<o:p></o:p>
     
  13. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    ปุจฉา

    กราบนมัสการท่านเตชปญโญ ภิกขุ

    1. ในความเห็นของท่าน นิพพานคืออะไร?

    2. สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านนิพพานเมื่อใด?

    3. ตัวท่านเองนิพพานแล้่วหรือยัง?
     
  14. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    <CENTER><TABLE><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD align=middle width=300>พระสูตร
    อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ มหาวรรค
    เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร)

    ว่าด้วย ข้อห้ามมิให้เชื่อโดยอาการ ๑๐ อย่าง
    พระไตรปีฎกภาษาไทย ฉบับหลวง พ.ศ. ๒๕๒๕
    เล่ม ๒๐ ข้อ ๕๐๕ หน้า ๑๗๙ - ๑๘๔
    ดูพระสูตรความย่อตอนเดียวกัน โดยคลิกที่ [​IMG] </TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG] </CENTER>

    [​IMG] {น.๑๗๙}[๕๐๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงนิคมของพวกกาลามะ ชื่อว่าเกสปุตตะ พวกชนกาลามโคตรชาวเกสปุตตนิคม ได้สดับข่าวมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตรทรงผนวชจากศากยสกุลแล้ว เสด็จมาถึงเกสปุตตนิคม โดยลำดับ
    ก็กิตติศัพท์อันงามของพระสมณโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์... ทรงเบิกบานแล้ว ทรงจำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย เห็นปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล
    ครั้งนั้น ชนกาลามโคตร ชาวเกสปุตตนิคมได้เข้าไปเฝ้าผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงที่ประทับ บางพวกถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกนั่งประนมมือไปทางพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกประกาศชื่อและโคตรแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง บางพวกนั่งเฉยๆ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
    เมื่อต่างก็นั่งลงเรียบร้อยแล้ว จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม สมณพราหมณ์พวกนั้น พูดประกาศแต่เฉพาะวาทะของตัวเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า มีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม ถึงพราหมณ์พวกนั้น ก็พูดประกาศแต่เฉพาะวาทะของตนเท่านั้น ส่วนวาทะของผู้อื่นช่วยกันกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกด ทำให้ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย ในสมณพราหมณ์เหล่านั้นอยู่ทีเดียวว่า ท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ
    [​IMG] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็ควรแล้วที่ท่านทั้งหลายจะเคลือบแคลงสงสัย และท่านทั้งหลายเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในฐานะที่ควรแล้ว มาเถิดท่านทั้งหลาย
    ท่านทั้งหลายอย่าได้เชื่อถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้เชื่อถือ ตามถ้อยคำสืบๆ กันมา อย่าได้เชื่อถือ โดยตื่นข่าวว่าได้ยินอย่างนี้ {น.๑๘๐}อย่าได้เชื่อถือ โดยอ้างตำรา อย่าได้เชื่อถือโดยเดาเอาเอง อย่าได้เชื่อถือโดยคาดคะเน อย่าได้เชื่อถือโดยความตรึกตามอาการ อย่าได้เชื่อถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตัว อย่าได้เชื่อถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้ อย่าได้เชื่อถือ โดย ความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา
    [​IMG] เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้ บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย
    [​IMG] ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
    ความโลภ เมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่ เป็นประโยชน์ <TABLE><TBODY><TR><TD width=25></TD><TD width=400>พวกชนกาลามโคตร ต่างกราบทูลว่า เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า
    พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โลภ ถูกความโลภครอบงำ มีจิตอันความโลภ กลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้ สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่ง ไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โลภย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้
    กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พ. ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
    ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่ใช่ประโยชน์? <TABLE><TBODY><TR><TD width=25></TD><TD width=400>กา. เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า
    พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำ มีจิตอันความ โกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้ สิ่งใดเป็นไปเพื่อ สิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน บุคคลผู้โกรธย่อม ชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้
    กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
    ความหลงเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์? <TABLE><TBODY><TR><TD width=25></TD><TD width=400>กา. เพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า
    พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้หลง ถูกความหลงครอบงำ มีจิตอันความหลงกลุ้มรุมนี้ ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูด เท็จก็ได้ สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน บุคคล ผู้หลงย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้
    กา. จริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า </TD></TR></TBODY></TABLE>
    {น.๑๘๑}พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล? <TABLE><TBODY><TR><TD width=25></TD><TD width=400>กา. เป็นอกุศล พระเจ้าข้า
    พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ?
    กา. มีโทษ พระเจ้าข้า
    พ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ?
    กา. ท่านผู้รู้ติเตียน พระเจ้าข้า
    พ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์หรือหาไม่ ในข้อนี้ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร?
    กา.ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ ในข้อนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นเช่นนี้ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG] พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้ว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย
    ท่านทั้งหลาย อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟัง.....อย่าได้ยึดถือโดยนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้ สมบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย
    เพราะอาศัยคำที่เราได้กล่าวไว้แล้วนั้น เราจึงได้กล่าวไว้ดังนี้
    ดูกรกาลามชนทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย
    ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา.....อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้ บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
    [​IMG] ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
    ความไม่โลภเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่ เป็นประโยชน์? <TABLE><TBODY><TR><TD width=25></TD><TD width=400>กา. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า
    พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่โลภ ไม่ถูกความโลภครอบงำ มีจิตไม่ถูกความโลภกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูด เท็จ สิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่โลภ ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น.
    {น.๑๘๒}กา. จริงอย่างนั้นพระเจ้าข้า </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
    ความไม่โกรธเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์? <TABLE><TBODY><TR><TD width=25></TD><TD width=400>กา. เพื่อเป็นประโยชน์ พระเจ้าข้า
    พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่โกรธ ไม่ถูกความโกรธครอบงำ มีจิตไม่ถูกความโกรธกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่ พูดเท็จ สิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่โลภ ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น
    กา. จริงอย่างนั้นพระเจ้าข้า </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?
    ความไม่หลงเมื่อเกิดขึ้นในภายในบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์? <TABLE><TBODY><TR><TD width=25></TD><TD width=400>กา. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า
    พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ไม่หลง ไม่ถูกความหลงครอบงำ มีจิตไม่ถูกความหลงกลุ้มรุมนี้ ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูด เท็จ สิ่งใดเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน บุคคลผู้ไม่หลง ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น
    กา. จริงอย่างนั้นพระเจ้าข้า </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล? <TABLE><TBODY><TR><TD width=25></TD><TD width=400>กา. เป็นกุศล พระเจ้าข้า
    พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ?
    กา. ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า
    พ. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ?
    กา. ท่านผู้รู้สรรเสริญ พระเจ้าข้า
    พ. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขหรือหาไม่ ในข้อนี้ท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร?
    กา. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ในข้อนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นเช่นนี้ </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG] {น.๑๘๓} พ. ดูกรกาลามชนทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้ว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย มาเถอะท่านทั้งหลาย
    ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่สืบๆ กันมา อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่าได้ยินว่าอย่างนี้ อย่าได้ยึดถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน อย่าได้ยึดถือโดยตรึกตามอาการ อย่าได้ยึดถือโดยชอบ ใจว่าต้องกันกับทิฏฐิของตน อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรเชื่อได้ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทาน ให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่
    เพราะอาศัยคำที่เราได้กล่าวไว้แล้วนั้น เราจึงได้กล่าวไว้ดังนี้
    [​IMG] ดูกรกาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้นปราศจากความโลภ ปราศจากความพยาบาท ไม่หลงแล้วอย่างนี้ มีสัมปชัญญะ มีสติมั่นคง มีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจ อันประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ มีใจประกอบด้วยกรุณา... มีใจประกอบด้วยมุทิตา... มีใจประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจอันประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
    ดูกรกาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิต ไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการ ในปัจจุบันว่า
    ก็ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วมีจริง เหตุนี้เป็น เครื่องให้เราเมื่อแตกกายตายไป จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ ความอุ่นใจ ข้อที่ ๑ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว
    ก็ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วไม่มี เราไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์เป็นสุข บริหารตนอยู่ในปัจจุบัน ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๒ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว
    ก็ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ ชื่อว่าทำบาป เราไม่ได้คิดความชั่วให้แก่ใคร ๆ ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเรา ผู้ไม่ได้ทำบาปกรรมเล่า ดังนี้ ความอุ่นใจในข้อที่ ๓ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว
    ก็ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ ไม่ชื่อว่าทำบาป เราก็ได้พิจารณาเห็นตนว่า เป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้งสองส่วน ดังนี้ ความอุ่นใจในข้อที่ ๔ นี้ พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว
    ดูกรกาลามชน{น.๑๘๔}ทั้งหลาย อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตใจไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้วอย่าง นี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการนี้แลในปัจจุบัน
    [​IMG] กา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้ เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระอริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มี จิตไม่มีความเบียดเบียนอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้ ท่านย่อมได้ความอุ่นใจ ๔ ประการในปัจจุบัน... ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระองค์โปรดทรงจำพวกข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป
    http://www.navy.mi.th/newwww/code/special/budham/tp/tp200366.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2006
  15. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    อ่านพระไตรปิฎกใหม่ก็ดีนะครับ
    จะเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง
    จะดีมากถ้าท่านเผาตำราตัวเองทิ้ง
     
  16. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    ท่านอย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าพระพุทธเจ้าโกหก
    พระพุทธเจ้าไม่ได้โกหก
    ท่านคงคิดแบบพุทธทาสกระมัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2006
  17. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    เอาแบบนี้นะครับ...
    ถ้ายังไม่รู้ว่ากาลามสูตรสอนให้รู้กุศล อกุศล ก็ไม่ต้องเป็นพระนะครับ
    เพราะดูท่าว่าพระท่านจะคิดว่าตัวเองรู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2006
  18. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2006
  19. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    ๑.แล้วถามว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงเผยแพร่ศาสนาได้
    ๒.อืม...รู้ได้ยังไงว่าอภิญญา ไม่ได้เป็นของพระพุทธศาสนา
    นอกจากจะคิดไปเองนะครับ เมื่อไม่รู้มันก็เป็นได้ทั้งจริงและไม่จริง...
    ๓.คุณลองไปถามนักวิทยาศาสตร์นักจิตวิทยา(บางคน)ของฮาวาร์ด หรืออ็อกฟอร์ดดูนะครับ แล้วเค้าจะตอบคุณอีกอย่างนึง
    ๔.ค้นหาก็มีแต่หลง เค้าบอกให้ละครับ

    คุณคิดว่าฝรั่งมีคำว่าESPไว้ทำไมกันละครับ...
    แล้วทำไมถึงมีคำว่าPSIซึงแปลว่าจิต
     
  20. animejanai

    animejanai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +494
    น่าแปลกนะครับ ที่ว่าเมื่ออ่านแล้วพระพุทธเจ้าจะเน้นโดยรวมอย่างเช่นอริยสัจสี่วิธีการดับทุกข์
    ถ้าเป็นเฉกเช่นนั้น
    การที่ท่านรวมในการกล่าวถึงสมณะ ก็คงไม่ผิด
    ไม่เช่นนั้นท่านก็คงสอนว่า
    ไม่ให้เชื่อเพื่อน
    เพราะ เพื่อนนั้นมีทั้งดีและไม่ดี
    ไม่ให้เชื่อประเพณี
    เพราะคนที่ทำประเพณีมีทั้งดีและไม่ดี
    ไม่ให้เชื่อข่าวลือ
    เพราะข่าวลือมีทั้งดีและไม่ดี
    ไม่ให้เชื่อหนังสือ
    เพราะหนังสือมีทั้งดีและไม่ดี
    ไม่ให้เชื่อนักวิทยาศาสตร์
    เพราะมีดีทั้งไม่ดี
    ไม่ให้เชื่อนักปรัชญา
    เพราะมีดีทั้งไม่ดี
    ไม่ให้เชื่อตัวเอง
    เพราะมีดีทั้งไม่ดี
    ไม่ให้เชื่อสิ่งที่บิดามารดาสั่งสอน
    เพราะมีดีทั้งไม่ดี
    ไม่ให้เชื่อผู้สูงอายุ
    เพราะมีดีทั้งไม่ดี
    ไม่ให้เชื่อครูบาอาจารย์
    เพราะมีดีและไม่ดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤศจิกายน 2006

แชร์หน้านี้

Loading...